1. ความเข้าใจเบื้องต้น
โดยพื้นฐานแล้วปรัชญาสำนักขงจื่อเน้นแนวคิดทางจริยศาสตร์
แม้หลายคนเข้าใจว่าเป็นศาสนาสำคัญของโลกโดยมีขงจื่อเป็นศาสดา
แต่การศึกษาปรัชญาสำนักขงจื่อควรแยกออกจากความเป็นศาสนาขงจื่อ
หัวข้อสารานุกรมนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวคิดทางจริยศาสตร์ขงจื่อเป็นหลัก
โดยมุ่งเน้นอธิบายแนวคิดสำคัญในจริยศาสตร์ขงจื่อเพื่อสร้างความเข้าใจพื้นฐาน
มากกว่าเพื่อบอกลักษณะตายตัวของแนวคิดสำคัญเหล่านั้น
อีกทั้งได้หยิบยกเนื้อหาทางจริยศาสตร์ขงจื่อในบางประเด็นมาอธิบายเพิ่มเติม
เพื่อให้เห็นลักษณะเด่นของปรัชญาสำนักนี้ นอกจากนี้
แม้ว่าจะครอบคลุมถึงเนื้อหาบางส่วนของสำนักขงจื่อใหม่ (Neo-Confucianism) ไว้เพื่อให้เห็นพัฒนาการความคิด
แต่จะเน้นให้ข้อมูลความคิดของขงจื่อซึ่งเป็นผู้เริ่มวางแนวทาง
รวมทั้งส่วนที่เมิ่งจื่อ
และสวินจื่ออธิบายเพิ่มเติมต่อจากขงจื่อเป็นหลัก
ปรัชญาสำนักขงจื่อกำเนิดขึ้นในยุคสมัยชุนชิวและจั้นกั๋ว
(ยุคฤดูไม้ผลิ-ฤดูใบไม้ร่วง และยุคสงครามระหว่างรัฐ,
722-221 ก่อนคริสตศักราช) ของแผ่นดินจีน
สมัยนั้นเป็นยุคที่บ้านเมืองวุ่นวาย
แว่นแคว้นทั้งหลายต่างรบพุ่งกัน
สำนักคิดนับร้อยที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นจึงมุ่งหาว่าอะไรคือวิถีที่แท้ในการดำเนินชีวิตและการจัดระเบียบสังคม
มากกว่าจะหาคำตอบว่าอะไรคือความจริง คำว่า
“Confucianism” ใช้เรียก “หรูเจีย”
(儒
家 สำนักหรู) ในภาษาจีน
ซึ่งเป็นกลุ่มคนในสังคมที่มีอยู่แล้วตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซัง
(1600?-1045?
ก่อนคริสตศักราช) เป็นผู้รู้จารีต พิธีกรรมเป็นอย่างดี
อีกทั้งยังเป็นครูสอนวิชาความรู้ทั้งหก รวมทั้งดนตรีด้วย
ขงจื่อ (Confucius
孔子, 551-479 ก่อนคริสตศักราช) (“จื่อ”
เป็นคำยกย่องว่าอาจารย์)
เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นนักคิดสำคัญที่สุดของสำนักปรัชญานี้
ก็จัดอยู่ในกลุ่มคนดังกล่าว
แต่ท่านมิได้เหมือนคนอื่นในสำนักหรู
ตรงที่ท่านเล็งเห็นว่าการที่สังคมไร้ระเบียบเป็นเพราะผู้คนละทิ้งการดำเนินชีวิตตามบรรทัดฐานและคุณค่าตามขนบเดิม
ขงจื่อเชื่อว่าวิถีชีวิตและการปกครองที่อยู่ในระบบจารีตและคุณธรรมเป็นมรรควิธี
(เต๋า
道)
ที่งดงามเหมาะสมที่สุด (ทั้งนี้ คำว่า เต๋า
มิได้ใช้เฉพาะลัทธิเต๋าเท่านั้น โดยทั่วไปหมายถึง
“วิถี”
สำหรับสำนักขงจื่อหมายรวมถึงอุดมคติทางจริยะด้วย)
ความกลมกลืน (เหอ
和)
ของสังคมจะเกิดขึ้นได้หากผู้คนในสังคมปฏิบัติจารีตและคุณธรรมตามนามคู่สัมพันธ์ทั้งห้า
(ผู้ปกครอง-ผู้ใต้ปกครอง, พ่อแม่-บุตร,
พี่-น้อง, สามี-ภรรยา,
เพื่อน-เพื่อน) หรูเจียในภาษาจีนจึงมิได้มีนัยพิเศษว่าเป็นแนวคิดที่ยึดถือคำสอนของขงจื่อเหมือนในภาษาอังกฤษเท่านั้น
หากแต่หมายรวมถึงสำนักความคิดที่เชื่อในการดำเนินชีวิตตามขนบจารีตในสังคมดั้งเดิม
แม้ว่าขงจื่อจะประกาศตนว่าเป็นผู้สืบทอดของเก่าและชื่นชมในความเป็นราชาปราชญ์ของบุรพกษัตริย์เหยาและซุ่นก็จริง
แต่ขงจื่อก็มิได้ยึดตามของเก่าหมดทุกอย่าง
ขงจื่อปรับเปลี่ยนความหมายของคำตามขนบ อย่างเช่น เทียน
(天) เหริน (仁) และ จวินจื่อ (君子) ให้มีความหมายทางจริยะ
อีกทั้งท่านยังเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ในการขัดเกลาตนเพื่อแก้ปัญหาระดับปัจเจกบุคคลและสังคมด้วยตัวของมนุษย์เอง
อันเป็นการยกระดับความเป็นมนุษยนิยม (humanism)
ให้สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขงจื่อกล่าวไว้ว่า
“มนุษย์สามารถทำให้มรรควิถียิ่งใหญ่ได้
แต่มรรควิธีไม่อาจทำให้มนุษย์ยิ่งใหญ่ได้”
(หลุนอี่ว์:
ขงจื่อสนทนา, 15:28) คำสอนของขงจื่อมีอิทธิพลต่อชาวจีนทุกวันนี้ก็จริง แต่ในช่วงชีวิตของท่าน
กลับประสบความล้มเหลวในการเผยแพร่คำสอนต่อผู้ปกครอง
หลังจากที่เดินทางไปยังรัฐต่างๆเป็นเวลา 13 ปี
ในช่วงบั้นปลายชีวิต
ขงจื่อได้อุทิศตนให้กับการสอนและเป็นบรรณาธิการหนังสือสำคัญในวรรณกรรมจีนที่ภายหลังเรียกว่าคัมภีร์ทั้งห้า
(อู่จิง) คือ ซูจิง (คัมภีร์ประวัติศาสตร์)
ซือจิง (คัมภีร์ว่าด้วยลำนำกวี) เย่ว์จิง
(คัมภีร์ว่าด้วยดนตรี) ชุนชิว
(บันทึกพงศาวดารและปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ) และ
หลี่จิง (คัมภีร์ว่าด้วยพิธีกรรม)
ขงจื่อไม่ได้มีงานเขียนทางปรัชญาเป็นของตนเอง
แต่เราสามารถศึกษาคำสอนของท่านได้จากคัมภีร์ขงจื่อ
หรือ หลุ่นอี่ว์ (論
語) ซึ่งบรรดาศิษย์ได้รวบรวมคำพูดและบทสนทนาระหว่างขงจื่อกับลูกศิษย์เอาไว้
นอกจากขงจื่อแล้ว นักปรัชญาสำคัญท่านอื่นๆ ได้แก่
เมิ่งจื่อ (Mencius
孟子, 372?-289 ก่อนคริสตศักราช) กับ สวินจื่อ (Xunzi
荀
子, ปีมรณะอาจอยู่ระหว่าง 298-238 ก่อนคริสตศักราช)
ทั้งคู่ต่างยึดถือคำสอนของขงจื่อและโต้แย้งข้อวิพากษ์วิจารณ์ของสำนักคิดอื่นๆ
อย่าง หยังจู (Yangzhu楊
朱)
มั่วจื่อ (Mozi 墨子) และ เต๋า อีกทั้งยังพัฒนาคำสอนของขงจื่อจนแตกต่างจากแนวคิดเดิมในบางประเด็น
เช่น เมิ่งจื่อมองว่าธรรมชาติของมนุษย์ดี
การทำตามจารีตจึงเป็นการแสดงความจริงใจและการควบคุมจิต/ใจ
(heart/mind
心) อีกทั้งรัฐที่ดีผู้ปกครองจะต้องปกครองด้วยจิต/ใจแห่งมนุษยธรรม (เหรินเจิ้ง
仁
政 - เมิ่งจื่อเป็นท่านแรกที่ใช้คำนี้)
ในขณะที่ซุ่นจื่อมองว่าธรรมชาติของมนุษย์ชั่วร้าย
หลักการปกครองจึงต้องใช้อำนาจ กฎหมาย และการเก็บภาษีควบคุม
จารีตจึงเป็นเครื่องมือบังคับทางสังคมภายนอก
อิทธิพลความคิดของทั้งคู่ขับเคี่ยวกันในสมัยจั้นกั๋ว
ในสมัยนั้นคำสอนของสวินจื่อได้รับการตอบรับมากกว่า
ดูได้จากลูกศิษย์หลายคนได้รับราชการในรัฐฉิน
โดยหนึ่งในนั้นคือหานเฟย (Han Fei
韓
非 280-233 ก่อนคริสตศักราช)
ซึ่งนำความคิดเรื่องการปกครองด้วยกฎหมายไปพัฒนาต่อเป็นสำนักนิตินิยม
(Legalism ฝ่าเจีย
法
家) อย่างไรก็ตาม หานอี้ว์ (Han Yu
韓
愈 768-824) นักปรัชญาสำนักขงจื่อในสมัยราชวงศ์ถัง (618-907)
ยึดถือว่าเมิ่งจื่อเท่านั้นที่เป็นผู้สืบทอดคำสอนของขงจื่ออย่างแท้จริง
ทัศนะนี้ได้ส่งผลสืบต่อไปยังจูซี (Zhu
Xi
朱
熹, 1130-1200) นักปรัชญาสำนักขงจื่อใหม่ ในสมัยราชวงศ์ซ่ง (960-1279)
จูซีได้รวบรวมหลุนอี่ว์ คัมภีร์เมิ่งจื่อ
คัมภีร์การร่ำเรียนอันยิ่งใหญ่ (大
學 ) และ คัมภีร์จงยง (中
庸 ) ไว้เป็นคัมภีร์ทั้งสี่ (Sishu
ซื่อซู
四書)
ซึ่งต่อมากลายเป็นคัมภีร์หลักของปรัชญาสำนักขงจื่อ
หลังจากจูซี คำสอนของขงจื่อได้พัฒนาออกไปอย่างต่อเนื่อง
เช่น หวังหยังหมิง (Wang Yangming
王
陽
明, 1472-1529) ในสมัยราชวงศ์หมิง (1472-1529) และไต้เจิ้น (Dai Zhen
戴
震, 1724-1777) ในสมัยราชวงศ์ชิง (1644-1912) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
แม้ว่านักปรัชญาหลังขงจื่อเหล่านี้จะพัฒนาความคิดทางอภิปรัชญาเพิ่มเติมโดยใช้คำสำคัญพื้นฐานอธิบายทัศนะของตนที่แตกต่างกัน
อย่างเช่นคำว่า เหริน (仁) และ ซิน (心) เป็นต้น แต่ทั้งหมดก็เพื่อตอบปัญหาทางจริยศาสตร์ว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร
โดยยึดถือจารีตและคุณค่าตามขนบเป็นบรรทัดฐาน
อีกทั้งยังยึดคำสอนขงจื่อและคัมภีร์ทั้งสี่เป็นหลัก
ดังนั้น
จึงอาจกล่าวได้ว่านักปรัชญาสำนักขงจื่อทั้งหมดให้ความสำคัญแก่จริยศาสตร์เป็นหลักใหญ่
2. จริยศาสตร์สำนักขงจื่อ
ปรัชญาสำนักขงจื่อเสนอเนื้อหาทางจริยศาสตร์ที่แจกแจงชุดคุณธรรม
(เต๋อ
德)
เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติโดยอิงกับมาตรฐานและคุณค่าตามขนบจารีต
โดยมีคุณธรรมหลักอย่าง เหริน หลี่ อี้
เป็นคุณธรรมพื้นฐาน และมีคุณธรรมอย่างความกตัญญู (เซี่ยว
孝
) ความจงรักภักดี (จง
忠
) ความจริงใจ (เฉิง
誠
) ความเคารพ (จิ้ง
敬
) ความกล้าหาญ (หย่ง
勇
) เป็นต้น
เป็นคุณธรรมเฉพาะตามบทบาทหน้าที่ของนามตามสถานภาพต่างๆ
ขนบการเขียนปรัชญาในวัฒนธรรมจีนยุคคลาสสิก
รวมทั้งนักปรัชญาสำนักขงจื่อมิได้อธิบายความคิดโดยวิเคราะห์มโนทัศน์
แล้วเสนอนิยามอย่างเป็นสากลและเป็นระบบสำหรับแนวคิดสำคัญทางจริยะอย่าง
เหริน หลี่ อี้
หากแต่อธิบายแนวคิดเหล่านี้ในบริบทเฉพาะต่างๆ
ทำให้ความหมายมีความเป็นไปได้อย่างกว้างขวางและยืดหยุ่นตามสถานการณ์เฉพาะ
ดังที่สำนักขงจื่อมีหลัก เจิ้งหมิง (正
名
) หรือการแก้ไขนามให้ถูกต้อง
ซึ่งเน้นแก้ไขการปฏิบัติทางจริยธรรมให้ตรงตามข้อกำหนดจากนามตามสถานภาพ
เช่น บุตรพึงกตัญญูต่อบิดามารดา จึงจะสมนาม
“บุตร”
มากกว่าแก้ที่ระดับนิยามที่เป็นสากลไร้บริบทหรือความสัมพันธ์เฉพาะ
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะสองสมมติฐานด้วยกัน ประการแรก
ปรัชญาจีนให้ความสำคัญกับความรู้ทางปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี
ดังที่ปรากฏในหลัก จือสิงเหออี่ (知
行
合
一
) ของสำนักขงจื่อ
ที่ชี้ว่าความรู้กับการกระทำต้องกลมกลืนกัน
ทำให้การอธิบายเน้นทางปฏิบัติ
แทนที่จะพยายามให้กฎเกณฑ์เป็นทฤษฎี
ทั้งนี้การเน้นปฏิบัติมิใช่ละเลยความสำคัญของความรู้ในทางทฤษฎี
เพียงแต่
“ความรู้”
ในทางจริยะจะต้องมีผลทางปฏิบัติในการสร้างความกลมกลืนในชุมชน
ซึ่งต้องอาศัยการปฏิบัติที่แตกต่างกันในแต่ละสถานการณ์
การอธิบายโดยให้กฎสากลที่ตายตัวจึงไม่เพียงพอและไม่ตรงกับเป้าหมายของปรัชญาสำนักขงจื่อที่ไม่สนใจ
“การเรียนรู้”
ที่ไม่นำไปสู่การปฏิบัติ ประการที่สอง
เนื่องจากปรัชญาสำนักขงจื่อเน้นปฏิบัติโดยอาศัยความเข้าใจขนบจารีตและวัฒนธรรมเป็นฉากหลังของการอธิบาย
ทำให้การใช้เหตุผล
และการอ้างเหตุผลของนักปรัชญาสำนักขงจื่อมีลักษณะเป็นสำนวนโวหาร
ไม่เน้นการมีบทสรุปชัดเจนเป็นคำตอบเดียว
และเป็นการอ้างเหตุผลโดยยกตัวอย่าง ด้วยเหตุนี้
ผู้เริ่มศึกษาจึงอาจประสบปัญหากับการเข้าใจและอธิบายจริยศาสตร์ขงจื่อ
อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากจริยศาสตร์ขงจื่อเน้นการขัดเกลานิสัยและพัฒนาตนจนมีคุณธรรมอย่างวิญญูชนหรือจวินจื่อ
(คำนี้เดิมหมายถึงขุน หรือขุนนาง
แต่ขงจื่อปรับเปลี่ยนความหมายเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมอันสมบูรณ์
ตรงข้ามกับเสี่ยวเหริน (
小
人
) ซึ่งเป็นผู้มีใจคอคับแคบ ใส่ใจแต่ผลประโยชน์ของตน)
จึงทำให้มีการศึกษาจริยศาสตร์ขงจื่อโดยใช้กรอบการอธิบายของจริยศาสตร์คุณธรรม
(ดู จริยศาสตร์คุณธรรม เพิ่มเติม)
อย่างเช่นการศึกษาของ แอนโตนิโอ เอส กัว ลี เยียร์เลย์ และ
เดวิด นิวิสัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้จริยศาสตร์ขงจื่อจะเน้นการขัดเกลาคุณธรรมและลักษณะนิสัยของบุคคลซึ่งคล้ายกับจริยศาสตร์คุณธรรม
แต่จริยศาสตร์ขงจื่อก็มีส่วนที่แตกต่าง
จึงเป็นการเสี่ยงหากจะด่วนสรุปจริยศาสตร์ขงจื่อว่าเป็นจริยศาสตร์คุณธรรมโดยละเลยส่วนที่แตกต่างนี้
หลิว (Yuli
Liu, 2003: 151-154)
ให้ความเห็นว่าจริยศาสตร์ขงจื่อไม่ได้แยกวิถีที่เป็นสากล (เต๋า)
ออกจากคุณธรรมที่เป็นอัตวิสัย (เต๋อ) กล่าวคือ
มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าใจเต๋าได้
จากการตระหนักถึงจิต/ใจ แล้วเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์
เพราะจิต/ใจเป็นภาพสะท้อนภาพใหญ่ของสวรรค์
อย่างที่เมิ่งจื่อกล่าวไว้ว่าหากใครเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์
ก็ย่อมเข้าใจสวรรค์ (Mencius,
7A:1) ดังนั้น
เมื่อเต๋ากับเต๋อรวมเข้าด้วยกัน
สิ่งที่จิต/ใจปรารถนาจึงเป็นอย่างเดียวกับเต๋า
อย่างที่ขงจื่อกล่าวไว้ว่าเมื่อท่านอายุ 70
ท่านสามารถทำตามใจได้โดยไม่ละเมิดความถูกต้อง (หลุนอี่ว์:
ขงจื่อสนทนา, 2:4)
ในขณะที่อริสโตเติลมิได้ยึดถือวิถีที่เป็นวัตถุวิสัยเป็นเป้าหมาย
หากแต่ยึดถือความสุข
ซึ่งมาจากการมีชีวิตที่ดีเป็นเป้าหมายของมนุษย์แทน
กล่าวคือการขัดเกลาคุณธรรมก็เพื่อการมีชีวิตที่ดีและความสุขดังกล่าว
โดยมิได้มีจุดประสงค์เพื่อพบกับ “สิ่งที่ดีสูงสุด”
อื่นใด ด้วยเหตุนี้
จึงเป็นที่ถกเถียงได้ว่าจริยศาสตร์ขงจื่อเป็นจริยศาสตร์คุณธรรมหรือไม่
3.
แนวคิดสำคัญในจริยศาสตร์ขงจื่อ
3.1 เหริน
(仁)
เหรินหมายถึงความเมตตากรุณา
เป็นคำที่ใช้อยู่แล้วโดยทั่วไปในสมัยขงจื่อ
เป็นคุณธรรมเฉพาะระหว่างผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง
แต่ขงจื่อได้ปรับเปลี่ยนความหมายใหม่ให้เป็นคุณธรรมพื้นฐานครอบคลุมถึงคุณธรรมทั้งหมดที่แสดงความรักความอาทรต่อความเป็นอยู่ของผู้อื่นทั้งในครอบครัวและชุมชน
เป็นความรักความอาทรต่อบุคคลเหล่านี้ในฐานะที่เป็นมนุษย์
เหรินจึงแปลเป็นไทยได้ว่า
“มนุษยธรรม”
ในบางครั้งเหรินก็มีความหมายเฉพาะ คือ
เป็นอารมณ์รักและความอาทรที่มีต่อพ่อแม่ พี่น้อง
หรือเพื่อน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาเหรินมิได้มีความหมายครอบคลุมเฉพาะความอาทรระหว่างมนุษย์เท่านั้น
เมิ่งจื่อมองว่าความอาทรจะต้องขยายไปสู่สัตว์บางชนิด
ส่วนนักปรัชญาสำนักขงจื่อในสมัยราชวงศ์ซ่งและหมิงมองว่าจะต้องขยายครอบคลุมถึงทุกสิ่งรวมทั้งพืชพันธุ์และสิ่งไม่มีชีวิตอื่นๆด้วย
สิ่งสำคัญประการหนึ่งก็คือไม่ว่าจะเป็นปรัชญาสำนักขงจื่อในสมัยใด
เหรินจะต้องมีระดับขีดขั้น กล่าวคือ
ความรักความอาทรและการปฏิบัตที่มีต่อพ่อแม่และคนในครอบครัวย่อมมาก่อนและพิเศษกว่าความสัมพันธ์อื่น
ในขณะที่การปฏิบัติต่อผู้อื่นย่อมแตกต่างกับการปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิต
เช่น ในกรณีที่เรามีเหรินต่อสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารหรือเป็นสัตว์เลี้ยง
เราจะไม่ใช้ประโยชน์อย่างเกินความจำเป็น และไม่ทำทารุณกรรม
เป็นต้น
นอกจากนี้ นัยของเหรินมิใช่คุณธรรมที่ทำเพื่อผู้อื่นเท่านั้น
แต่มีนัยของการทำเพื่อชีวิตที่ดีของตนเองด้วย อย่างในหลุนอี่ว์
4:15 ซึ่งบันทึกไว้ว่าคุณธรรมจงกับซู่
เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการมีเหริน
ขงจื่อกล่าวกับเจิ้งจื่อ (หรืออาจารย์เจิง)
ว่า “เซิน
คำสอนของเรามีเอกภาพ”
เจิงจื่อตีความว่า “คำสอนอาจารย์ของเราคือให้มุ่งมั่นสัตย์ซื่อ
(จง
忠
) และเอาใจเขามาใส่ใจเรา (ซู่
恕
)” ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างจง
กับ ซู่ จะมีปัญหาในการตีความได้หลายประการ
แต่บทนี้ก็แสดงให้เห็นได้ว่าจริยศาสตร์ขงจื่อให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเพื่อการมีชีวิตที่ดีด้วย
ในยุคหลังๆ สำนักขงจื่อผูกโยงความเข้าใจเหริน
ไว้กับฟ้าหรือสวรรค์ (เทียน
天
)
เดิมคำนี้ใช้หมายถึงสิ่งสูงสุดที่สามารถกำหนดชะตากรรมบ้านเมืองได้
แต่ขงจื่อได้ปรับเปลี่ยนความหมายเป็นชะตากรรมและพันธกิจทางจริยะของปัจเจกบุคคล
เทียนมีนัยเป็นสิ่งสูงสุดและเป็นการแสดงออกซึ่งเป้าหมายบางอย่างของธรรมชาติ
โดยมองว่าเทียนให้กำเนิด บำรุงเลี้ยง
และมอบพลังชีวิตที่ไม่หมดสิ้นกับร่างกาย
การให้กำเนิดและการบำรุงเลี้ยงสิ่งต่างๆนี้เรียกว่าเหรินของเทียน
มนุษย์จึงควรมีจิต/ใจ(หรือซิน)อย่างจิต/ใจของเทียน
ด้วยการขัดเกลาพัฒนาตนจนมีเหริน
อันเป็นการบรรลุสภาวะที่ตระหนักถึงความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งว่าเกี่ยวโยงถึงตัวเรา
3.2 หลี่
(禮
)
หลี่หมายถึงขนบจารีต
และพิธีกรรมในบริบทสังคมต่างๆ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ
การต้อนรับแขก การเข้าเฝ้ากษัตริย์ เป็นต้น
รวมถึงเป็นหลักแบบแผนปฏิบัติที่เหมาะสมตามนามคู่สัมพันธ์ต่างๆ
เช่น การดูแลพ่อแม่ยามแก่ชรา การเชื่อฟังและเคารพพี่
เป็นต้น ในความหมายกว้างหลี่จึงเป็นมาตรฐานทางสังคม
สวินจื่อบางครั้งใช้ หลี่ สลับกับหลี่อี้
(禮
義)
เพื่อสื่อถึงมาตรฐานทางสังคม และมักใช้หลี่ในความหมายเป็นจารีตพิธีกรรม
แต่ไม่ว่าหลี่จะเป็นจารีตที่เป็นพิธีกรรมหรือไม่ก็ตาม
หลี่เป็นกฎทางสังคมที่ควรปฏิบัติเพื่อสืบทอดความต่อเนื่องทางวัฒนธรรม
และคงความสัมพันธ์ของคนในสังคมเอาไว้
ชุมชนใดที่คงจารีตไว้ได้ จึงคงความเป็นชุมชนมนุษย์
สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด การปฏิบัติหลี่จะต้องกระทำอย่างมีเหรินซึ่งออกมาจากจิต/ใจที่มีความเคารพ
จริงใจ และจริงจัง
มิใช่ทำตามรายละเอียดพิธีกรรมครบถ้วนเพียงเปลือกนอก
อย่างที่ขงจื่อกล่าวไว้ว่า “หากมนุษย์ขาดซึ่งมนุษยธรรม
เขาจะมีอะไรข้องเกี่ยวกับขนบจารีตได้เล่า
หากมนุษย์ขาดซึ่งมนุษยธรรม
เขาจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับดนตรีได้เล่า?”
(หลุนอี่ว์:
ขงจื่อสนทนา, 3:3)
นอกจากนี้
การที่สำนักขงจื่อให้ความสำคัญกับหลี่
มิได้หมายความว่าจะเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ในหลุนอี่ว์มีตัวอย่างของการปรับเปลี่ยนจารีตเพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจ
ส่วนในคัมภีร์เมิ่งจื่อมีตัวอย่างของการไม่ปฏิบัติตามจารีตในกรณีฉุกเฉิน
ในคัมภีร์สวินจื่อก็มีการพูดถึงการปรับเปลี่ยนจารีตไปตามสถานการณ์ชีวิตต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไป
หรือแม้กระทั่งนักปรัชญาสำนักขงจื่อในยุคต่อมาอย่างหวังหยางหมิงก็ได้อธิบายไว้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดของการสืบทอดจารีตคือการรักษาจิตวิญญาณของการทำตามจารีตพิธีกรรมไว้
หลายคนอาจเกิดข้อสงสัยว่ากลไกการทำงานของจารีตเป็นอย่างไร
ทำไมการทำตามจารีตพิธีกรรมจึงจัดระเบียบสังคมได้ แอนโตนิโอ
เอส. คัว (Antonio S. Cua,
1998) ได้สรุปบทบาทหน้าที่ของหลี่ไว้สามประการด้วยกัน
ประการแรก หน้าที่พื้นฐานของหลี่
คือป้องกันความขัดแย้งในสังคม เพราะหลี่กำหนดบทบาทหน้าที่ตามนามสถานภาพไว้แล้ว
เมื่อปฏิบัติตามนั้น ความกลมกลืนย่อมตามมาได้ หลี่ในบทบาทนี้อาจจะคล้ายกับกฎจริยธรรมหรือกฎหมายทั่วไปอย่างเช่น
ห้ามฆ่าคน หรือห้ามลักขโมย
ซึ่งเป็นกฎบังคับควบคุมพฤติกรรมในลักษณะที่ขัดขวางป้องกันความอยากและความปรารถนาที่ไม่เหมาะสม
หลี่ในหน้าที่นี้จึงมิได้ชี้นำว่าจะต้องมีความอยากความปรารถนาอย่างไรถึงจะเหมาะสม
หากแต่บอกว่าเป้าหมายใดที่ไม่ถูกต้องมากกว่า ประการที่สอง
หลี่ทำหน้าที่ส่งเสริมพฤติกรรมบางอย่าง หมายความว่าหลี่ให้เงื่อนไขหรือโอกาสที่จะแสดงออกความคิด
ความรู้สึก
และความอยากความปรารถนาตามธรรมชาติโดยผ่านรูปแบบพฤติกรรมที่กำหนดหรือตกลงร่วมกันได้
แทนที่จะเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ นัยสำคัญของหลี่ในบทบาทหน้าที่นี้ก็คือการยอมรับการแสดงอารมณ์ความรู้สึกตามธรรมชาติของมนุษย์โดยให้มีความพอดีพองามและมีคุณค่าทางจริยธรรม
ประการที่สาม หลี่ทำหน้าที่ขัดเกลาทางวัฒนธรรม
ซึ่งเป็นลักษณะโดดเด่นของจริยศาสตร์ขงจื่อและวัฒนธรรมจีน
กล่าวคือหลี่ทำหน้าที่ขัดเกลาอารมณ์ความรู้สึกโดยใช้รูปแบบพฤติกรรมที่เหมาะสม
การทำตามจารีตตามแบบที่สามนี้มิใช่มุ่งเน้นการทำหน้าที่ตามนามสถานภาพ
หรือควบคุมความอยากความปรารถนา
หากแต่เพื่อการแสดงออกในรูปแบบที่สง่างามเพื่อบ่งบอกความมีวัฒนธรรม
(เหวิน
文)
กล่าวอีกอย่างคือเพื่อพัฒนาคุณธรรมในตัวมนุษย์ให้งดงาม
(เหม่ยเต๋อ
美德)
โดยให้เกิดความสมดุลระหว่างอารมณ์กับรูปแบบที่แสดงออกนั่นเอง
เช่น หากลูกต้องการตักเตือนพ่อแม่
แต่แสดงออกอย่างไม่เหมาะสม ก็จะกลายเป็นการก้าวร้าว
หากไปพิธีศพแต่แต่งกายไม่เรียบร้อย
ก็ถือว่าเป็นการไม่เคารพสถานที่และผู้ตาย เป็นต้น
จวินจื่อ
หรือวิญญูชนก็คือผู้ที่ขัดเกลาจารีตและคุณธรรมแล้ว
ทำให้อารมณ์ความรู้สึกและการแสดงออกมีความกลมกลืนกัน
จนมิได้มีความรู้สึกว่าตนถูกบังคับควบคุม
การทำตามจารีตของวิญญูชนซึ่งเป็นระดับอุดมคตินี้จึงมีทั้งความงดงาม
เป็นอิสระ และปีติยินดีที่ได้ทำ
3.3 อี้
(義
) และความสัมพันธ์กับ หลี่
(禮
)
โดยทั่วไปอี้แปลว่าความถูกต้องเที่ยงธรรม
เป็นคุณธรรมพื้นฐานที่สำคัญเพราะทำให้การทำตามหลี่มีความสมเหตุสมผล
อี้มีความหมายว่าความเหมาะสมด้วย ตามที่ปรากฏในคัมภีร์จงยง
การตัดสินว่าอะไรถูกต้องเหมาะสมก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินอย่างมีเหตุผล
ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าอี้เป็นคุณธรรมที่แสดงการพิจารณาตัดสินอย่างมีเหตุผลว่าอะไรควรปฏิบัตในสถานการณ์เฉพาะ
โดยทั่วไปการทำตามหลี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมอยู่แล้ว
แต่ในสถานการณ์เฉพาะที่นอกเหนือจากที่หลี่กำหนดไว้
หรือในกรณีฉุกเฉิน อี้จะทำหน้าที่ตัดสินว่าควรปฏิบัติอย่างไร
ในบางครั้งการทำตามอี้ มิได้หมายความว่าจะต้องทำตามหลี่
ตัวอย่างเช่นขงจื่อยอมรับการปรับเปลี่ยนจารีตจากเดิมที่ใช้หมวกปอในพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
ก็ให้ใช้หมวกไหมเนื่องจากสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของประชาชน
แต่ขงจื่อไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนมาโค้งศรีษะหลังเข้าห้องโถงแล้ว
เพราะเห็นว่าทำให้ความหมายของจารีตเดิมเปลี่ยนเป็นการเย่อหยิ่ง
แม้ว่าการเปลี่ยนมาก้มศรีษะภายหลังจะสอดคล้องกับความนิยมในสังคมที่เปลี่ยนไปก็ตาม
(หลุนอี่ว์:
ขงจื่อสนทนา, 9:3)
หรือตอนที่ขงจื่อป่วย เจ้าเมืองมาเยี่ยม
ขงจื่อจะหันศรีษะไปทางทิศตะวันออก เอาชุดเข้าเฝ้ามาคลุมกาย
แล้วผูกสายรัดเอาไว้ (หลุนอี่ว์:
ขงจื่อสนทนา, 10:13)
เป็นต้น แม้ว่าหลี่กับอี้จะเกี่ยวข้องกัน
แต่มีข้อน่าสังเกตคือในขณะที่หลี่อาจละเว้นไม่ปฏิบัติได้ในบางสถานการณ์
แต่อี้มิอาจละเว้นได้
นอกจากนี้ อี้ยังเกี่ยวข้องกับความละอาย (ฉื่อ
恥
)
ด้วย คำว่า ฉื่อ
นี้มิใช่หมายถึงความละอายในสิ่งที่ได้ทำไปแล้วเท่านั้น
แต่รวมถึงความละอายในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
กล่าวคือ คนที่มีอี้จะผูกพันตนกับมาตรฐานทางจริยธรรมที่แน่นอน
ทำให้ไม่ทำในสิ่งที่เบี่ยงเบนไปจากมาตรฐานนั้น
โดยที่มาตรฐานนั้นมิได้จำเป็นจะต้องเป็นจารีตหรือสิ่งที่สังคมยึดถือปฏิบัติ
แต่อาจเป็นสิ่งที่กำหนดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ด้วยเหตุนี้ คนที่มีอี้จะเกิดความละอายหากเห็นสิ่งที่ละเมิดบรรทัดฐานทางสังคมหรือความเป็นมนุษย์
เช่น ขอทานที่หิวจนตาลาย
แต่ก็ไม่รับอาหารที่คนโยนให้เหมือนให้อาหารสัตว์ก็ถือว่ามี
อี้ เป็นต้น นอกจากนี้ อี้ยังเกี่ยวข้องกับการยึดถือความถูกต้องแม้ว่าจะได้รับอิทธิพลภายนอกซึ่งไม่อาจควบคุมได้อย่างชะตากรรม
(มิ่ง
命
) เช่น ความพิการ การเจ็บไข้ เชื้อสายฐานะ เป็นต้น คนที่มีอี้แม้ว่าจะประสบกับชะตากรรมดีร้ายอย่างไรก็ยังยึดมั่นในความถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ
เหมือนอย่างที่ขงจื่อหันมาทุ่มเทกับการสอน
หลังจากที่ยอมรับความล้มเหลวในการเผยแพร่คำสอนต่อผู้ปกครองของรัฐต่างๆ
เป็นต้น
4. มโนทัศน์เรื่องตัวตน
อย่างที่กล่าวไว้แล้ว
ขงจื่อมองว่าการแก้ปัญหาความไร้ระเบียบของสังคมต้องมาจากการขัดเกลาพัฒนา
จริยธรรมของปัจเจกบุคคล
เพราะการปกครองและนโยบายที่ดีย่อมมาจากผู้ปกครองที่มีจริยธรรม
ก่อนที่จะกล่าวถึงการขัดเกลาตนในหัวข้อต่อไป
เราควรเข้าใจก่อนว่าสำนักขงจื่อมีทัศนะเกี่ยวกับมนุษย์และตัวตนอย่างไร
สำนักขงจื่อมองว่ามนุษย์ประกอบด้วยส่วนต่างๆของร่างกาย
(ถี่
體
) โดยอวัยวะส่วนต่างๆนี้นอกจากจะทำหน้าที่ของมันแล้ว
ยังมีแนวโน้มอันเป็นลักษณะประจำของอวัยวะนั้น เช่น
ตานอกจากจะมองเห็นสิ่งต่างๆแล้ว
ยังมีแนวโน้มที่จะชอบดูของสวยงาม
ลิ้นก็มีแนวโน้มชอบลิ้มรสของอร่อย เป็นต้น
แนวโน้มดังกล่าวก็คือความอยากความปรารถนา (อิ้ว์
欲
) ซึ่งเกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ (ฉิง
情
) เช่น รัก เสียใจ โกรธ เป็นต้น นอกจากนี้
มนุษย์ยังประกอบด้วยชี่ (氣
) ซึ่งเป็นพลังประเภทหนึ่งที่ทำให้มนุษย์มีชีวิต (vital
force) ชี่ทำหน้าที่ควบคุมประสาทสัมผัส
เช่น ทำให้ปากเปล่งวาจา ทำให้ตามองดูสิ่งตรงหน้า
ในทางกลับกัน ชี่ก็ได้รับผลกระทบจากสิ่งผ่านประสาทสัมผัสเข้ามาได้
เช่น อาหารและรสชาติที่กระทบลิ้น เป็นต้น นอกจากนี้ ชี่ยังเกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก
การมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงจึงมาจากการมีพลังชี่ที่สมดุล
สิ่งที่แสดงผ่านร่างกายและอารมณ์จะสะท้อนถึงชี่ได้
เช่น
การเจ็บไข้และความตื่นกลัวสะท้อนให้เห็นถึงความแปรปรวนของพลังชี่
ส่วนที่สำคัญที่สุดอีกอย่างก็คือจิต/ใจ (heart/mind
ซิน
心
) ซึ่งทำหน้าที่ในการคิดและมีอารมณ์ความรู้สึก ดังนั้น
ซินจึงเกี่ยวข้องกับความปรารถนาและความรู้สึก
หน้าที่ของซินที่นักปรัชญาสำนักขงจื่อมองว่าสำคัญที่สุดคือชี้นำ
และกำหนดทิศทางชีวิตคนนั้นได้ทั้งหมด
โดยจิต/ใจที่ชี้นำได้นั้นจะต้องมีเจตจำนง (จื้อ
志
)
ในขณะที่ความปรารถนาอาจจะชี้นำได้แต่ก็อาจอยู่ใต้อิทธิพลของร่างกาย
มิใช่จากจิต/ใจ เหตุที่ซินทำหน้าที่ดังกล่าวได้เพราะสำนักขงจื่อมีทัศนะเกี่ยวกับตัวตนว่ามนุษย์สามารถเรียนรู้
ตรวจสอบและขัดเกลาเปลี่ยนแปลงตนเอง
โดยควบคุมจิต/ใจให้อยู่ในที่ทางที่เหมาะสม
แล้วปล่อยให้จิต/ใจเป็นตัวชี้นำ
การมองตัวตนในลักษณะเช่นนี้
สะท้อนผ่านภาษาจีนที่มีคำใช้เรียก
“ตัวเอง” สองแบบ
คือ จื้อ (自
) ใช้เรียกการกระทำที่เราทำกับตัวเอง เช่น
คิดใคร่ครวญถึงตัวเอง ไม่พอใจตัวเอง เป็นต้น กับจี่
(
己
) ใช้เรียกการกระทำของคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา
หรือการกระทำของเราที่มีต่อผู้อื่น หรือความปรารถนาของเรา
หรือการมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเรา เช่น
มีคุณลักษณะหรือปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับเรา
ความแตกต่างระหว่างคำทั้งสองคือคำแรกเป็นตัวเราสัมพันธ์กับตัวเราเอง
แต่คำหลังเป็นการตระหนักถึงตัวเราเองในลักษณะที่เป็นสิ่งแตกต่างกับผู้อื่น
นักคิดในสำนักขงจื่อมองแตกต่างกันในประเด็นว่าเราจะควบคุมจิต/ใจให้อยู่ในที่ทางที่เหมาะสมได้อย่างไร
เช่น เมิ่งจื่อมองว่าจิต/ใจมีแนวโน้มทางจริยธรรมอยู่แล้ว
ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นคุณธรรมได้ ส่วนสวินจื่อมองว่าจิต/ใจไม่ได้มีเชื้อหน่อทางจริยธรรมใดๆ
จึงต้องขัดเกลาผ่านการร่ำเรียน แต่ไม่ว่าจะเห็นต่างอย่างไร
ทั้งหมดต่างก็เห็นพ้องกันว่าจิต/ใจทำหน้าที่ชี้นำในกระบวนการขัดเกลาตน
สามารถคงความหนักแน่นได้โดยไม่แปรเปลี่ยนไปตามแรงผลักดันภายนอก
เช่น เมิ่งจื่อเปรียบเทียบเจตจำนงของจิต/ใจว่าเหมือนผู้บัญชาการศึก
ส่วนสวินจื่อเปรียบจิต/ใจเหมือนกับผู้ปกครองและเปรียบประสาทสัมผัสเป็นขุนนาง
นอกจากนี้ ยังเห็นตรงกันอีกว่าจิต/ใจสามารถคิด
ตรวจสอบ
และพัฒนาการทำงานของตัวเองได้ว่ามีการเบี่ยงเบนไปจากวิถีแห่งจริยธรรมหรือไม่
ต่อมา นักปรัชญาสำนักขงจื่อให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวัง
(ตู่
睹)
ความอยากความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวไม่ให้เกิดขึ้น
เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้จิต/ใจมนุษย์ต้องเปรอะเปื้อน
คำว่าจิต/ใจในที่นี้มิได้มีความหมายอย่างเดียวกับจิตของทางตะวันตกสมัยใหม่
สำนักขงจื่อไม่ได้แยกจิตกับกายเช่นเดียวกับวิธีคิดแบบทวินิยม
กล่าวคือ แม้ว่าสำนักขงจื่อจะแยกจิต/ใจออกจากส่วนต่างๆของร่างกาย
แต่การแยกนั้นมิได้แยกว่าเป็นสสารหรืออสสาร
หากแต่แยกโดยดูจากหน้าที่การทำงานซึ่งสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆของร่างกาย
คำว่าซิน
จึงรวมทั้งหัวใจซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและจิตที่คิดและรู้สึก
ทำหน้าที่ไตร่ตรอง ตรวจสอบตัวเอง ชี้นำการกระทำให้เหมาะสม
และกำหนดความเป็นบุคคลของคนๆ นั้นทั้งหมด การที่ซินต้องทำงานเกี่ยวข้องกับส่วนอื่นๆ
ของร่างกายด้วย ทำให้สามารถสังเกตการทำงานของซินได้จากภายนอก
เช่น จิต/ใจที่มีเจตจำนงสามารถควบคุมกำหนดชี่ได้
ในทางกลับกันถ้าชี่ไม่ได้รับการบำรุงดูแลอย่างเพียงพอ
จิต/ใจก็อาจแกว่งได้
ในการขัดเกลาพัฒนาจริยธรรมนั้น แม้ว่าจิต/ใจจะเป็นส่วนสำคัญที่สุด
แต่การพัฒนาตนก็ต้องครอบคลุมถึงทุกส่วนทั้งหมดของมนุษย์
เพราะจิต/ใจสัมพันธ์กับทุกส่วนของร่างกาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงตัวตน จิต/ใจ
และการขัดเกลาตน
สำนักขงจื่อมองเป็นความสัมพันธ์ในสองลักษณะ
ประการแรกคือตัวตนที่แยกต่างจากสังคม
เป็นตัวตนที่เกิดจากการที่จิต/ใจดึงตัวเองถอยห่างออกมาเพื่อคิดไตร่ตรองถึงตัวจิต/ใจเอง
รวมทั้งชีวิตและพฤติกรรมต่างๆของเจ้าของจิต/ใจ
ในกรณีนี้
ปัจเจกบุคคลสามารถดึงตัวเองออกมาจากสังคมและประเมินตนกับความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้อื่น
ในหลุนอี่ว์
มีตัวอย่างของคนที่หลีกลี้สังคมโดยถอนตัวเองออกมาเพื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างตนกับสังคม
รวมทั้งวิพากษ์วิจารณ์สังคม ในคัมภีร์เมิ่งจื่อ และสวินจื่อ
การเน้นตัวตนในลักษณะนี้จะปรากฎอย่างโดดเด่นมากกว่าในหลุนอี่ว์
ประการที่สองคือตัวตนที่ไม่แยกจากสังคม
สำนักขงจื่อมองตัวตนว่าไม่อาจแยกออกจากสังคมได้
เพราะสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์ได้
คือความสามารถทางสังคมที่แยกแยะได้ว่าอะไรเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่
และกฎระเบียบของสังคม
อีกทั้งตัวตนและการขัดเกลาจารีตและคุณธรรมมิอาจทำแยกจากสังคมได้
เพราะการขัดเกลาเหริน หลี่ อี้
ต้องอยู่ภายในโครงข่ายความสัมพันธ์กับผู้คน
ตัวตนในความหมายนี้แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงขนบจารีตจะสมเหตุสมผลหรือไม่
ต้องมาจากตัวตนที่มีส่วนร่วมในสังคมนั้นๆ
5. การขัดเกลาตน
สำหรับขงจื่อ
กระบวนการขัดเกลาตนต้องใช้การร่ำเรียนจากบทกวี
ประวัติศาสตร์ จารีต ดนตรี
และต้องใช้การคิดจากการฝึกฝนในสถานการณ์จริง
แต่หลังจากสมัยขงจื่อ
นักปรัชญาสำนักขงจื่อพัฒนาทัศนะเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และจิต/ใจแตกต่างกัน
ทำให้มองเรื่องการขัดเกลาตนแตกต่างไปด้วย
อย่างเช่นสวินจื่อมองว่าธรรมชาติของมนุษย์ประกอบด้วยส่วนที่เป็นความอยากความปรารถนาทางกาย
ดังนั้น การขัดเกลาตนจะต้องให้ความสำคัญกับส่วนนี้
สำหรับสวินจื่อการขัดเกลาก็คือการจัดการควบคุมเปลี่ยนแปลงความอยากความปรารถนาของมนุษย์เหมือนกับการดัดไม้ที่งอให้ตรง
ในขณะที่เมิ่งจื่อมองว่าธรรมชาติของมนุษย์มีแนวโน้มทางจริยะอยู่แล้ว
เช่น
มนุษย์ย่อมรู้สึกเห็นใจทันทีเมื่อเห็นเด็กทารกกำลังจะตกบ่อน้ำ
และรู้สึกละอายใจเมื่อเห็นคนโยนอาหารให้ขอทานราวกับเป็นสุนัข
เป็นต้น เมิ่งจื่อจึงมองว่าจิต/ใจสามารถรู้และรู้สึกได้ว่าอะไรเหมาะสม
(อี้)
และสามารถควบคุมจิต/ใจให้อยู่เหนือความต้องการทางกายได้
สำหรับเมิ่งจื่อการขัดเกลาตนมิใช่การควบคุมจัดการ
แต่คือการพัฒนาและบำรุงเลี้ยงเชื้อหน่อทางจริยะในจิต/ใจให้สมบูรณ์
ดังนั้น มนุษย์ทุกคนจึงสามารถขัดเกลาตนจนเป็นปราชญ์
(เซิ่งเหริน
聖
人
)ได้
ส่วนนักปรัชญาสำนักขงจื่อใหม่อย่างจูซีและหวังหยางหมิงได้พัฒนาทัศนะของเมิ่งจื่อจนมีลักษณะที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ
ในขณะที่เมิ่งจื่อมองว่าเชื้อหน่อในจิต/ใจจะต้องบำรุงเลี้ยงจึงจะเป็นคุณธรรมสมบูรณ์
แต่จูซีและหวังหยางหมิงมองว่าจิต/ใจมีคุณธรรมอยู่แล้วอย่างเต็มรูปแบบ
เพียงแต่ความอยากความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวได้เข้ามาบดบัง
ทำให้คุณธรรมที่มีอยู่แล้วนั้นไม่ได้แสดงออกอย่างเต็มที่
เพราะการเห็นแก่ตัวทำให้ตัวตนแยกออกจากผู้อื่นและสิ่งต่างๆ
ทำให้ออกห่างจากการมองว่าทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้น
สำหรับนักคิดทั้งสอง
การขัดเกลาตนก็คือการรื้อฟื้นสภาวะดั้งเดิมของจิต/ใจ
เปรียบเหมือนทำกระจกที่เปื้อนฝุ่นให้ใสสะอาด
เพียงแต่จูซีมองว่าต้องใช้การร่ำเรียน
ในขณะที่หวังหยางหมิงมองว่าต้องปรับที่การทำงานของจิต/ใจ
การที่สำนักขงจื่อให้ความสำคัญกับการขัดเกลาตน
อาจก่อให้เกิดข้อกังวลใจเรื่องความหลงผิดในการตั้งใจขัดเกลาตนได้สองประการด้วยกัน
ประการแรก
การขัดเกลาตนอาจเกี่ยวข้องกับการใส่ใจความคิดเห็นของผู้อื่นมากเกินไป
โดยเฉพาะในกรณีของการขัดเกลาคุณธรรมอย่างเหริน และ
อี้
ทั้งนี้เป็นเพราะสองคำนี้มาจากบุคคลที่สามใช้บรรยายคุณธรรมที่คนๆหนึ่งมี
มิได้มาจากการพิจารณาตัดสินจากผู้มีคุณธรรมนั้นเอง ดังนั้น
การขัดเกลาตนให้เหมือนจวินจื่อซึ่งเป็นแบบอย่างของผู้มีคุณธรรมอันสมบูรณ์
จึงเข้าใจได้ว่าเป็นการขัดเกลาตามมุมมองของผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม
ประเด็นปัญหานี้อาจไม่ใช่ข้อน่ากังวลแต่อย่างใด
เพราะการใช้คำเพื่อบอกว่าปราชญ์มีคุณธรรมเหรินกับอี้
อาจเป็นมุมมองซึ่งมาจากตัวเราเอง
มิใช่เป็นมุมมองเกี่ยวกับเราที่มาจากจากคนอื่นเสมอไป
อีกทั้งเวลาที่เราขัดเกลาตนตามจวินจื่อ
เราขัดเกลาเพื่อให้มีลักษณะนิสัยเหมือนปราชญ์
มิใช่ขัดเกลาเพื่อให้เหมือนคำบรรยายที่คนอื่นมองปราชญ์
ประการที่สอง
การขัดเกลาตนอาจเกี่ยวข้องกับการใส่ใจเกี่ยวกับตัวเองมากเกินไป
ซึ่งอาจแบ่งเป็นสองลักษณะด้วยกัน 1)
เราอาจมุ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ของเราว่าเป็นบุคคลทางจริยะ
2)
เราอาจพิจารณาลักษณะนิสัยของเราว่ามีความสำคัญทางจริยะมากกว่าที่คนอื่นมอง
ในกรณีการขัดเกลาคุณธรรมข้อกังวลประการที่สองนี้ไม่เป็นปัญหา
เพราะอย่างที่กล่าวไว้แล้วว่าการขัดเกลาตนเป็นการขัดเกลาลักษณะนิสัยโดยมีปราชญ์เป็นแบบอย่าง
แต่ในกรณีของการกระทำเฉพาะ
อาจเกิดข้อกังวลได้ว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์หรือเป็นการกระทำที่แสดงความมีคุณธรรมจริงๆ
ตัวอย่างเช่นเวลาช่วยเหลือผู้อื่น
อันเป็นการทำในสิ่งที่เป็นเหริน
อาจเกิดคำถามได้ว่าเราทำเช่นนั้นเพราะมีลักษณะนิสัยของผู้มีคุณธรรมเหริน
หรือเราทำเช่นนั้นเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเราเองว่าเป็นผู้มีคุณธรรมเหริน
อย่างไรก็ตาม
นักปรัชญาสำนักขงจื่อก็มิได้ให้ข้อแนะนำชัดเจนว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร
อย่างเช่นในกรณีของเด็กที่กำลังจะคลานตกบ่อน้ำ
การมีใจสงสารหรือเข้าไปช่วยทันทีที่ได้เห็นเหตุการณ์อาจมาจากลักษณะนิสัยเหรินของคนนั้น
หรืออาจจะมาจากการคะเนทัศนะของคนอื่นก็ได้ว่าถ้าเข้าไปช่วยจะเป็นการแสดงว่าเรามีเหริน
แต่ถึงแม้จะเป็นแบบหลังก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด
เพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการขัดเกลาตน
ซึ่งการขัดเกลาลักษณะนิสัยอาจมาจากการทำตามมุมมองของคนอื่นร่วมด้วย
6. การสืบทอดขนบขงจื่อ
สำนักขงจื่อก็เหมือนกับขนบทางจริยะและศาสนาที่เก่าแก่อื่นๆของโลก
ที่มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล้าสมัย
ไม่อาจแก้ปัญหาในปัจจุบันได้
ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่สำนักขงจื่อให้ความสำคัญกับการสืบทอดขนบจารีต
ทำให้ผู้ยึดถือขนบธรรมเนียมขงจื่อหลายๆ คนดื้อรั้น
ไม่ยอมรับข้อเสนอในการปรับเปลี่ยนจารีตแม้มีเหตุผลสมควร
อย่างไรก็ตาม
เราควรแยกแยะระหว่างการให้คุณค่าส่วนบุคคลกับคุณค่าที่มีอยู่ในตัววัฒนธรรมนั้นเอง
การทำความเข้าใจขนบธรรมเนียมที่ยังมีชีวิตจำเป็นจะต้องแยกแยะระหว่างโลกทัศน์ของนักคิดและสำนักทางความคิดในประวัติศาสตร์
รวมทั้งความแตกต่างระหว่างขนบธรรมเนียมที่ยังมีชีวิตกับที่เสื่อมสลายและกำลังจะตาย
วิถีแห่งสำนักขงจื่อมิได้เป็นการให้หลักการสูงสุดสำหรับเป็นแบบแผนปฏิบัตตายตัว
หากแต่มีลักษณะของการให้มุมมองและแก่นทางอุดมการณ์ในการมีชีวิตที่ดี
โดยสามารถยึดหยุ่นตีความได้ตามความแปรเปลี่ยนของสถานที่และยุคสมัย
ประเด็นปัญหาเรื่องการสืบทอดขนบจารีต
(เต๋าถ่ง
道
統
)
อยู่ในความสนใจของนักปรัชญาสำนักขงจื่ออย่างเช่น สวินจื่อ
และจูซี เป็นต้น
อันแสดงให้เห็นว่าข้อวิพากษ์วิจารณ์ข้างต้นเป็นการพิจารณาสำนักหรูเพียงบางกลุ่ม
สวินจื่อแบ่งสำนักหรูเป็นสามประเภท คือ
พวกที่ยึดถือแต่การทำตามประเพณีอย่างเดียว (สูหรู
俗
儒
) พวกที่ได้รับการขัดเกลาทางจริยะ (หย่าหรู
雅
儒
) และพวกที่เป็นจวินจื่อหรือปราชญ์ (ต้าหรู
大
儒
)
ทั้งซุ่นจื่อและจูซีให้ความสำคัญกับการสืบทอดจารีตด้วยการศึกษาร่ำเรียนวรรณคดีโบราณ
โดยเริ่มจากการศึกษาวรรณคดีก่อนแล้วจึงศึกษาขนบจารีต
(หลี่)
เพื่อจะได้เป็นปราชญ์ การศึกษาวรรณคดีช่วยในการขัดเกลา
อย่างเช่น ซูจิง (ว่าด้วยประวัติศาสตร์)
ทำให้เห็นความสำคัญในการกระทำของมนุษย์
เย่ว์จิง (ว่าด้วยดนตรี)
ทำให้เห็นความสัมพันธ์ที่กลมกลืน เป็นต้น
แต่ก็จำเป็นต้องอาศัยคำแนะนำจากครู เพราะการศึกษาคัมภีร์
หลี่จิง (ว่าด้วยจารีต) และ เย่ว์จิง
จะได้เพียงแค่รูปแบบเท่านั้น แต่ไม่มีคำอธิบาย เป็นต้น
การศึกษาร่ำเรียนของเก่ามิได้หมายความว่าศึกษาเพื่อท่องจำเท่านั้น
แต่ต้องตีความและวิพากษ์วิจารณ์ด้วย อย่างที่สวินจื่อเองก็ได้โต้แย้งเมิ่งจื่อในการโยงจริยธรรมกับธรรมชาติของมนุษย์ไว้ด้วยกัน
นอกจากนี้
การสืบทอดจารีตมิใช่เพียงร่ำเรียนของเก่าและวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดในสำนักคิดด้วยกันเท่านั้น
แต่มีการวิพากษ์วิจารณ์ความคิดต่างสำนักด้วย
อย่างที่สวินจื่อโต้แย้งโจมตีมั่วจื่อ ฮุ่ยจื่อ (Hui
shi/Huizi惠子)
เหลาจื่อ (Laozi老子)
และจวงจื่อ (Zhuangzi莊子)
เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าขนบธรรมเนียมขงจื่อที่สืบทอดมาอย่างต่อเนื่องมีลักษณะของการตีความปรับแปรความหมายได้
ซึ่งนอกจากสืบทอดผ่านการศึกษาร่ำเรียนวรรณคดีและจารีตแล้ว
ยังผ่านบทบาทหน้าที่ของครูที่เป็นบุคคลต้นแบบอย่าจวินจื่อด้วย
กล่าวคือ นอกจากจวินจื่อจะต้องถึงพร้อมด้วยคุณธรรมเหริน
หลี่ อี้ และอื่นๆแล้ว
จะต้องเป็นแบบอย่างเพื่อสืบทอดมาตรฐาน
และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ จวินจื่อจึงต้องดำรงอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างมั่นคง
ไม่หวั่นไหว
แต่ในขณะเดียวกันก็มีความสามารถในการประเมินและตีความขนบ
เพื่อคงวิถีเดิมและสร้างเสริมใหม่อย่างต่อเนื่อง
ประเด็นปัญหาที่ถามได้คือหากขนบขงจื่อสามารถตีความปรับแปรความหมายได้
การตีความนั้นจะต้องเป็นอย่างไรถึงจะไม่เป็นการกระทบการรักษาสืบทอดขนบของเดิมไว้
ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่าง จิง
(มาตรฐาน
經
)
และ เฉวียน
(การประเมินสถานการณ์
權
) เฉวียนอาจเป็นจิงได้ในกรณีของการประเมินสถานการณ์เฉพาะ
กล่าวคือจิงจะกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ของพฤติกรรมได้ก็ขึ้นอยู่กับ
เฉวียนในความหมายที่เมื่อพิจารณาปรับใช้ในกรณีเฉพาะแล้วจะไม่ทำให้หลักการเสียไป
และการพิจารณาตัดสินนั้นจะต้องเป็นที่ยอมรับตามการตีความของชุมชน
จิงจึงกำหนดเฉวียน ในทางกลับเฉวียนก็กำหนดจิงเช่นเดียวกัน
การปฏิบัติเฉวียนอย่างมีประสิทธิภาพเกี่ยวข้องกับคุณธรรมอี้ด้วย
ในการประเมินนั้นจะต้องยึดการทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นหลัก
ทั้งนี้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นปัญหาจริยธรรมเท่านั้น
หากแต่รวมถึงกรณีเหตุการณ์ธรรมดาที่เกิดปัญหาการตีความและการปรับใช้
ความสัมพันธ์ระหว่างจิงกับเฉวียนจึงมีลักษณะเป็นพลวัตร
ไม่ตายตัว ทำให้ขนบจารีตทั้งคงอยู่ (ฉาง
常)
และเปลี่ยนแปลงได้ (เปี้ยน
變
) ในเวลาเดียวกัน
ปรัชญาสำนักขงจื่อก็เหมือนระบบความคิดอื่น
ที่มีปัญหาในการตีความและการประมวลสร้างความเข้าใจอย่างเป็นระบบ
บทเรียบเรียงนี้เพียงแต่เน้นส่วนที่เป็นพื้นฐานความคิด
และคัดเลือกประเด็นสำคัญอย่าง มโนทัศน์ตัวตน การขัดเกลาตน
การเปลี่ยนแปลงและสืบทอดจารีตมาอธิบายพอสังเขปเท่านั้น
หากจะเข้าใจปรัชญาสำนักขงจื่อมากขึ้นจำเป็นต้องพิจารณาเรื่อง
ธรรมชาติของมนุษย์ บทบาทหน้าที่ของอารมณ์
บทบาทและพื้นที่ของกฎหมายในสังคมอุดมคติ การเมืองการปกครอง
และฐานทางอภิปรัชญาของ เต๋า
โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และธรรมชาติเพิ่มเติม
ทั้งนี้ผู้สนใจควรศึกษาควบคู่ไปกับประวัติปรัชญาจีน
และเชื่อมโยงกับข้อถกเถียงของปรัชญาตะวันตกที่เกี่ยวข้องด้วย
ศริญญา อรุณขจรศักดิ์
(ผู้เรียบเรียง)
เรียบเรียงจาก
· |
Chan, Wing-Tsit. 1972. Confucius. In Paul
Edwards (ed.). The Encyclopedia of
Philosophy. New York: Macmillan, Vol. 2:
189. |
· |
---------. 1987. Confucian
Thought. In Mircea Eliade (ed.).
The Encyclopedia of
Religion. New York:
Macmillan, Vol. 4: 15-24. |
· |
Cua, A. S. 1998. Confucian Philosophy, Chinese.
In Edward Craig (ed.). Routledge
Encyclopedia of Philosophy
[CD-Rom Version 1.0]. |
· |
Liu, Yuli. 2003. Confucianism and Virtue Ethics.
In Xinzhong Yao (ed.). Encyclopedia of
Confucianism. London: Routledge
Curzon, Vol. 1: 151-154. |
· |
Shun, Kwong-loi. 2006. Chinese Philosophy:
Confucianism. In Donald M. Borchet (ed.).
The Encyclopedia
of Philosophy.
Second Edition. New York: Macmillan, Vol. 2:
170-180.
|
· |
Yao,
Xinzhong. 2003. Confucianism. In Xinzhong Yao (ed.).
Encyclopedia of Confucianism.
London: Routledge Curzon, Vol. 1: 1-11. |
เอกสารอ้างอิง
· |
สุวรรณา สถาอานันท์.
2551. หลุนอี่ว์:
ขงจื่อสนทนา.
กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. |
· |
Lau, D. C. (ed. and trans.).
1970. Mencius.
London: Penguin. (บทแปลคัมภีร์เมิ่งจื่อที่ใช้เป็นมาตรฐาน
พร้อมให้ความเข้าใจเบื้องต้นที่อ่านง่าย) |
เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม
เอกสารปฐมภูมิ
(คัมภีร์สำนวนแปลภาษาไทย และภาษาอังกฤษ)
· |
ปกรณ์ ลิมปนุสรณ์.
คัมภีร์เมิ่งจื่อ.
(กำลังจะตีพิมพ์) |
· |
Ames, Roger T. and Henry
Rosemont, Jr. 1998. The
Analects of Confucius: A
Philosophical Translation.
New York: Ballantine Books.
(บทแปลคัมภีร์ขงจื่อ
มีภาษาจีนเทียบเคียง
พร้อมให้ความเข้าใจเบื้องต้นคำสำคัญในปรัชญาสำนักขงจื่อ) |
· |
Brooks, E Bruce and A. Taeko Brooks. 1998.
The Original Analects: Saying of Confucius and
His Successors. New York: Columbia UP.
(บทแปลคัมภีร์ขงจื่อ
โดยเรียบเรียงเล่มและบทตามการตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์
และภาษาศาสตร์ใหม่ พร้อมคำอธิบายในแต่ละบท
เหมาะสำหรับผู้ที่ศึกษาในระดับสูง) |
· |
Chan Wing-tsit. 1963. A Source Book in
Chinese Philosophy. Princeton, NJ:
Princeton University Press.
(บทแปลคัมภีร์และตัวบทหลักในปรัชญาจีน
โดยคัดเลือกแปลเพียงบางส่วน
พร้อมคำอธิบายในแต่ละบท) |
· |
Knoblock, J. (ed. and trans.). 1988-94. Xunzi:
A Translation and Study of the Complete Works.
Stanford, CA: Stanford University Press. (บทแปลคัมภีร์ซุ่นจื่อ
ฉบับเต็มที่ใช้เป็นมาตรฐานล่าสุด)
|
· |
Lau, D.C. (ed. and trans.). 1979. Confucius:
The Analects. New York: Penguin.
(บทแปลคัมภีร์ขงจื่อที่ใช้เป็นมาตรฐาน
พร้อมให้ความเข้าใจเบื้องต้นที่อ่านง่าย) |
· |
Legge, James. (trans.) 1966.
The Confucian
Analects.
Hong Kong: Wei Tung Book Store.
(บทแปลคัมภีร์ขงจื่อ
ที่ใช้เป็นมาตรฐาน มีภาษาจีนเทียบเคียง) |
· |
Waley, A. (ed. and trans.). 1938. The Analects
of Confucius. New York: Random House. (บทแปลคัมภีร์ขงจื่อ
ที่ใช้เป็นมาตรฐาน
ให้ความเข้าใจเบื้องต้นและอธิบายคำสำคัญทางปรัชญาเพิ่มเติมที่อ่านเข้าใจง่าย)
|
· |
Watson, B. (trans.). 1963. Hsun Tzu: Basic
Writings. New York: Columbia University
Press. (บทแปลคัมภีร์ซุ่นจื่อ
สิบบทหลัก) |
เอกสารทุติยภูมิ
· |
ส.
สุวรรณ (แปล).
2537. ปรัชญาจีนจากขงจื่อ
ถึงเหมาเจ๋อตง.
กรุงเทพ: ยูโรปาเพลส.
(แปลมาจากต้นฉบับของ ศาสตราจารย์
เฝิงอิ่วหลัน
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติปรัชญาจีนอย่างย่อๆ) |
· |
สุวรรณา สถาอานันท์.
2539.
กระแสธารปรัชญาจีน:
ข้อโต้แย้งเรื่อง ธรรมชาติ อำนาจ
และจารีต.
กรุงเทพ:
สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
(เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นศึกษาปรัชญาจีน) |
· |
สุวรรณา สถาอานันท์
(บรรณาธิการ). 2547.
ความเรียงใหม่รื้อสร้างปรัชญาตะวันออก.
กรุงเทพ:
สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
(ในหนังสือมีบทความเกี่ยวกับปรัชญาของขงจื่อ
6 บทความด้วยกัน
ซึ่งเป็นการศึกษาและตีความคัมภีร์ขงจื่อในแง่มุมที่น่าสนใจ
อย่างเช่น บทบาทของอารมณ์โศกเศร้า
และมีการเชื่อมโยงกับข้อถกเถียงทางปรัชญาตะวันตกร่วมสมัยอย่างเรื่อง
สิทธิ ความยุติธรรม ความเสมอภาค
มโนทัศน์ตัวตน และมโนทัศน์พื้นฐานทางจริยศาสตร์) |
· |
Chan Wing-tsit. 1975. Chinese and Western Interpretation of
Jen [ren] (Humanity)
Journal of Chinese
Philosophy
2:
107-29.
(ให้ข้อมูลสำรวจเกี่ยวกับการศึกษาและตีความเหรินของนักวิชาการปรัชญาจีนในปัจจุบัน
เหมาะสำหรับการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
เหริน) |
· |
Cua, A. S. 1985. Ethical Argumentation: A
Study in Hsun Tzu’s Moral Epistemology.
Honolulu, HI: University of Hawaii Press. (การศึกษาคัมภีร์ซุ่นจื่อเชิงปรัชญา
โดยเน้นประเด็นการสร้างข้อโต้แย้งทางจริยะของซุ่นจื่อ
เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาปรัชญาของซุ่นจื่อเพิ่มเติม) |
· |
---------. 1989. The Concept of Li in
Confucian Moral Theory.
In R. E. Allison (ed.).
Understanding the Chinese Mind: Philosophical Roots.
Hong Kong: Oxford University Press.
(สำหรับผู้ที่สนใจค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่สามประการของ
หลี่) |
· |
---------. 2003. Yi and Li:
Rightness and Rites.
In A. S. Cua (ed.). The
Encyclopedia of Chinese Philosophy. London:
Routledge.
(สำหรับผู้ที่สนใจค้นคว้าเพิ่มเติมความหมายของอี้ในแง่มุมความถูกต้อง
และความสัมพันธ์กับหลี่) |
· |
Fingarette, H. 1972. Confucius: The
Secular as Sacred. New York: Harper & Row.
(การตีความใหม่ต่อทัศนะตามขนบเกี่ยวกับขงจื่อ) |
· |
Fung Yu-lan. 1952. A History of Chinese
Philosophy. D. Bodde (trans.). Princeton,
NJ: Princeton University Press.
(หนังสือประวัติปรัชญาจีนที่ใช้อ้างอิงกันเป็นมาตรฐาน) |
· |
Graham, A. C. 1989. Disputers of the Tao:
Philosophical Argument in Ancient China. La
Salle, IL: Open Court.
(ให้รายละเอียดการเชื่อมโยงทางปรัชญาความคิดของสำนักต่างๆในยุคคลาสสิก) |
· |
Hall, D. L. and Ames, R. T. 1987. Thinking
Through Confucius.
Albany, NY: State University of New York Press.
(เป็นงานรื้อสร้างทางมโนทัศน์ที่สำคัญในปรัชญาของสำนักขงจื่อโดยเน้นที่คัมภีร์ขงจื่อเป็นหลัก) |
· |
Ivanhoe, Philip J. 2002. Ethics in the
Confucian Tradition: The Thought of Menzi and Wang
Yangming. Indianapolis: Hackett Publishing.
(อธิบายจริยศาสตร์ขงจื่อและพัฒนาการทางความคิดโดยเน้นศึกษาปรัชญาของเมิ่งจื่อ
และหวาง หยางหมิง) |
· |
Moore, C. (ed.). 1967. The Chinese Mind:
Essentials of Chinese Philosophy and Culture.
Honolulu, HI: East-West Center Press.
(หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเอกสารประกอบการสัมมนานักปรัชญาตะวันตกและออก
ในปี 1938, 1949, 1959 และ 1964
โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของจริยศาสตร์
กระบวนวิธีทางญาณวิทยา ความเป็นวิทยาศาสตร์
และอภิปรัชญาของปรัชญาจีน เป็นต้น) |
· |
Munro, D. J. 1969. The Concept of Man in Early
China. Stanford, CA: Stanford University
Press.
(ให้ข้อถกเถียงเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ในทัศนะของสำนักความคิดต่างๆในปรัชญาจีนยุคคลาสสิก) |
· |
Schwartz, B. 1985. The World of Thought in Ancient
China. Cambridge, MA: Harvard University Press.
(อธิบายปรัชญาของสำนักคิดในปรัชญาจีนยุคคลาสสิคอย่างกว้างๆ
และตีความในเชิงวิพากษ์วิจารณ์) |
· |
Shun, Kwong-loi. 1997. Mencius and
Early Chinese Thought in Ancient China. Palo
Alto, CA: Stanford University Press.
(ตีความและวิเคราะห์คำสำคัญในจริยศาสตร์ขงจื่อ
และประเด็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์กับการขัดเกลาตน
โดยเน้นศึกษาคัมภีร์เมิ่งจื่อเป็นหลัก
เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาปรัชญาของเมิ่งจื่อเพิ่มเติม) |
แหล่งข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต
คำที่เกี่ยวข้อง
จริยศาสตร์เชิงคุณธรรม
/
ลัทธิเต๋า
Virtue Ethics
/
Daoism
|