1. บทนำ
สาขาหนึ่งของปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับ “ธรรมชาติของความรู้”
คือญาณวิทยา ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำในภาษากรีก 2 คำคือ
“epistēmē” หมายถึงความรู้ และ “logos” หมายถึงทฤษฎี
โดยทั่วไป
จะเข้าใจกันว่าความรู้มีความสัมพันธ์กับความเชื่อที่จริง
อย่างไรก็ตาม
ความเชื่อที่จริงบางความเชื่อเท่านั้นที่ถือเป็นความรู้
เนื่องจากอาจเป็นไปได้ที่ความเชื่อที่จริงดังกล่าวจะเกิดจากการเดาหรือความบังเอิญ
จากความเข้าใจโดยทั่วไปดังกล่าวจึงทำให้คำถามหลักที่นักญาณวิทยาสนใจคือ
“อะไรทำให้ความเชื่อที่จริงกลายเป็นความรู้” (What
converts mere true belief into knowledge?)
ซึ่งคำตอบมีหลายแนวทางด้วยกัน ตัวอย่างเช่น
แนวทางแบบดั้งเดิมจะตอบว่าถ้าความเชื่อที่จริงของเราอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลที่ดี
ก็เพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าความเชื่อดังกล่าวเป็นความรู้
นักมูลฐานนิยมจะเสนอว่าเหตุผลที่ว่านั้นวางอยู่บนเหตุผลมูลฐานที่ไม่มีต้องอาศัยเหตุผลใดมาสนับสนุนตนเอง
นักสหนัยนิยมจะเสนอว่าไม่มีเหตุผลมูลฐาน
แต่ความเชื่อของเราทั้งหมดสนับสนุนซึ่งกันและกัน
นักทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในจะเสนอว่าความรู้ถูกตัดสินโดยปัจจัยภายในผู้รู้
(เช่น เนื้อหาในจิต ความทรงจำ เป็นต้น)
ส่วนนักทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกจะเสนอว่าความรู้อย่างน้อยจะต้องตัดสินด้วยสิ่งอื่นนอกเหนือจากปัจจัยภายใน
เป็นต้น
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าความรู้มีหลายรูปแบบด้วยกัน
ตัวอย่างเช่น ฉันรู้ว่าจะปรับเครื่องยนต์อย่างไร
ฉันรู้จักคน ๆ หนึ่ง
หรือฉันรู้ว่าการใส่น้ำยาฟอกขาวเข้ากับแอมโมเนียเป็นอันตราย
โดยในกรณีแรกเป็นการที่ฉันมีทักษะ (skill)
หรือความสามารถบางอย่าง ในกรณีที่สองคือการที่ฉันคุ้นเคย
(acquainted with) กับใครสักคนหนึ่ง
ส่วนในกรณีที่สามคือการที่ฉันรู้ข้อเท็จจริง (fact)
บางประการ โดยความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง (knowledge of
facts) หรือที่เรียกกันว่า “ความรู้ในเชิงประพจน์”
(propositional knowledge)
เป็นสิ่งที่นักญาณวิทยาสนใจเป็นหลัก
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าคำถามสำคัญที่นักญาณวิทยาสนใจก็คือ
“อะไรทำให้ความเชื่อที่จริงเป็นความรู้”
ซึ่งจะเห็นได้ว่าคำถามดังกล่าวมีการยอมรับไว้ก่อน (assume)
ว่าความรู้เป็น “ชนิดหนึ่งของความเชื่อ”
เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วนักญาณวิทยาจะเห็นว่าความรู้ในเชิงประพจน์เป็นชนิดหนึ่งของความเชื่อด้วยกันทั้งสิ้น
ในส่วนต่อไปจะอภิปรายถึงความรู้ในฐานะ
“ความเชื่อที่จริงและมีเหตุผลสนับสนุน”
พร้อมกับอภิปรายปัญหาเกตติเออร์ซึ่งโต้แย้งความรู้ในลักษณะดังกล่าว
และจะอภิปรายแนวคำตอบต่อคำถามที่ว่า
“อะไรทำให้ความเชื่อที่จริงเป็นความรู้” จากข้อเสนอต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นมูลฐานนิยม สหนัยนิยม ทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายใน
หรือทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายใน รวมถึงอภิปราย
“หลักการเชิงญาณวิทยา”
ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาสำคัญ (ตัวอย่างเช่น
นำไปสู่แนวคิดแบบวิมตินิยม เป็นต้น)
และยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่จนปัจจุบัน
นอกจากนี้จะอภิปรายเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่ว่าวิทยาศาสตร์ให้ความรู้แก่เราหรือไม่ท้ายที่สุดจะอภิปรายถึงการถกเถียงเกี่ยวกับความรู้ของนักญาณวิทยาร่วมสมัย
ซึ่งมักเป็นการท้าทายหรือโต้แย้งต่อข้อเสนอของนักญาณวิทยาแบบดั้งเดิม
2.
ความรู้ในฐานะที่หมายถึงความเชื่อที่จริงและมีเหตุผลสนับสนุน และปัญหาเกตติเออร์
อย่างที่ได้กล่าวไปตอนต้นว่าโดยทั่วไปจะเข้าใจกันว่าความรู้มีความสัมพันธ์กับความเชื่อที่จริง
กล่าวคือ
มักเข้าใจกันว่าความรู้คือความเชื่อที่จริงและมีเหตุผลสนับสนุนว่าจริง
(justified
true belief: JTB) ซึ่งเท่ากับ S
รู้ว่า p
เมื่อและก็ต่อเมื่อ
(ก)
p
เป็นจริง
(ข)
S
เชื่อว่า p
(ค)
S มีเหตุผลสนับสนุนในการที่จะเชื่อว่า
p
จริง
จากเงื่อนไขดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เงื่อนไข (ก)
เป็นเงื่อนไขที่แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เป็นเท็จเราจะไม่เรียกว่าความรู้
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเงื่อนไข (ข)
นั้นแม้จะดูเหมือนชัดเจนว่าการรู้ว่า
p
จำเป็นต้องเชื่อว่า p ด้วย
แต่ก็ยังมีนักปรัชญาบางคนเสนอว่าเป็นไปได้ที่เราจะรู้ว่า
p โดยไม่เชื่อว่า p
ตัวอย่างเช่น คอลลิน แรดฟอร์ด (Collin
Radford)
ซึ่งยกตัวอย่างกรณีที่อัลเบิร์ตทำข้อสอบวิชาประวัติศาสตร์ประเทศอังกฤษ
แล้วข้อสอบถามว่า
“สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธเสด็จสวรรคตเมื่อปีคริสตศักราชอะไร”
อัลเบิร์ตไม่คิดว่าตนเองรู้คำตอบ
แต่เขาก็เดาคำตอบเขียนส่งไปว่า
“สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธเสด็จสวรรคตในปีคริสตศักราช
1603”
ซึ่งท้ายที่สุดคำตอบที่เขาเดาถูกต้อง
แรดฟอร์ดชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญ
2
ประเด็นที่ว่า
- อัลเบิร์ตไม่เชื่อว่า
“สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธเสด็จสวรรคตเมื่อปีคริสตศักราชอะไร”
เนื่องจากเขาคิดว่าเขาไม่รู้คำตอบของคำถาม
เขาเพียงแต่เดาเท่านั้น
- อัลเบิร์ตรู้ว่า
“สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธเสด็จสวรรคตเมื่อปีคริสตศักราชอะไร”
เนื่องจากคำตอบของเขามิใช่เรื่องโชค
การตอบข้อสอบถูกได้แสดงให้เห็นว่าเขารู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประเทศอังกฤษ
แรดฟอร์ดจึงสรุปว่าการ “รู้”
p โดย
“ไม่เชื่อ” ว่า p
เป็นไปได้
ส่วนเงื่อนไข (ค) ซึ่งเรียกร้องให้การที่
S รู้ว่า p นั้น
S
จะต้องมีเหตุผลสนับสนุนในการที่เชื่อว่า p
จริงก็เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าการจะกล่าวได้ว่า “รู้”
นั้นเราจะต้องมีเหตุอันควรเชื่อหรือเหตุผลสนับสนุนก่อน
ถ้าความเชื่อหนึ่ง ๆ
ได้มาจากการจินตนาการคิดฝันเอาเองหรือเป็นเพียงความบังเอิญ
เราก็ไม่ควรรับว่า ณ เวลานั้น S
รู้ว่า p
อย่างไรก็ตาม เอ็ดมันด์ เกตติเออร์ (Edmund
Gettier)
เสนอว่าความเชื่อที่จริงและมีเหตุผลสนับสนุนว่าจริงนั้นไม่เพียงพอที่จะถือเป็นความรู้
ซึ่งอาจเรียกปัญหาที่เกิดขึ้นกับเงื่อนความรู้ดังกล่าวได้ว่า
“ปัญหาเกตติเออร์” กล่าวคือ
เกตติเออร์เห็นว่าโดยทั่วไปนักปรัชญามักจะแสดงให้เห็นว่าความรู้คือความเชื่อที่จริงและมีเหตุผลสนับสนุนว่าจริง
ตัวอย่างเช่น ชิซัล์ม (Chisholm)
เสนอว่า S จะรู้ว่า p
เมื่อและก็ต่อเมื่อ (1)
S ยอมรับ p
(2) S
มีหลักฐานเพียงพอสำหรับ p และ
(3) p เป็นจริง เป็นต้น
แต่เกตติเออร์เห็นว่าเงื่อนไขเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะเป็นเงื่อนไขของความรู้
เขายกตัวอย่างเพื่อเสนอแนวคิดในลักษณะดังกล่าว 2
ตัวอย่างด้วยกัน ดังนี้
กรณีตัวอย่างที่
1
สมมติว่าสมิธและโจนส์ไปสมัครงานด้วยกัน ณ ที่แห่งหนึ่ง
และสมมติว่าสมิธมีหลักฐานที่หนักแน่นพอสำหรับเป็นเหตุผลสนับสนุนประพจน์ที่ว่า
(ก) “โจนส์คือคนที่จะได้งานนี้
และโจนส์มีเหรียญสิบเหรียญในกระเป๋า”
โดยหลักฐานที่ว่าอาจเป็นการที่ผู้บริหารของบริษัทยืนยันกับสมิธว่าโจนส์จะเป็นผู้ที่ได้งานและการที่เขาได้นับเงินในกระเป๋าของโจนส์เมื่อสิบนาทีที่ผ่านมา
ซึ่งประพจน์ (ก) ดังกล่าวมีนัยว่า
(ข) “คนที่จะได้งานนี้มีเหรียญสิบเหรียญในกระเป๋า”
สมมติว่าสมิธเห็นว่า (ข) เป็นนัยที่ตามมาจาก (ก) และยอมรับ
(ข) บนพื้นฐานของ (ก)
เขาก็จะมีหลักฐานที่หนักแน่นพอที่จะเชื่ออย่างมีเหตุผลสนับสนุนว่า
(ข) จริง
อย่างไรก็ตาม
ต่อมากลับกลายเป็นสมิธที่ได้งานแทนที่จะเป็นโจนส์
ซึ่งสมิธไม่รู้มาก่อน
อีกทั้งสมิธก็ไม่รู้ว่าตนเองมีเหรียญสิบเหรียญหลงอยู่ในกระเป๋า
เมื่อเป็นเช่นนี้ ประพจน์ (ข)
ที่สมิธยอมรับจึงยังถูกต้องอยู่ แม้ว่าจะมาจากหลักฐาน (ก)
ที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเกตติเออร์เห็นว่าจากตัวอย่างดังกล่าว
ประพจน์ (ข) เป็นประพจน์ที่จริง สมิธเชื่อว่า (ข) จริง
และสมิธก็มีเหตุผลสนับสนุนที่จะเชื่อว่า (ข) จริง
แต่ก็ชัดเจนว่าสมิธไม่ “รู้” ว่า (ข) จริง
กรณีตัวอย่างที่
2
สมมติว่าสมิธมีหลักฐานที่หนักแน่นสนับสนุนประพจน์ (ก)
ว่าโจนส์เป็นเจ้าของรถฟอร์ด
โดยหลักฐานของสมิธอาจเป็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาในความทรงจำของเขา
โจนส์มีรถเป็นของตัวเองและเป็นรถฟอร์ดเสมอ และเร็วๆ
นี้โจนส์ก็เพิ่งให้สมิธโดยสารขณะขับรถฟอร์ดอยู่
ต่อมาให้จินตนาการว่าสมิธยังมีเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อบราวน์
ซึ่งสมิธไม่รู้จริงๆ ว่าปัจจุบันนี้อาศัยอยู่ที่ไหน
สมิธเลือกสถานที่
3
แห่งโดยการสุ่มและสร้างประพจน์ 3
ประพจน์ดังนี้
(ข)
โจนส์เป็นเจ้าของรถฟอร์ด หรือบราวน์อยู่ที่บอสตัน
(ค)
โจนส์เป็นเจ้าของรถฟอร์ด หรือบราวน์อยู่ที่บาร์เซโลน่า
(ง)
โจนส์เป็นเจ้าของรถฟอร์ด
หรือบราวน์อยู่ที่บรีสท์-ลีโทวส์ค
โดยแต่ละประพจน์เหล่านี้จัดว่าเป็นนัยมาจาก
(ก)
ต่อไปให้จินตนาการว่าสมิธทราบดีว่าเขาสร้างประพจน์เหล่านี้จาก
(ก) และรับประพจน์
(ข), (ค)
และ (ง)
บนฐานของ (ก)
ซึ่งเป็นประพจน์ที่เขามีหลักฐานที่หนักแน่นมาสนับสนุน
เมื่อเป็นเช่นนี้ สมิธก็มีเหตุอันควรให้เชื่อประพจน์ทั้ง
3
ประพจน์อย่างสมบูรณ์ถึงแม้ไม่รู้ว่าบราวน์อยู่ที่ใด
เกตติเออร์อธิบายว่าหากเราจินตนาการต่อไปถึงเงื่อนไขอีก
2 ข้อ
เงื่อนไขที่หนึ่งโจนส์ไม่ได้เป็นเจ้าของรถฟอร์ดแต่ใช้รถเช่าอยู่ในปัจจุบัน
และเงื่อนไขที่สอง ด้วยความบังเอิญจริงๆ
ว่าสถานที่ในประพจน์ (ค)
เป็นสถานที่ที่บราวน์อยู่และสมิธก็ไม่รู้เรื่องดังกล่าว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้ายึดเงื่อนไข 2
ข้อนี้ สมิธจะไม่รู้ว่า (ค)
เป็นจริงถึงแม้ว่ามีเงื่อนไขครบ คือ
(ค) เป็นจริง
สมิธเชื่อว่า (ค)
เป็นจริง และสมิธมีเหตุอันควรให้เชื่อว่า
(ค)
จริง
ดังนั้น เกตติเออร์จึงสรุปว่าเงื่อนไขทั้ง
3
ข้อนั้นไม่เพียงพอในการตัดสินว่าใครสักคนรู้ประพจน์สักประพจน์หนึ่ง
ทั้งนี้
ปัญหาเกตติเออร์อาจยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายขึ้นได้โดยการพิจารณาจากเหตุการณ์ที่ว่า
นาย ก. และ นาย ข. ต้องการลงทะเบียนเรียนวิชาตรรกวิทยา
แต่วิชาดังกล่าวสามารถรับนิสิตเพิ่มได้อีกเพียงคนเดียวเท่านั้น
นาย ก. ทราบข่าวล่วงหน้าจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่า
นาย ข. ได้รับการเลือกให้เข้าเรียนวิชาดังกล่าว เมื่อนาย
ก. บังเอิญเห็นว่า นาย ข.
มีตั๋วรถเมล์อยู่ในกระเป๋าสะพายของเขา นาย ก.จึงสรุปว่า
“คนที่ได้รับการเลือกให้เข้าเรียนวิชาตรรกวิทยาคือคนที่มีตั๋วรถเมล์อยู่ในกระเป๋า”
แต่ต่อมา
อาจารย์วิชาตรรกวิทยากลับประกาศว่าคนที่ได้รับการเลือกให้เข้าเรียนคือนาย
ก.
และเขาเองก็ไม่รู้ว่าในกระเป๋าสะพายของตนมีตั๋วรถเมล์อยู่เช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเท่ากับว่าข้อสรุปที่ว่า
“คนที่ได้รับการเลือกให้เข้าเรียนวิชาตรรกวิทยาคือคนที่มีตั๋วรถเมล์อยู่ในกระเป๋า”
ยังคงถูกต้องอยู่ จะเห็นได้ว่าในกรณีดังกล่าว แม้ว่านาย
ข.จะไม่ใช่คนที่ได้เข้าเรียนวิชาตรรกวิทยา
แต่ข้อสรุปที่นาย ก. มียังคงเป็นจริง นาย ก.
เชื่อว่าข้อสรุปดังกล่าวจริง และนาย ก.
ก็มีเหตุผลสนับสนุนที่จะเชื่อว่าข้อสรุปดังกล่าวจริง
ซึ่งลักษณะดังกล่าวตรงกับเกณฑ์ของความรู้โดยทั่วไปที่มักเข้าใจกันว่าประกอบด้วยองค์ประกอบดังนี้
(1)
P เป็นจริง (2) S
เชื่อว่า p และ (3) S
มีเหตุผลสนับสนุนในการที่จะเชื่อว่า
p จริง อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าข้อสรุปข้างต้นจะมีองค์ประกอบของความรู้ครบถ้วน
แต่นาย ก. ไม่ได้รู้จริง ๆ ว่าข้อสรุปดังกล่าวถูกต้อง
เนื่องจากข้อสรุปข้างต้นเป็นจริงจากการที่นาย ก.
เห็นตั๋วรถเมล์ในกระเป๋าของนาย ข.
และข้อสรุปดังกล่าวก็วางอยู่บนความเข้าใจผิดว่านาย ข.
จะเป็นคนได้รับเลือกให้เข้าเรียนวิชาตรรกวิทยา
ซึ่งเท่ากับว่าเกณฑ์โดยทั่วไปของความรู้ไม่เพียงพอที่จะทำให้ความเชื่อหนึ่ง
ๆ ถือเป็นความรู้
หลังจากที่เกตติเออร์เสนอข้อวิจารณ์ดังกล่าว
ก็ได้เกิดข้อถกเถียงและการอภิปรายเพื่อแก้ปัญหาเกตติเออร์
ตัวอย่างเช่น
มีผู้เสนอว่ากรณีตัวอย่างที่เกตติเออร์ยกขึ้นมานั้น
ไม่มีกรณีใดที่ความเชื่อมีเหตุผลสนับสนุน
เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เหตุผลสนับสนุนสิ่งใดก็ตามที่ไม่จริง
ซึ่งการเสนอในลักษณะดังกล่าวจะทำให้นิยามความรู้แบบ
“ความเชื่อที่จริงและมีเหตุผลสนับสนุนว่าจริง”
ยังคงเป็นไปได้อยู่ กระนั้นก็ดี
นักญาณวิทยาหลายต่อหลายคนพยายามให้ข้อเสนอใหม่เกี่ยวกับความรู้เพื่อแก้ปัญหาเกตติเออร์
กระทั่งนำไปสู่แนวทางการให้เหตุผลสนับสนุนแบบอื่น ๆ
ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอก (externalism)
ในเวลาต่อมา
3.
มูลฐานนิยมและสหนัยนิยม
ในส่วนที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า “การให้เหตุผลสนับสนุน” (justification)
เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ความเชื่อที่จริงหนึ่งๆ
กลายเป็นความรู้
ข้อถกเถียงหนึ่งในญาณวิทยาเป็นเรื่องเชิงบรรทัดฐานเกี่ยวกับเกณฑ์ว่าเราควรจะให้เหตุผลสนับสนุนอย่างไร
โดยเกณฑ์ดังกล่าวใช้สำหรับยอมรับหรือปฏิเสธความเชื่อได้
เราสามารถเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับการให้เหตุผลสนับสนุนจากสถานการณ์
เช่น สมมติว่าเรามีความเชื่อหนึ่ง
โดยมีเหตุผลสนับสนุนว่ามีความน่าเชื่อถือเนื่องจากมาจากการบอกเล่าของคนที่น่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม
เหตุผลนี้ทำให้เกิดคำถามตามมาอีกว่าทำไมจึงเชื่อได้ว่าบุคคลคนนั้นเป็นคนที่น่าเชื่อถือ
ซึ่งเราต้องยกเหตุผลอื่นมาสนับสนุนความน่าเชื่อถือของบุคคลนั้นอีก
และเมื่อตอบคำถามดังกล่าวแล้ว
ก็ยังสามารถตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุผลที่ยกมาอีกว่าอะไรเป็นเหตุผลสนับสนุนเหตุผลที่ว่านั้นได้ต่อไป
มีทฤษฎีที่อธิบายโครงสร้างของกระบวนการให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่อดังนี้
- มูลฐานนิยม (foundationalism)
ทฤษฎีนี้เห็นว่าโครงสร้างของกระบวนการให้เหตุผลสนับสนุนอยู่ในรูปช่วงชั้น
(hierarchy)
ความเชื่อที่ซับซ้อนกว่าจะได้เหตุผลสนับสนุนจากความเชื่อพื้นฐาน
โดยความเชื่อประเภทหลังนี้ไม่ต้องการเหตุผลอื่น ๆ
มาสนับสนุนตนเอง
- สหนัยนิยม
(coherentism)
ทฤษฎีนี้เห็นว่าโครงสร้างของกระบวนการให้เหตุผลสนับสนุนอยู่ในรูปของการเป็นเหตุผลสนับสนุนซึ่งกันและกันภายในระบบความเชื่อเดียวกัน
ความเชื่อหนึ่งๆ
ในระบบจึงได้รับเหตุผลสนับสนุนจากความเชื่ออื่นๆ
และความเชื่อเหล่านั้นก็ต้องมีเหตุผลสนับสนุนจากความเชื่ออื่นๆ
ในระบบอีกทอดหนึ่ง การให้เหตุผลสนับสนุนจึงเป็นเรื่องของ
“ความสหนัย” (coherence)
หรือการสอดคล้องลงรอยกันระหว่างความเชื่อในระบบ
- อนันตนิยม
(infinitism)
ทฤษฎีนี้มองโครงสร้างของกระบวนการให้เหตุผลสนับสนุนคล้ายกับทฤษฎีสหนัยนิยม
คือ ทุกความเชื่อต้องมีเหตุผลสนับสนุน
ไม่มีความเชื่อใดที่เป็นเหตุผลสนับสนุนตนเองได้
อย่างไรก็ตาม
อนันตนิยมเห็นว่าการให้เหตุผลสนับสนุนนั้นไม่มีที่สิ้นสุด
ความเชื่อแบบนี้จะเห็นว่าไม่มีเหตุผลใดที่ไม่ต้องการเหตุผลอื่น
ๆ มาสนับสนุน
แต่การแสวงหาเหตุผลสนับสนุนนั้นกระทำได้ไม่มีที่สิ้นสุด
จึงแตกต่างทฤษฎีสหนัยนิยมที่เห็นว่าการให้เหตุผลสนับสนุนนั้นจำกัดอยู่ในระบบความเชื่อเดียวกัน
ทั้งนี้ ในญาณวิทยาแต่ดั้งเดิม
ทฤษฎีที่เป็นที่สนใจถกเถียงกันเป็นหลักคือมูลฐานนิยมและสหนัยนิยม
4.
ทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกและทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายใน
จากปัญหาและข้อโต้แย้งที่มีต่อแนวคิดแบบมูลฐานนิยมและสหนัยนิยม
นักญาณวิทยาจึงได้เสนอเกณฑ์อื่นๆ
สำหรับตัดสินว่าความเชื่อหนึ่งๆ ที่มีเป็นความรู้หรือไม่
ที่สำคัญคือทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอก (externalism)
ซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามกับแนวคิดแบบทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายใน
(internalism)
ที่เห็นว่าการตัดสินว่าอะไรเป็นความรู้ต้องอาศัยปัจจัยที่อยู๋ภายในตัวผู้รู้
เช่น ความคิด ความทรงจำ เป็นต้น ทั้งนี้
มูลฐานนิยมและสหนัยนิยมที่กล่าวถึงไปในหัวข้อที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายใน
ส่วนทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกเห็นว่าการตัดสินว่าอะไรเป็นความรู้ต้องพิจารณาสิ่งอื่นๆ
นอกเหนือจากปัจจัยภายใน เช่น สภาพแวดล้อมของผู้รู้
ทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในและทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกมีข้อเสนอที่แตกต่างกันเกี่ยวกับความรู้
อีกทั้งเมื่อมีปัญหาเกตติเออร์
ก็ได้มีการเพิ่มเติมเงื่อนไขเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว
ข้อเสนอเกี่ยวกับความรู้จากแนวคิดทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในและทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกมีลักษณะดังนี้
-
ทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในมีข้อเสนอว่าการให้เหตุผลสนับสนุนจากปัจจัยภายในเป็นเงื่อนไขจำเป็นสำหรับความรู้
และกระบวนการที่นำสู่ความเชื่อที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอสำหรับการทำให้เกิดความรู้
ดังนั้น จึงอาจเข้าใจมโนทัศน์ “ความรู้”
ของนักทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในได้ว่า
S รู้ว่า
p
เมื่อและก็ต่อเมื่อ
(1) p
เป็นจริง
(2) S เชื่อว่า p
(3) S
มีเหตุผลสนับสนุนจากปัจจัยภายในในการเชื่อว่า p
(4) ความเชื่อของ
S ว่า
p
ไม่ทำให้เกิดปัญหาเกตติเออร์
-
ทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกมีข้อเสนอว่าการให้เหตุผลสนับสนุนจากปัจจัยภายในไม่เป็นเงื่อนไขจำเป็นของความรู้
แต่กระบวนการที่นำสู่ความเชื่อที่น่าเชื่อถือเป็นปัจจัยที่เพียงพอสำหรับทำให้เกิดความรู้
ดังนั้น
จึงเป็นไปได้ที่จะมีความรู้ที่ไม่มีเหตุผลสนับสนุนจากปัจจัยภายใน
ดังนั้น จึงอาจเข้าใจมโนทัศน์ “ความรู้”
ของนักทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกได้ว่า
S รู้ว่า
p
เมื่อและก็ต่อเมื่อ
(1) p
เป็นจริง
(2) S เชื่อว่า p
(3) S
มีเหตุผลสนับสนุนจากปัจจัยภายนอกในการเชื่อว่า p
(ในแนวทางที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาเกตติเออร์)
จะเห็นได้ว่า
ทั้งทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในและทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกต่างก็เห็นว่าความรู้จำเป็นต้องเป็นความเชื่อที่จริง
และทั้งสองก็เห็นร่วมกันว่าเกณฑ์ตัดสินความรู้ต้องหลีกเลี่ยงปัญหาของเกตติเออร์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองเสนอคำตอบที่แตกต่างกันต่อคำถามที่ว่า
“อะไรเป็นสิ่งจำเป็นในการทำให้ความเชื่อที่จริงกลายเป็นความรู้”
ทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในเห็นว่าสิ่งที่จำเป็นคือการให้เหตุผลสนับสนุนบนพื้นฐานปัจจัยภายใน
ส่วนทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกเห็นว่าปัจจัยภายในไม่จำเป็น
แค่ปัจจัยภายนอกก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ความเชื่อที่จริงกลายเป็นความรู้
ทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกที่สำคัญคือทฤษฎีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ
(causal
theory)
และทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการ (reliabilism)
ทฤษฎีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุเห็นว่าความเชื่อจะเป็นความรู้ก็ต่อเมื่อสิ่งที่เชื่อมีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่เหมาะสมกับการที่บุคคลมีความเชื่อนั้น
เช่น ความเชื่อว่า “มีนกตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้”
เป็นความรู้ในกรณีที่การที่มีนกตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้มีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุกับการที่บุคคลมีความเชื่อนี้
อย่างไรก็ตาม
ทฤษฎีเชิงสาเหตุมีข้อบกพร่องเนื่องจากในบางกรณีแม้การเชื่อจะมีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่เหมาะสมกับสิ่งที่เชื่อ
แต่ก็ไม่ถือเป็นความรู้เพราะความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นเพียงความบังเอิญหรือความเข้าใจผิด
และในบางกรณีมีความเชื่อหลายความเชื่อที่ถือเป็นความรู้แต่มิได้มีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่เหมาะสมกับสิ่งต่าง
ๆ เช่น 2+2=4
เป็นต้น
ต่อมาได้มีการเสนอทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการ
ซึ่งไม่ได้เห็นว่าความเชื่อจะต้องการความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่เหมาะสมกับสิ่งต่าง
ๆ แต่จะถือว่าความเชื่อหนึ่ง ๆ
เป็นความรู้ก็ต่อเมื่อความเชื่อดังกล่าวเป็นผลมาจากกระบวนการที่น่าเชื่อถือ
ทฤษฎีนี้เห็นว่าการจะตัดสินว่าความเชื่อหนึ่งๆ
เป็นความรู้หรือไม่ให้พิจารณาจากความน่าเชื่อถือของกระบวนการเชิงปริชาน
(cognitive
process) ที่นำสู่ความเชื่อนั้น
โดยความน่าเชื่อถือของกระบวนการดังกล่าวขึ้นกับแนวโน้มที่กระบวนการจะนำสู่ความเชื่อที่จริงได้
ทั้งนี้
มีข้อควรระวังว่าทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการสามารถแบ่งได้เป็น
2
รูปแบบด้วยกัน รูปแบบแรกคือ
ทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการมีฐานะเป็นทฤษฎีการให้เหตุผลสนับสนุน
ซึ่งจะพิจารณาการมีเหตุผลสนับสนุนจากความน่าเชื่อถือของกระบวนการที่นำสู่ความเชื่อ
รูปแบบที่สองคือทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการในฐานะที่เป็นทฤษฎีความรู้
ซึ่งเห็นว่าความรู้ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลสนับสนุน
แต่สิ่งที่จำเป็นคือกระบวนที่น่าเชื่อถือที่นำสู่ความเชื่อ
อาจสรุปหลักการของรูปแบบทั้งสองได้ดังนี้
-
ทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการในฐานะที่เป็นทฤษฎีการให้เหตุผลสนับสนุนประกอบด้วยหลักการ
2
ส่วนที่ว่า
- ส่วน
A: S
รู้ว่า p
เมื่อและก็ต่อเมื่อความเชื่อของ S
ว่า p นั้น (1)
เป็นจริง และ (2)
มีเหตุผลสนับสนุน
- ส่วน
B: S
มีเหตุผลสนับสนุนในการเชื่อว่า p
เมื่อและก็ต่อเมื่อความเชื่อของ S
ว่า p
สร้างโดยกระบวนการเชิงปริชานที่น่าเชื่อถือ
(ในแนวทางที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาเกตติเออร์)
-
ทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการในฐานะที่เป็นทฤษฎีความรู้
เห็นว่า
S รู้ว่า
p เมื่อและก็ต่อเมื่อความเชื่อของ
S ว่า p
นั้น (1) เป็นจริง และ (2)
สร้างโดยกระบวนการเชิงปริชานที่น่าเชื่อถือ
(ในแนวทางที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาเกตติเออร์)
5.
หลักการเชิงญาณวิทยา (epistemic
principles)
หลักการเชิงญาณวิทยาเป็นหลักการเชิงบรรทัดฐาน
ซึ่งอธิบายสถานะทางญาณวิทยาของประพจน์ภายใต้เงื่อนไขที่แตกต่างกัน
หลักการเชิงญาณวิทยาเหล่านี้มีหลายข้อที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
เช่น มีความเห็นว่าบางหลักการอาจนำไปสู่วิมตินิยม
หรือปัญหาเชิงญาณวิทยาอื่นๆ
ตัวอย่างของหลักการเชิงญาณวิทยาที่รู้จักกันโดยทั่วไป เช่น
ถ้าบุคคลมีเหตุผลสนับสนุนความเชื่อว่าประพจน์
x จริง
บุคคลนั้นก็จะมีไม่มีเหตุผลสนับสนุความเชื่อว่า x
ไม่จริง นอกจากนี้ ยังมีหลักการที่สำคัญอื่น ๆ อีก เช่น
(1)
Conjunction Principle (CON-P): ถ้า
S มีเหตุผลสนับสนุนที่จะเชื่อว่า
x และ S
มีเหตุผลสนับสนุนที่จะเชื่อว่า y
แล้ว S
จะมีเหตุผลสนับสนุนในการเชื่อว่า x
และ y
(2) Closure Principle (CLO-P): ถ้า
S มีเหตุผลสนับสนุนที่จะเชื่อว่า
x และ x มีนัย (entail)
ว่า y แล้ว S
จะมีเหตุผลสนับสนุนที่จะเชื่อว่า y
(3) Evidence Transfer Principle (ET-P)
ถ้ามีหลักฐาน e
ที่เป็นเหตุผลสนับสนุนให้ S
เชื่อว่า x และ x
มีนัยว่า y แล้ว
e จะเป็นเหตุผลสนับสนุนให้
S เชื่อว่า y
ข้อสังเกตเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้ง
3
หลักการนี้คือ CLO-P
ไม่ได้มีนัยถึง CON-P เนื่องจาก
CLO-P
เกี่ยวข้องกับประพจน์เพียงประพจน์เดียว
มิได้เกี่ยวข้องกับชุดของประพจน์เช่นเดียวกับ CON-P
นอกจากนี้ CLO-P ก็มิได้มีนัยถึง
ET-P เนื่องจาก CLO-P
มิได้เรียกร้องว่าประพจน์ที่เกี่ยวข้องต้องมีหลักฐานร่วมกัน
ดังนั้น เราสามารถยอมรับ CLO-P
โดยไม่ยอมรับหลัก CON-P หรือ
ET-P
ได้
อย่างที่ได้กล่าวไปตอนต้นประการหนึ่งว่าหลักการเชิงญาณวิทยาหลายข้อยังเป็นที่ถกเถียงเนื่องจากเป็นพื้นฐานให้เกิดข้อสงสัยจนนำไปสู่ข้อเสนอแบบวิมตินิยม
ซึ่งมีท่าทีสงสัยว่าเรามีความรู้จริงหรือไม่
ข้อเสนอแบบวิมตินิยมมีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน
รูปแบบที่สุดโต่งที่สุดคือวิมตินิยมแบบครอบคลุม (global
skepticism)
ที่สงสัยในความรู้ทุกประเภท
การตั้งข้อสงสัยการมีความรู้ของมนุษย์โดยวิมตินิยมมีหลายรูปแบบ
ตัวอย่าง เช่น
การตั้งข้อสงสัยโดยอาศัยเรื่องการให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่อที่กล่าวถึงในตอนต้น
การตั้งข้อสงสัยดังกล่าวมีการอ้างเหตุผลดังนี้
(1) ความรู้ทั้งหมดต้องการเหตุผลสนับสนุน
โดยเหตุผลดังกล่าวต้องไม่เป็นไปตามอำเภอใจหรือทวนคำถาม (beg
the question)
หรือมากมายไม่มีที่สิ้นสุด
(2)
โครงสร้างสำหรับให้เหตุผลสนับสนุนต่างมีลักษณะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ตามอำเภอใจ
(มูลฐานนิยม) เป็นเรื่องที่ทวนคำถาม (สหนัยนิยม)
และเป็นเรื่องที่มีเหตุผลมากมายไม่สิ้นสุด (อนันตนิยม)
ดังนั้น ไม่มีเหตุผลสนับสนุนความรู้
การโต้ตอบต่อการอ้างเหตุผลดังกล่าวมีหลายรูปแบบด้วยกัน
ตัวอย่างเช่น
(1) ประพจน์ที่เป็นพื้นฐานมิได้เป็นเรื่องตามอำเภอใจ
(2) สหนัยนิยมไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การทวนคำถามเสมอไป
(3) การต้องการเหตุผลที่ไม่สิ้นสุดสำหรับความเชื่อหนึ่ง ๆ
มิได้มีนัยว่าความเชื่อนั้นจะไม่มีเหตุผลสนับสนุน
การตั้งข้อสงสัยของวิมัตินิยมสามารถอาศัยหลักการเชิงญาณวิทยามาเป็นพื้นฐานได้ด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างการอ้างเหตุผลเช่น
(1)
ถ้าฉันมีเหตุผลสนับสนุนให้เชื่อได้ว่ามีโต๊ะตัวหนึ่งอยู่ตรงหน้าฉันจริงๆ
แล้วฉันจะมีเหตุผลสนับสนุนที่จะเชื่อว่าฉันมิได้อยู่ในสถานการณ์แบบที่นักวิมตินิยมอ้างถึง
เช่น สถานการณ์ของการถูกปีศาจหลอกให้เห็นสิ่งต่าง ๆ
เป็นต้น
(2)
ฉันไม่มีเหตุผลสนับสนุนที่จะเชื่อว่าฉันมิได้เป็นคนที่อยู่ในสถานการณ์แบบที่นักวิมตินิยมอ้างถึง
ดังนั้น
ฉันไม่เคยมีเหตุผลสนับสนุนที่จะเชื่อว่ามีโต๊ะตัวหนึ่งอยู่ข้างหน้าฉัน
สังเกตได้ว่าในตัวอย่างดังกล่าว
มีการนำเอาหลักการเชิงญาณวิทยา
CLO-P มาใช้
อีกตัวอย่างเป็นการอ้างเหตุผลในรูปแบบคล้ายกันเพื่อเสนอแนวคิดวิมตินิยมซึ่งใช้หลักการเชิงญาณวิทยา
ET-P
(1) ถ้าหลักฐาน
e
ที่ฉันมีเพียงพอที่จะให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่อว่ามีโต๊ะตัวหนึ่งอยู่ต่อหน้าฉันแล้ว
หลักฐาน e
ก็จะเพียงพอที่จะให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่อว่าฉันมิได้อยู่ในสถานการณ์แบบที่นักวิมตินิยมอ้างถึง
(2) หลักฐาน
e
ไม่เพียงพอที่จะให้เหตุผลสนับสนุนว่าฉันฉันมิได้อยู่ในสถานการณ์แบบที่นักวิมตินิยมอ้างถึง
ดังนั้น หลักฐาน
e
ไม่เพียงพอที่จะให้เหตุผลสนับสนุนว่ามีโต๊ะตัวหนึ่งอยู่ต่อหน้าฉัน
แนวทางที่เป็นไปได้ข้อหนึ่งในการโต้ตอบการอ้างเหตุผลของวิมัตินิยมดังกล่าว
คือการปฏิเสธหลักการทางญาณวิทยาที่เป็นปัญหาไป
ซึ่งการปฏิเสธหลักการหนึ่งไม่จำเป็นต้องกระทบกับอีกหลักการดังได้กล่าถึงในข้อสังเกตเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหลักการเหล่านี้ข้างต้น
เช่น เราสามารถปฏิเสธ
ET-P ได้โดยไม่ต้องปฏิเสธ CLO-P
เพราะ CLO-P
มิได้มีนัยว่า ET-P
นอกจากวิมัตินิยมจะทำให้ต้องตั้งคำถามกับหลักการเชิงญาณวิทยาแล้ว
ยังมีปฏิทรรศน์ (paradox)
ที่ในที่สุดทำให้ต้องตั้งคำถามกับหลักการเหล่านั้น
ตัวอย่างเช่นปฏิทรรศน์เรื่องกรู (Grue Paradox)
ซึ่งพัฒนาโดยเนลสัน กู๊ดแมน (Nelson Goodman)
นั้นตั้งคำถามกับหลักการ ET-P
ตามปฏิทรรศน์นี้
เขาอธิบายว่าหยกทุกชิ้นที่ได้ตรวจสอบในเวลาที่ผ่านมาจนกระทั่งปัจจุบันมีสีเขียว
และเนื่องจากได้มีการตรวจสอบมาเป็นจำนวนมากแล้ว
จึงมีเหตุผลสนับสนุนที่จะเชื่อว่าหยกทุกชิ้นสีเขียว
สมมุติมีอีกความเชื่อว่าหยกทุกชิ้นที่ตรวจสอบมามีสีเขียวจนกระทั่งปัจจุบันเท่านั้น
แต่ในอนาคตจะเป็นสีฟ้า
เรียกสีที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ว่าสีกรู (grue :
มาจาก green + blue)
ความเชื่อที่ว่าหยกทุกชิ้นมีสีเขียวมีนัยว่าไม่มีหยกใดมีสีกรู
อย่างไรก็ตาม
แม้หลักฐานการตรวจสอบหยกที่ผ่านมาทั้งหมดจะสนับสนุนว่าหยกทุกชิ้นมีสีเขียว
แต่หลักฐานเหล่านี้ก็มิได้สนับสนุนว่าไม่มีหยกใดที่มีสีกรู
เพราะหลักฐานเหล่านี้มาจากการตรวจสอบหยกจนกระทั่งปัจจุบันเท่านั้น
ไม่รวมถึงการตรวจสอบในอนาคต
ปฏิทรรศน์เรื่องกรูจึงแสดงให้เห็นว่าหลักฐานมิได้มีลักษณะส่งผ่านตามที่ระบุในหลักการ
ET-P
6. วิทยาศาสตร์ให้ความรู้แก่เราหรือไม่
จากการอภิปรายที่ผ่านมา
จะเห็นได้ว่าโดยทั่วไปมีการยอมรับกันว่า “ความจริง”
เป็นเงื่อนไขจำเป็นเงื่อนไขหนึ่งของความรู้
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงอาจตั้งคำถามได้ว่า
วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นศาสตร์ที่มัก
“มีการค้นพบความคิดใหม่และหักล้างความคิดเก่าอยู่ตลอด”
นั้นเป็นศาสตร์ที่ทำให้เกิดความรู้หรือไม่ นอกจากนี้
งานวิจัยในวิทยาศาสตร์หลายครั้งมีผลลัพธ์เป็นการประมาณการหรือเป็นความน่าจะเป็นเท่านั้น
ซึ่งทำให้ตั้งคำถามว่าวิทยาศาสตร์ให้ความจริงแก่เราหรือไม่
นักคิดที่เป็นอติสัจนิยมเชิงวิทยาศาสตร์ (scientific
anit-realism)
เสนอว่าการวิจัยในวิทยาศาสตร์นั้นมีจุดประสงค์เพื่อความเป็นประโยชน์
ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับความจริง กล่าวคือ
พวกเขาเห็นว่าทฤษฎีวิทยาศาสตร์มิได้จริงหรือเท็จ
แต่เป็นประโยชน์ในการทำนายผลของการทดลองและอธิบายข้อมูลต่าง
ๆ ได้ แต่ถ้าวิทยาศาสตร์มิได้เกี่ยวข้องกับความจริง
วิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้
เนื่องจากความรู้ต้องมีความจริงเป็นเงื่อนไขที่จำเป็น
นอกจากนี้ ธอมัส คูห์น (Thomas
Kuhn)
นักประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20
ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการสะสมความรู้ของวิทยาศาสตร์ว่ากระบวนการสะสมความรู้ของวิทยาศาสตร์นั้นมิได้เป็นแบบพอกพูนความรู้
หรือมิได้เป็นการขยายตัวของความรู้
แต่เป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (paradigm)
กล่าวคือ
คูห์นเสนอว่าการเปลี่ยนทฤษฎีวิทยาศาสตร์ในประวัติศาสตร์นั้นแบ่งออกเป็น
3 ขั้นตอนใหญ่ ๆ คือ (1) ขั้นก่อนกระบวนทัศน์
(preparadigm)
เป็นขั้นที่ชุมชนวิทยาศาสตร์ต่างค้นคว้าเรื่องเดียวแต่มีแนวทางต่างกันไป
จนกระทั่งเกิดกระบวนทัศน์ที่นักวิทยาศาสตร์พากันสนใจนำไปใช้เป็นต้นแบบการทำงาน
(2) ขั้นวิทยาศาสตร์ปกติ (normal science)
เป็นขั้นที่มีการค้นคว้าศึกษาภายในกรอบของกระบวนทัศน์
งานสำคัญคือการแก้ปัญหาต่างๆ
ที่เกิดขึ้นภายในกรอบกระบวนทัศน์นั้น
จนกระทั่งปัญหามีความซับซ้อนมากขี้นเรื่อย ๆ
เมื่อผนวกกับปัจจัยอื่นๆ จึงเกิดขั้น (3) คือ ขั้นปฏิวัติ
(revolution)
เป็นขั้นที่นำไปสู่การยอมรับกระบวนทัศน์ใหม่
ตามความเข้าใจแบบนี้
การปฏิวัติในวิทยาศาสตร์คือการยอมรับแนวคิดใหม่แทนที่แนวคิดเก่า
โดยการยอมรับดังกล่าวไม่ได้เป็นเพราะกระบวนทัศน์ใหม่จริงกว่า
เช่น การเปลี่ยนแปลงจากการอธิบายระบบสุริยจักรวาลแบบโทเลมี
(Ptolemy)
มาเป็นการอธิบายระบบสุริยจักรวาลแบบโคเปอร์นิคัส (Copernicus)
นั้นมิได้หมายความว่าแนวคิดใหม่ของโคเปอร์นิคัส “จริงกว่า”
แนวคิดแบบธอเลมี
แต่นักวิทยาศาสตร์เห็นว่ามีความเหมาะสมมากกว่า
เนื่องจากมีความซับซ้อนน้อยกว่า
คูห์นจึงเห็นว่าเราไม่อาจแน่ใจได้ว่าวิทยาศาสตร์ทำให้เรามีความรู้มากขึ้นหรือพอกพูนขึ้นได้จริงหรือไม่
ทั้งนี้เพราะการปฏิเสธแนวคิดเก่าเพื่อยอมรับแนวคิดใหม่นั้น
อาจมิได้หมายความว่าเรามีความรู้เกี่ยวกับโลกมากขึ้น
แต่อาจเป็นเพราะเราเปลี่ยนกระบวนทัศน์
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนวิธีการมองโลกแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่งเท่านั้น
อีกทั้งเหมือนว่าการเลือกรับกระบวนทัศน์นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ไม่เกี่ยวกับความจริงเท็จด้วย
การถกเถียงดังกล่าวทำให้ต้องพิจารณาทฤษฎีความจริงซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ
ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีความจริงแบบสมนัย (correspondence
theory) เสนอว่า p
เป็นจริงเมื่อและก็ต่อเมื่อ p
ตรงกันกับความเป็นจริง ทฤษฎีความจริงแบบสหนัย (coherence
theory) เสนอว่า p
เป็นจริงเมื่อและก็ต่อเมื่อ p
สอดคล้องกับประพจน์อื่น ๆ เป็นต้น
7. การถกเถียงเกี่ยวกับความรู้ร่วมสมัย
คำถามที่นักญาณวิทยาแบบดั้งเดิมสนใจคือ “เราควรเชื่ออะไร”
และ “ความรู้คืออะไร”
ซึ่งโดยทั่วไปนักญาณวิทยาแบบดั้งเดิมจะตอบคำถามเหล่านี้โดย
(1)
บรรยายชนิดของเหตุผลที่ให้การยืนยันความเชื่อหนึ่ง ๆ และ
(2)
พัฒนาชุดของเงื่อนไขที่จำเป็นและเพียงพอของความรู้
อย่างไรก็ตาม
การถกเถียงเกี่ยวกับความรู้ร่วมสมัยนั้นมีลักษณะเป็นการโต้แย้งและท้าทายข้อเสนอของญาณวิทยาแบบดั้งเดิม
เช่น
การท้าทายโดยทฤษฎีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการ
นอกจากนี้ นักญาณวิทยาบางคน เช่น ดับบลิว. วี. ไควน์ (W.
V. Quine)
ยังเห็นว่าญาณวิทยาเป็นสาขาหนึ่งของจิตวิทยาเชิงปริชาน (cognitive
psychology)
ข้อเสนอแบบนี้เรียกว่าญาณวิทยาเชิงธรรมชาติ (naturalized
epistemology)
ซึ่งเท่ากับเป็นการท้าทายต่อญาณวิทยาแบบดั้งเดิม
เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนสถานะของคำถามเชิงบรรทัดฐานในญาณวิทยาให้เป็นคำถามที่ตอบโดยการบรรยายซึ่งอาศัยข้อมูลจากวิทยาศาสตร์
ยิ่งไปกว่านั้น
ยังมีการท้าทายญาณวิทยาแบบดั้งเดิมโดยญาณวิทยาเชิงคุณธรรม
(virtue
epistemology)
ซึ่งมุ่งเน้นการประเมินเชิงญาณวิทยาโดยพิจารณาตัวบุคคลมากกว่าจากคุณสมบัติของความเชื่อหรือกระบวนการที่นำสู่ความเชื่อ
นักญาณวิทยาเชิงคุณธรรมคนสำคัญคือ ลินดา แซกเซบสกี (Linda
Zagzebski)
ผู้ซึ่งเสนอทฤษฎีทางญาณวิทยาที่วางอยู่บนจริยศาสตร์เชิงคุณธรรม
(virtue ethics)
และมีการท้าทายที่สุดโต่งจากกลุ่มนักญาณวิทยาหลายกลุ่มด้วยกัน
ตัวอย่างเช่น กลุ่มที่มีแนวคิดพหุนิยมเชิงปริชาน (cognitive
pluralism)
ที่เห็นว่าไม่อาจหาคำตอบกลางเกี่ยวกับญาณวิทยาได้
เนื่องจากแต่ละคนก็มีวิธีคิด วิธีใช้เหตุผล
วิธีได้มาและตรวจสอบความเชื่อในลักษณะที่แตกต่างหลากหลายกัน
กลุ่มที่มีแนวคิดญาณวิทยาแบบสตรีนิยม (feminist
epistemology)
ที่ท้าทายสมมุติฐานต่างๆ
ของญาณวิทยาดั้งเดิมซึ่งถือว่าเป็นญาณวิทยาของอภิสิทธิชน
เช่น ท้าทายการแสวงหาคำตอบที่สากลไม่ขึ้นกับบริบท
ท้าทายการให้ความสำคัญกับจิตมากกว่ากาย เป็นต้น
ผู้ที่ปกป้องญาณวิทยาแบบดั้งเดิมมีการตอบโต้พื้นฐานต่อการท้าทายเหล่านี้ใน
2 รูปแบบด้วยกัน แบบแรก
ผู้ที่ปกป้องญาณวิทยาแบบดั้งเดิมเห็นว่าสามารถประเมินตรวจสอบข้อวิพากษ์ที่ผู้โต้แย้งเสนอขึ้นมาได้
ส่วนแบบที่สอง
พวกเขาสามารถชี้ให้เห็นว่าผู้โต้แย้งจะต้องปกป้องความสมเหตุสมผลของความคิดเห็นตนโดยใช้หลักการเกี่ยวกับเหตุผลที่ดีที่นักญาณวิทยาแบบดั้งเดิมยึดถือ
แม้ว่าการโต้ตอบนี้จะมิได้แสดงให้เห็นว่าข้อเสนอของผู้โต้แย้งผิด
แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นความสำคัญและความเป็นสากลของคำถามที่ว่า
“เราควรเชื่ออะไร” และ “ความรู้คืออะไร”
ซึ่งเป็นคำถามสำคัญคำถามมากหนึ่งในญาณวิทยาตลอดมา
ศิรประภา ชวะนะญาณ (ผู้เรียบเรียง)
เรียบเรียงจาก
· |
คูห์น, ธอมัส. 2544.
โครงสร้างของการปฏิวัติในวิทยาศาสตร์.
สิริเพ็ญ พิริยจิตรกรกิจ แปลจาก
The Structure of Scientific Revolution.
Third Edition.
งานแปลของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติลำดับที่
187. กรุงเทพฯ: วิภาษา. |
· |
มารค ตามไท.
ทฤษฎีความรู้ของวิทยาศาสตร์.
|
· |
Alston, William. 1998. Internalism and
Externalism in Epistemology.
In Edward Craig (ed.). Routledge
Encyclopedia of Philosophy [CD-Rom
Version 1.0]. |
· |
Conee, Earl and Feldman, Richard. Epistemology.
In Donald M. Borchet (ed.). The
Encyclopedia of Philosophy. Second
Edition. New York: Macmillan, Vol. 3: 270-277. |
· |
Gettier, Edmund.
1963. Is justified true belief knowledge?
Analysis
23: 121–123. |
· |
Goldman, A. I. 1998. Reliabilism. In Edward
Craig (ed.). Routledge Encyclopedia of
Philosophy [CD-Rom Version 1.0]. |
· |
Klein, P. D. 1998. Knowledge, Concept of. In
Edward Craig (ed.). Routledge Encyclopedia
of Philosophy [CD-Rom Version
1.0]. |
· |
Luper, Steven. 1998. Belief and Knowledge. In
Edward Craig (ed.). Routledge Encyclopedia
of Philosophy [CD-Rom Version
1.0]. |
· |
Quinton, Anthony. 2006. Knowledge and Belief. In
Donald M. Borchet (ed.). The Encyclopedia
of Philosophy. Second Edition. New York:
Macmillan, Vol. 5: 91-100. |
· |
Steup, Matthias.
2006. The Analysis of Knowledge. In Edward N.
Zalta (ed.).
The
Stanford Encyclopedia of Philosophy.
<URL=http://plato.stanford.edu/entries/knowledge-analysis/>. |
· |
Aristotle (3rd century BC).
Posterior Analytics. Ed. and trans. J.
Barnes. Oxford: Clarendon Press, 1975. (อริสโตเติลเสนอและปกป้องมูลฐานนิยมเกี่ยวกับประสบการณ์ทางผัสสะ) |
· |
Audi, R. 1993. The
Structure of Justification.
Cambridge: Cambridge University
Press.
(เสนอการพัฒนาและปกป้องแนวคิดมูลฐานนิยมรูปแบบหนึ่ง) |
· |
Ayer, A. J. 1940. Foundations of Empirical
Knowledge. London: Macmillan. (เสนอการพัฒนาและปกป้องแนวคิดมูลฐานนิยมรูปแบบโครงสร้างของเหตุผล) |
· |
BonJour, L. 1985. The Structure of
Empirical Knowledge. Cambridge, MA:
Harvard University Press. (ประกอบด้วยข้อปกป้องแนวคิดสหนัยนิยม) |
· |
Chisholm, R. 1966. Theory of
Knowledge. Englewood Cliffs, NJ:
Prentice Hall; 2nd edn, 1977; 3rd edn, 1989. (เสนอแนวคิดมูลฐานนิยมเกี่ยวกับความรู้
ประกอบกับข้อเสนอเรื่องความสามารถผิดได้) |
· |
Davidson, D. 1983. A
coherence theory of truth and
knowledge. In E. LePore (ed.).
Truth and Interpretation:
Perspectives on the Philosophy
of Donald Davidson.
Oxford: Blackwell, 1986.
(ประกอบด้วยข้อเสนอแบบสหนัยนิยมเกี่ยวกับความรู้
และมีการอ้างเหตุผลที่เสนอว่าความเชื่อที่สอดคล้องจะต้องเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง) |
· |
Descartes, R. 1641. Meditations on First
Philosophy. In E. Haldane and G.R.T. Ross (eds).
The Philosophical Works of Descartes. Vol.
1. Mineola, NY: Dover Publications, 1955.
(ประกอบด้วยข้อเสนอของมูลฐานนิยมเชิงเหตุผลแบบดั้งเดิม “Meditation
1” ประกอบด้วยการอ้างเหตุผลแบบคาร์ธีเชียนเพื่อตอบโต้กับวิมตินิยม
โดยเดส์การ์ตส์ปฏิเสธวิมตินิยมใน “Meditation
5” ) |
· |
Dretske, F. 1981.
Knowledge and the Flow of
Information. Cambridge,
MA: MIT Press. (ประกอบด้วยแนวคิดความน่าเชื่อถือนิยมเกี่ยวกับความรู้โดยใช้ทฤษฎีเกี่ยวกับข้อมูล) |
· |
Gettier, E. 1963. Is
justified true belief knowledge?
Analysis 23
(6): 121-3. (บทความนี้มุ่งเน้นให้เห็นความไม่เพียงพอของการยืนยันโดยอาศัยการให้เหตุผลสนับสนุนเพียงอย่างเดียว) |
· |
Goldman, A. 1986.
Epistemology and Cognition.
Cambridge, MA: Harvard
University Press.
(ประกอบด้วยการพัฒนาและปกป้องแนวคิดความน่าเชื่อถือนิยม) |
· |
Locke, J. 1689. An
Essay Concerning Human
Understanding. Ed. A. C.
Fraser. Mineola, New York: Dover
Publications, 1959. (ประกอบด้วยข้อเสนอมูลฐานนิยมเกี่ยวกับประสบการณ์ทางผัสสะแบบดั้งเดิม) |
· |
Plato (4th century BC).
Theaetetus. In
The Collected Dialogues of
Plato. Ed. E. Hamilton
and H. Cairns. Princeton, NJ:
Princeton University Press,
1961. (เสนอว่าความรู้ไม่สามารถเป็นเพียงความเชื่อที่จริงและมีเหตุผลสนับสนุนว่าจริง
แต่เพลโต้ก็ไม่ได้เสนอว่าอะไรคือลักษณะที่ขาดไป) |
· |
Prichard, H. A. 1950.
Knowledge and Perception.
Oxford: Clarendon Press. (เสนอข้อปกป้องแนวคิดที่ว่าความรู้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความเชื่อ) |
· |
Quine, W.V.O and Ullian, J.
1978. The Web of
Belief. 2nd edition. New
York: Random House. (เสนอการปกป้องแนวคิดแบบสหนัยนิยม) |
· |
Sosa, E. 1991.
Knowledge in Perspective.
Cambridge: Cambridge University
Press. (ประกอบด้วยข้อเสนอความน่าเชื่อถือนิยมรูปแบบหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นประเด็นปัญหาที่เกิดจากญาณวิทยาแบบดั้งเดิม) |
· |
Zagzebski, L. 1996.
Virtues of the Mind.
Cambridge: Cambridge University
Press.
(พัฒนาข้อเสนอญาณวิทยาเชิงคุณธรรมที่วางอยู่บนจริยศาสตร์เชิงคุณธรรม) |
คำที่เกี่ยวข้อง
เหตุผลนิยม-ประสบการณ์นิยม /
การให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่อ
Rationalism and Empiricism /
Epistemic Justification
|