นับตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา
ความเป็นไปได้ของการเดินทางท่องไปในกาลเวลาไม่ได้เป็นเพียงจินตนาการที่เพ้อฝันอีกต่อไป
มโนทัศน์เรื่องการเดินทางข้ามเวลา (time
travel)
กลายเป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงอย่างจริงจังทั้งในทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา
ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ (special theory of
relativity) ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
(Albert Einstein)
แสดงถึงรูปแบบหนึ่งของการเดินทางข้ามเวลาไปสู่อนาคตโดยการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง
อันเป็นผลให้เวลาของผู้เดินทางเดินช้าลง (หรือที่เรียกว่า
time dilation effect)
ดังตัวอย่างปฏิทรรศน์คู่แฝด (twin paradox)
ที่แฝดคนหนึ่งเดินทางออกไปในอวกาศด้วยจรวดความเร็วสูงและกลับมายังโลก
โดยอาจใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมดเพียง 1 ปี
แต่กลับพบว่าฝาแฝดของตนที่อยู่บนโลกมีอายุมากขึ้นถึง 10 ปี
เป็นต้น กระทั่งในปี ค.ศ.1949 คูร์ท เกอเดิล (Kurt
Gödel) ได้ค้นพบรูปแบบของกาล-อวกาศ
(space-time)
ในกรอบของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (general theory of
relativity)
ที่จะทำให้สามารถเดินทางกลับไปสู่อดีตได้
นี่เป็นความหมายของการเดินทางข้ามเวลาที่เราจะพิจารณากันในที่นี้
และเป็นประเด็นที่มีนัยสำคัญและได้รับการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
1. ความเป็นไปได้ของการเดินทางข้ามเวลา
เมื่อเรากล่าวว่าการเดินทางข้ามเวลา
(ในความหมายของการเดินทางกลับไปสู่อดีต)
“เป็นไปได้”
สิ่งที่ต้องแยกแยะให้ชัดเจนในเบื้องต้นคือเรากำลังพูดถึงความเป็นไปได้ในความหมายระดับใด
เรากำลังพูดในระดับความเป็นไปได้ในทางตรรกะ (logical
possibility)
ในแง่ที่เป็นมโนทัศน์ที่ไม่มีความขัดแย้งกันในตัวเอง
ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำหรับความเป็นไปได้ในระดับอื่นๆ
หรือพูดถึงความเป็นไปได้ในทางวิทยาศาสตร์ (scientific
possibility)
ในแง่ที่สอดคล้องกับทฤษฎีฟิสิกส์
ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอยู่ในปัจจุบัน
หรือพูดถึงความเป็นไปได้ในทางเทคโนโลยี
(technological possibility)
ในแง่ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้
เกอเดิล (Gödel, 1949)
ได้แสดงถึงความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ของการเดินทางข้ามเวลา
โดยวางอยู่บนสมมติฐานบางอย่างเกี่ยวกับโครงสร้างของจักรวาล
นั่นคือ หากจักรวาลโดยรวมกำลังหมุนรอบตัวเองอยู่
จะมีโครงสร้างกาล-อวกาศ (space-time structure)
รูปแบบหนึ่งที่สอดคล้องกับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป
รูปแบบดังกล่าวมีลักษณะซึ่งเรียกว่า closed time-like
curves (CTC)
ที่จะทำให้เราสามารถเดินทางด้วยยานอวกาศออกไปสู่อวกาศในระยะไกลและวนกลับมายังโลก
ซึ่งเราจะพบว่าเป็นช่วงเวลาในอดีตก่อนที่เราจะออกเดินทางตั้งแต่ทีแรกเสียอีก
ในจักรวาลที่มีลักษณะเช่นนั้น
การเดินทางกลับไปสู่ช่วงเวลาใดๆ ของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
มีความเป็นไปได้ที่ไม่แตกต่างไปจากการเดินทางไปสู่ตำแหน่งอื่นๆ
ในอวกาศที่อยู่ห่างไกลออกไป (Gödel,
1949: 560)
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้น
ขอให้พิจารณาภาพด้านล่างนี้

ภาพ
“จักรวาลแบบเกอเดิล”
จาก Quentin and Oaklander (1995: 204)
จากภาพข้างต้น
เส้นแกนกลางของทรงกระบอกบ่งบอกถึงกรอบเวลาที่อ้างอิงบนโลก
นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1990
– 1994 ยานอวกาศออกเดินทางจากโลกเมื่อปี
ค.ศ.1992 จนพ้นไปจากแกนกลางของทรงกระบอก และค่อยๆ
เดินทางย้อนกลับมายังโลกอีกครั้ง
แม้ว่าในขณะบินด้วยยานอวกาศ
เวลาของนักบินยังคงดำเนินไปตามปกติ
เขายังคงมีอายุมากขึ้นตามระยะเวลาที่อยู่บนยาน
แต่เขาจะพบว่าเวลาบนโลกที่จรวดเดินทางไปถึงนั้นคือปี
ค.ศ.1990
ซึ่งเป็นช่วงเวลาในอดีตก่อนที่จะออกเดินทางตั้งแต่ต้น
นับตั้งแต่การค้นพบของเกอเดิลเป็นต้นมา
การศึกษาปัญหาการเดินทางข้ามเวลาแบ่งได้เป็น 3 แนวทางหลัก
แนวทางแรกเป็นการค้นหาโครงสร้างกาล-อวกาศ (space-time
structure) ที่มีลักษณะแบบ CTCs
นอกเหนือจากแบบของเกอเดิล
ทั้งนี้เนื่องจากหลักฐานทางจักรวาลวิทยาในปัจจุบันบ่งชี้ว่าแม้แต่ละกาแล็คซี่จะหมุนอยู่ก็ตาม
แต่จักรวาลโดยรวมไม่น่าจะกำลังหมุนรอบตัวเองอยู่ในลักษณะที่เกอเดิลเสนอไว้
จึงมีความพยายามที่จะหา CTCs
รูปแบบอื่นที่สอดคล้องกับสภาพของจักรวาลที่เป็นจริงตามที่เราสามารถสังเกตได้
เช่น “รูหนอน” (wormhole)
ที่เป็นเสมือนทางลัดที่เชื่อมระหว่างตำแหน่งในอวกาศ 2
ตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลกัน
และเชื่อกันว่าอาจเป็นทางเชื่อมระหว่างช่วงเวลาที่แตกต่างกันได้ด้วยเช่นกัน
(โปรดดู Davies, 2001 และ
Gott, 2002)
โดยส่วนนี้จะเป็นงานวิจัยทางด้านฟิสิกส์ภาคทฤษฎี (theoretical
physics) เป็นหลัก
แนวทางที่สองเป็นการวิเคราะห์ประเด็นทางความหมาย (semantic
issue) ของมโนทัศน์อื่นที่เกี่ยวข้อง
(เช่น เวลา สาเหตุ และการเดินทาง)
ว่าจะยังคงเข้าใจได้ในแบบเดิมหรือไม่ในบริบทที่มีการเดินทางข้ามเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือถ้าการเดินทางข้ามเวลาเป็นไปได้
จะส่งผลทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนความหมาย (shift
in the meanings) ของมโนทัศน์อื่นๆ
ที่มีการถกเถียงกันอยู่แล้วในทางปรัชญาหรือไม่อย่างไร
อย่างไรก็ตาม
ยังคงมีข้อกังขาถึงนัยสำคัญของแนวทางการวิเคราะห์นี้
เนื่องจากคำถามว่าการเดินทางข้ามเวลาเป็นไปได้หรือไม่นั้น
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนความหมายของมโนทัศน์ที่เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
ส่วนแนวทางสุดท้ายเป็นข้อถกเถียงเกี่ยวกับปัญหาจากปฏิทรรศน์ของการเดินทางข้ามเวลาทั้งจากฟิสิกส์และปรัชญา
รวมถึงนัยสำคัญของปฏิทรรศน์ดังกล่าวต่อการปฏิเสธการมีโครงสร้างกาล-อวกาศที่ทำให้เกิด
CTCs
สำหรับใช้ในการเดินทางข้ามเวลา กล่าวคือ ปฏิทรรศน์ต่างๆ
จะทำให้เราต้องสรุปว่าการเดินทางข้ามเวลาเป็นไปไม่ได้หรือไม่
และนั่นจะเป็นสิ่งบ่งชี้ว่ารูปแบบกาลอวกาศบางรูปแบบที่ทำให้เกิดการเดินทางข้ามเวลาได้นั้น
เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริงด้วยหรือไม่
เพราะแม้เราอาจจะมีเหตุผลที่ทำให้เชื่อได้ว่า
การเดินทางข้ามเวลาจะไม่เกิดขึ้นในโลกที่เป็นอยู่
(the actual world)
แต่นี่ก็ยังไม่อาจใช้เป็นข้อสรุปที่เด็ดขาดได้ว่าเราไม่ได้กำลังอยู่ในจักรวาลแบบที่เกอเดิลได้บรรยายไว้
เพราะเป็นไปได้ว่าการเดินทางข้ามเวลาในจักรวาลเช่นนั้น
จำเป็นต้องใช้พลังงานมหาศาลจนกระทั่งไม่อาจเป็นไปได้ในทางเทคโนโลยี
(Horwich, 1987)
ในที่นี้
เราจะพิจารณาถึงปฏิทรรศน์ของการเดินทางข้ามเวลาที่มีการถกเถียงในงานทางปรัชญาเป็นหลัก
เพราะแม้ข้อพิสูจน์จากทฤษฎีสัมพัทธภาพข้างต้นจะแสดงถึงความเป็นไปได้ในทางวิทยาศาสตร์
แต่ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งในทางปรัชญาก็คือเราจะอธิบายมโนทัศน์เรื่องการเดินทางข้ามเวลาให้มีความสอดคล้องกันในทางตรรกะได้อย่างไร
ในเบื้องต้นจะเป็นการสรุปถึงข้อโต้แย้งพื้นฐานทางตรรกะที่มีต่อมโนทัศน์เรื่องการเดินทางข้ามเวลาว่ามีความบกพร่องอย่างไร
เพื่อนำไปสู่ปฏิทรรศน์ของการเดินทางข้ามเวลา
ซึ่งยังคงเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน
2.
ข้อโต้แย้งทางตรรกะต่อการเดินทางข้ามเวลา
โดยทั่วไป
ข้อโต้แย้งต่อความเป็นไปได้ทางตรรกะของการเดินทางข้ามเวลา
จะอยู่ในรูปของการอ้างเหตุผลทางอ้อม (indirect argument
หรือที่เรียกว่า reductio ad absurdum)
โดยเริ่มจากการสมมติให้การเดินทางข้ามเวลาเป็นไปได้
จากนั้นจึงพิจารณานัยที่ตามมา หากเกิดความขัดแย้งในตัวเอง
(self-contradiction)
นั่นก็จะเป็นเหตุผลที่ย้อนกลับไปแย้งข้อที่สมมติไว้ว่าไม่ถูกต้อง
ตัวอย่างเช่นหากการเดินทางข้ามเวลาเป็นไปได้
เราจะกล่าวได้ว่าห้านาทีจากนี้ไป
เราจะไปอยู่ที่อีกหนึ่งร้อยปีให้หลัง นั่นหมายความว่าเวลา
ณ จุดหมายปลายทางที่ไปถึง
จะแตกต่างไปจากเวลาที่ใช้ในการเดินทาง
และย่อมจะเป็นความขัดแย้งในตัวเองอย่างชัดเจนในการบอกว่าเราจะเดินทางข้ามช่วงเวลาหนึ่ง
โดยที่ที่ไปถึงนั้นอยู่ ณ
จุดของเวลาที่นานไปกว่าช่วงเวลาที่เราใช้ในการเดินทาง
อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งนี้ไม่สมเหตุสมผล
เนื่องจากเราสามารถเข้าใจได้ว่าช่วงเวลาที่แตกต่างกันเป็นการนับเวลาที่ขึ้นอยู่กับกรอบการอ้างอิงที่ต่างกัน
ดังที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเวลาในแต่ละกรอบการอ้างอิงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกันเสมอไป
เวลาที่นักเดินทางใช้ในการเดินทางข้ามเวลาเป็นเวลาที่วัดจากกรอบการอ้างอิงของนักเดินทางเอง
ในขณะที่เวลาที่นักเดินทางก้าวข้ามไปถึงนั้นเป็นเวลาที่ขึ้นอยู่กับกรอบการอ้างอิงของโลก
ดังนั้น
จึงไม่ใช่สิ่งที่ขัดแย้งในตัวเองที่นักเดินทางจะใช้เวลาที่นับในกรอบการอ้างอิงของตนเพียงห้านาทีเพื่อก้าวข้ามเวลาบนโลกไปร้อยปี
ข้อโต้แย้งทางตรรกะอีกแบบหนึ่งคือปัญหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอดีต
(changing
the past)
บางคนอาจมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนักว่าถ้าการเดินทางข้ามเวลาเป็นไปได้
จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอดีต
ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเอง
ทั้งนี้เพราะอดีตเป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว
จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เราไม่สามารถกลับไปสู่อดีตในความหมายของการกลับไปอยู่ในยุคสมัยที่ได้ผ่านพ้นไปแล้วได้
เช่น
เราไม่สามารถกลับไปสู่อดีตยุคอียิปต์โบราณและช่วยชาวอียิปต์สร้างปิรามิดได้
เพราะปิรามิดเหล่านั้นได้ถูกสร้างขึ้นเรียบร้อยแล้วในขณะที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่น
การเดินทางข้ามเวลาจะทำให้เกิดความขัดแย้งในตัวเอง
กล่าวคือจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอดีตจากเดิมที่ไม่มีเราช่วยสร้างปิรามิด
มาเป็นอดีตที่มีเราช่วยสร้างปิรามิด
ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทางตรรกะ นั่นคือ
เราอยู่ที่นั่นและเราไม่ได้อยู่ที่นั่น
เราได้ช่วยสร้างปิรามิดและเราไม่ได้ช่วยสร้างปิรามิด
และนี่จึงทำให้การเดินทางข้ามเวลาเป็นไปไม่ได้ (Hospers,
1988: 136)
แน่นอนว่า
ความคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอดีตข้างต้นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเองอย่างชัดเจน
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าการเดินทางข้ามเวลาไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอดีต
หากการเดินทางข้ามเวลาเกิดขึ้นจริง
นั่นเพียงแต่แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นนั้นได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายหลัง
เช่น หากเราได้กลับไปในยุคอียิปต์โบราณจริง
เราก็ได้อยู่ที่นั่นมาแล้วตั้งแต่ต้น
และหากเราได้ช่วยสร้างปิรามิดในตอนที่ได้กลับไป
เราก็ได้ช่วยสร้างปิรามิดเหล่านั้นตั้งแต่ทีแรกที่ชาวอียิปต์ได้สร้างขึ้นมา
ในกรณีเช่นนี้
การเดินทางข้ามเวลาไม่ได้ทำให้อดีตเกิดการเปลี่ยนแปลง
แต่ควรเข้าใจเสียใหม่ว่า
การเดินทางข้ามเวลาสามารถมีอิทธิพลต่ออดีต (influencing
the past)
ซึ่งไม่ได้เป็นความขัดแย้งทางตรรกะแต่อย่างใด (โปรดดู
Horwich, 1975 และ
Harrison, 1995)
3. ปฏิทรรศน์ของการเดินทางข้ามเวลา
โดยทั่วไป
“ปฏิทรรศน์”
ในทางปรัชญา
เกี่ยวข้องกับการเสนอความคิดหรือข้ออ้างเหตุผลที่สมเหตุสมผล
แต่นำมาซึ่งข้อสรุปที่ขัดแย้งกับสิ่งที่ยอมรับกันอยู่โดยทั่วไป
ดังเช่นปฏิทรรศน์ของซีโนในเรื่องอคิลลิสวิ่งแข่งกับเต่า
ที่อ้างเหตุผลว่าถ้าอคิลลิสต่อให้เต่าเริ่มต้นวิ่งนำหน้าไปก่อน
ทุกครั้งที่อคิลลิสพยามยามวิ่งไปถึงจุดที่เต่าอยู่
เต่าก็จะเคลื่อนที่ไปจากจุดนั้นแล้ว
ดังนั้นจึงสรุปว่าอคิลลิสจะไม่มีทางวิ่งไล่ทันเต่าได้
ซึ่งขัดแย้งกับสามัญสำนึกและประสบการณ์ของเรา
ในกรณีของการเดินทางข้ามเวลา
ปัญหาปฏิทรรศน์ที่มีการถกเถียงกันอย่างมากแบ่งได้เป็น 2
รูปแบบหลัก คือ 1) ปฏิทรรศน์คุณปู่ และ 2)
ปฏิทรรศน์ความรู้
3.1 ปฏิทรรศน์คุณปู่
ชื่อเรียก
“ปฏิทรรศน์คุณปู่”
(Grandfather Paradox)
ซึ่งกลายเป็นชื่อที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในข้อถกเถียงเกี่ยวกับปัญหาการเดินทางข้ามเวลาทั้งในทางฟิสิกส์และปรัชญา
อาจสืบย้อนกลับไปได้ถึงจดหมายฉบับหนึ่งที่ส่งถึงบรรณาธิการของ
Astounding Stories ในปี
1933
ที่เขียนมาเสนอว่าวิธีที่จะพิสูจน์ว่าการเดินทางข้ามเวลาเป็นไปไม่ได้
จดหมายดังกล่าวมีเนื้อหาถึงสถานการณ์ที่นักเดินทางข้ามเวลาย้อนเวลากลับไปฆ่าปู่ของตนเองก่อนที่ปู่จะให้กำเนิดพ่อของเขา
แต่ทั้งนี้ปฏิทรรศน์คุณปู่ยังกินความถึงรูปแบบของสถานการณ์อื่นๆ
ที่นักเดินทางข้ามเวลาเดินทางย้อนกลับไปในอดีตเพื่อทำบางสิ่งที่จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับความเป็นจริงที่ได้เกิดขึ้นแล้ว
เช่น การฆ่าตัวเองในอดีต การทำลายยานพาหนะที่ใช้ข้ามเวลา
เป็นต้น
ความสำเร็จของการกระทำเหล่านี้จะมีผล (effect)
ที่ทำให้ผู้ที่เดินทางข้ามเวลาไม่สามารถดำรงอยู่ได้
(ก่อนการเดินทางข้ามเวลา)
ซึ่งเป็นการขัดแย้งกับลำดับของสาเหตุ (cause)
ตั้งแต่ต้น กล่าวคือ นักเดินทางข้ามเวลาจะต้องดำรงอยู่
(ก่อนการเดินทางข้ามเวลา)
จึงจะสามารถย้อนเวลากลับไปเพื่อกระทำการดังกล่าวนั้นได้
ตัวอย่างเช่นถ้านักเดินทางข้ามเวลาย้อนเวลากลับไปฆ่าปู่ได้
เขาก็จะไม่มีอยู่และไม่อาจเดินทางย้อนเวลาได้ ถ้าเขาไม่ได้เดินทางย้อนเวลา
ปู่ย่อมไม่ถูกฆ่า และเขาจะเกิดมาเพื่อย้อนเวลากลับไปฆ่าปู่
แต่ถ้าเขาฆ่าปู่ได้
เขาก็จะไม่มีอยู่ ..... และเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่รู้จบ
บทความคลาสสิคที่ได้วิเคราะห์และแก้ปัญหาปฏิทรรศน์ของการเดินทางข้ามเวลาในรูปแบบนี้
คือ “The Paradoxes of Time Travel”
ของ ลูอิส (Lewis,
1976)
โดยลูอิสชี้ให้เห็นว่าข้อโต้แย้งที่เป็นไปได้ที่จะแสดงว่าการเดินทางข้ามเวลาเป็นไปไม่ได้ในทางตรรกะไม่ได้อยู่ที่คำถามที่ว่านักเดินทางข้ามเวลาทำหรือไม่ได้ทำอะไร
(ซึ่งนี่เป็นกรณีของข้อโต้แย้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงอดีตที่เราได้พิจารณาไปก่อนหน้านี้)
แต่อยู่ที่คำถามที่ว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง (Lewis,
1976: 149) กล่าวคือ
หากนักเดินทางข้ามเวลายังคงสามารถที่จะทำสิ่งต่างๆ
ตามที่เขาสามารถทำได้ในเวลาปกติแล้ว
เขาก็น่าจะยังคงสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้
แม้ว่าในความเป็นจริงเขาจะไม่ได้ทำก็ตาม
ลูอิสยกตัวอย่างหลานชายที่เกลียดปู่ผู้เป็นพ่อค้าอาวุธซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่หลานยังเป็นเด็ก
ความเป็นไปได้ของการเดินทางข้ามเวลา
จะทำให้หลานชายสามารถกลับไปในอดีตเพื่อฆ่าปู่ได้
แม้ว่าในความเป็นจริงเขาจะไม่ได้ฆ่าปู่ก็ตาม
แต่การเดินทางข้ามเวลาก็ยังคงทำให้เกิดความขัดแย้งทางตรรกะของการที่
“หลานชายไม่ได้ฆ่าปู่แต่เขาสามารถทำได้”
(เมื่อพิจารณาจากสภาพการณ์โดยปกติที่ใครๆ
ก็ย่อมทำเช่นนั้นได้) ซึ่งขัดแย้งกับการที่ “หลายชายไม่ได้ฆ่าปู่และเขาไม่สามารถทำได้”
(เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในทางตรรกะที่จะเปลี่ยนแปลงอดีต)
(Lewis, 1976: 150)
ลูอิสเสนอทางแก้ปัญหาข้างต้นด้วยการแสดงให้เห็นว่าข้อสรุปทั้งสองข้อนี้สามารถเป็นจริงได้พร้อมกัน
เนื่องจากคำว่า “สามารถ”
เป็นคำที่มีความหมายคลุมเครือ
และทำให้ตีความได้ทั้งสองนัยดังเช่นข้อสรุปทั้งสองแบบข้างต้น
แต่นั่นก็ไม่ได้แสดงว่ามีความขัดแย้งกันในทางตรรกะแต่อย่างใด
กล่าวคือ การกล่าวว่าบางสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้
หมายความว่าการเกิดขึ้นของสิ่งนั้นมีความเป็นไปได้ร่วมกันกับ
(compossible with)
ข้อเท็จจริงบางอย่าง
ซึ่งข้อเท็จจริงเหล่านั้นถูกกำหนดจากบริบทแวดล้อม
การที่หลานชายสามารถฆ่าปู่ได้นั้น ก็เป็นไปได้ร่วมกันกับข้อเท็จจริงชุดหนึ่ง
(ที่พิจารณาจากปัจจัยทั่วๆ ไป เช่น
การมีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง การมีแรงจูงใจ
การมีอาวุธและความสามารถเพียงพอที่จะกระทำการนั้น เป็นต้น)
ในขณะที่การที่หลานชายไม่สามารถฆ่าปู่ได้ ก็เป็นไปได้ร่วมกันกับข้อเท็จจริงอีกชุดหนึ่งที่ครอบคลุมกว่า
นั่นก็คือ ข้อเท็จจริงที่ว่าปู่ของเขาไม่ได้ถูกฆ่าตาย
(รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าปู่ได้ให้กำเนิดพ่อของเขา)
ในแง่นี้ หลานชายจึงสามารถและไม่สามารถฆ่าปู่ของเขาได้
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกำหนดขอบเขตของข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน
เราจำเป็นต้องเลือกขอบเขตของข้อเท็จจริงที่จะใช้พิจารณาในการบอกว่าหลานชายสามารถฆ่าปู่ได้หรือไม่
แต่เราไม่สามารถบอกได้ในคราวเดียวกัน
(หรือจากข้อเท็จจริงชุดเดียวกัน)
ว่าหลานชายสามารถและไม่สามารถฆ่าปู่ของเขาได้
ด้วยเหตุนี้
การเดินทางข้ามเวลาจึงไม่ได้มีผลที่นำไปสู่ความขัดแย้งทางตรรกะแต่อย่างใด
(Lewis, 1976: 150-151)
อย่างไรก็ตาม
แม้ข้อเสนอข้างต้นจะแสดงถึงความเป็นไปได้ทางตรรกะของการเดินทางข้ามเวลา
แต่ ฮอร์วิช (Horwich, 1987)
ชี้ให้เห็นว่าแม้ว่าจะไม่มีความขัดแย้งทางตรรกะใดๆ ก็ตาม
แต่เราก็อาจมีเหตุผลเชิงประจักษ์ในการที่จะสรุปได้ว่าการเดินทางข้ามเวลาจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
ฮอร์วิชให้เหตุผลว่าความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าของนักเดินทางข้ามเวลาที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นปฏิทรรศน์
(เช่นความพยายามของหลานชายที่จะฆ่าปู่ของตนเอง)
ก่อให้เกิดชุดของเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เช่น
ความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรูปของการเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน
การยิงพลาดเป้า การลื่นหกล้ม ฯลฯ
ประเด็นสำคัญของฮอร์วิชอยู่ที่ว่าเนื่องจากความสำเร็จในการพยายามที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นปฏิทรรศน์จะทำให้เกิดความขัดแย้งในตัวเองขึ้น
(นั่นคือ นักเดินทางจะทั้งมีอยู่และไม่มีอยู่)
แต่ไม่มีโลกที่เป็นไปได้ใดๆ ที่จะมีความขัดแย้งในตัวเองได้
ดังนั้น เราจึงรู้ได้ว่าความพยายามเหล่านั้นจะไม่มีวันทำได้สำเร็จ
แม้ความพยายามเหล่านั้นจะเป็นการกระทำพฤติกรรมต่างๆ
ที่ปกติเราสามารถกระทำได้อย่างง่ายดายก็ตาม (เช่น
การเหนี่ยวไกปืนเพื่อฆ่าปู่ของหลานชายในระยะประชิด)
แม้โดยทั่วไปความพยายามกระทำการใดๆ
อาจล้มเหลวได้ด้วยเหตุผลต่างๆ
แต่ความพยายามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด (เช่น
ในกรณีที่หลานชายยังคงพยายามฆ่าปู่ของตนเองอย่างไม่ลดละ)
จะก่อให้เกิดสถานการณ์ที่เป็นความบังเอิญ
(coincidences)
มากมายที่มาขัดขวางการกระทำเหล่านั้น
และด้วยประสบการณ์เชิงประจักษ์ของเราที่ว่าความบังเอิญมากมายขนาดนั้นไม่น่าเป็นไปได้
เราจึงมีเหตุผลที่ดีที่จะเชื่อว่าความล้มเหลวที่ต่อเนื่องเช่นนั้น
เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างสูง (highly
improbable) (Horwich,
1987: 122)
ฮอร์วิช
เห็นว่าความพยายามที่จะกระทำสิ่งที่เป็นปฏิทรรศน์ของของนักเดินทางข้ามเวลา
(เช่น การฆ่าปู่ของตนเอง หรือการฆ่าตัวเองในอดีต)
กับเหตุการณ์ต่างๆ
ที่ทำให้ความพยายามดังกล่าวล้มเหลวอย่างต่อเนื่องเสมอนั้น
ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันในเชิงสาเหตุ
เพราะไม่มีเหตุการณ์ใดเป็นสาเหตุ (หรือผล)
ของอีกเหตุการณ์หนึ่ง
และทั้งสองเหตุการณ์ก็ไม่ได้มีสาเหตุร่วมเดียวกัน (common
cause) (Horwich,
1995: 263) ดังนั้น
การเกิดขึ้นมาคู่กันของเหตุการณ์สองแบบนี้จึงไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างสูง
และจากประสบการณ์ของเราต่อความไม่น่าจะเป็นไปได้ของความบังเอิญเช่นนี้
จึงทำให้สามารถอนุมานกลับไปได้ว่าการเดินทางข้ามเวลาซึ่งเป็นสิ่งที่นำมาสู่สถานการณ์ดังกล่าว
จึงย่อมเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อย่างสูงในโลกที่เป็นอยู่นี้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สมิธ (Smith, 1997)
โต้แย้งข้อเสนอข้างต้นของฮอร์วิชไว้ดังนี้ ข้อสรุปที่ว่าการเดินทางข้ามเวลาไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
วางอยู่บนฐานของการที่มีความบังเอิญต่างๆ
ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ (improbable coincidences)
ซึ่งไปละเมิดหลักการที่ฮอร์วิชเรียกว่า
“Principle of V-Correlation” (PVC)
โดยหลักการนี้มีอยู่ว่าคู่ของเหตุการณ์ใดๆ
ก็ตาม จะมีการเชื่อมโยงกันด้วยการเป็นสาเหตุโดยตรงต่อกัน
หรือไม่เช่นนั้นก็มีสาเหตุร่วมเดียวกัน
เราไม่เคยสังเกตพบคู่ของเหตุการณ์ที่จะเชื่อมโยงกันด้วยเหตุการณ์ที่ตามมาภายหลัง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการรับหลักการดังกล่าวทำให้ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีเหตุการณ์ใดๆ
เชื่อมโยงกันด้วยผลร่วมอันเดียวกัน (common
effect) ในกรณีตัวอย่างเรื่องปฏิทรรศน์คุณปู่
การพยายามฆ่าปู่ของตนเองกับสถานการณ์ที่เป็นความบังเอิญต่างๆ
ที่เป็นตัวมาขัดขวางการกระทำนั้น (เช่น
การที่ปืนขัดข้องกะทันหัน การยิงผิดเป้า การลื่นล้ม ฯลฯ)
ดูเหมือนจะถูกเชื่อมโยงกันด้วยผลร่วมที่ตามมาทีหลังอันเดียวกัน
นั่นคือ ความมีอยู่ของนักเดินทางข้ามเวลาภายหลังจากนี้
ซึ่งถือเป็นการละเมิดหลักการ
PVC ดังกล่าว
อันทำให้ฮอร์วิชเห็นว่าการเดินทางข้ามเวลาเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
แต่สมิธแย้งว่าหลักการ PVC
เป็นหลักการที่พูดถึงสิ่งที่เคยมีการสังเกตการณ์มาแล้วเท่านั้น
การเกิดขึ้นของการเดินทางข้ามเวลาอาจก่อให้เกิดความบังเอิญที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
แต่การไม่มีความบังเอิญดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบันไม่ได้ช่วยยืนยันอะไรเกี่ยวกับโอกาสที่จะไม่มีการเกิดขึ้นของการเดินทางข้ามเวลาในภายภาคหน้า
นอกจากนี้
สมิธยังเห็นว่าข้อโต้แย้งจากความบังเอิญที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เป็นเหตุผลที่มีข้อบกพร่องตั้งแต่ต้น
เพราะในการที่จะทำให้เกิดผลที่เป็นความบังเอิญที่ไม่น่าจะเป็นได้อย่างสูงออกมานั้น
จะต้องมีการนำเข้าความบังเอิญที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในปริมาณที่สูงมากด้วยเช่นกัน
นักเดินทางข้ามเวลาจะต้องมีชุดของความเชื่อที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
เช่น เชื่อว่าสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้
เชื่อว่าถ้าฆ่าปู่สำเร็จแล้วปู่จะสามารถฟื้นคืนชีพได้
หรือจำไม่ได้ว่าคนที่พบนั้นคือปู่ของตนเอง ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม
เราอาจมีข้อสงสัยต่อข้อโต้แย้งของสมิธได้ว่า 1)
นักเดินทางข้ามเวลาทุกคนที่ต้องการก่อให้เกิดผลที่เป็นปฏิทรรศน์
ต้องมีความเชื่อที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เช่นนั้นจริงหรือ
2)
แม้จะยอมรับว่าต้องมีการนำบางสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เข้ามาก่อนเพื่อที่จะนำไปสู่ผลที่เป็นความบังเอิญที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
แต่จำเป็นหรือไม่ที่ความไม่น่าจะเป็นไปได้ในส่วนแรกต้องมีปริมาณมากเท่ากับความไม่น่าจะเป็นไปได้ในส่วนหลัง
(Richmond, 2003: 301)
3.2 ปฏิทรรศน์ความรู้
ปฏิทรรศน์ของการเดินทางข้ามเวลาในรูปแบบที่สอง
ซึ่งบางคนอาจเรียกชื่อตามตัวอย่างที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาว่า
“ปฏิทรรศน์ความรู้”
(knowledge paradox)
เป็นสถานการณ์ที่การเดินทางข้ามเวลาก่อให้เกิดมีบางสิ่งขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
หรือไม่อาจอธิบายที่มาได้ ตัวอย่างเช่น
หากการเดินทางข้ามเวลาเป็นไปได้
นักเดินทางข้ามเวลาจะสามารถกลับไปในอดีตและให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการสร้างยานเวลา
(time machine) กับตัวเองในอดีต
ในกรณีเช่นนี้
ความรู้ดังกล่าวไม่ได้มาจากนักเดินทางข้ามเวลา
เพราะเขาเพียงแต่จดจำความรู้นั้นจากอดีตที่ผ่านมา
และตัวเขาในอดีตก็ได้ความรู้นั้นมาจากการพูดคุยกับนักเดินทางข้ามเวลาซึ่งเป็นตัวเขาเองในอนาคต
เราจึงไม่อาจอธิบายได้ว่าความรู้ที่ว่านี้มีต้นกำเนิดมาได้อย่างไร
หรือใครเป็นคนแรกที่ได้คิดขึ้น
เพราะหากไม่มีผู้คิดค้นขึ้นมา
ก็ไม่น่าจะเกิดการเดินทางข้ามเวลาได้ตั้งแต่ต้น
นอกจากนี้ รูปแบบของปฏิทรรศน์ความรู้
ยังครอบคลุมถึงกรณีของสถานการณ์ที่การเดินทางข้ามเวลาก่อให้เกิดบางสิ่งขึ้นมาในลักษณะที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากสิ่งอื่นนอกเหนือจากตัวมันเอง
เช่น การที่นักเดินทางข้ามเวลาได้พบยานเวลาโดยบังเอิญ
และใช้ยานเวลานั้นในเวลาต่อมาเพื่อย้อนกลับเอาไปทิ้งไว้ให้ตัวเองในอดีต
ซึ่งนั่นทำให้ยานเวลาดังกล่าวไม่ได้ถูกสร้างขึ้น ณ
ช่วงเวลาใดๆ เลย
การเกิดมีขึ้นของยานเวลาเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับตัวมันเองอย่างสิ้นเชิง
ในเรื่องสั้น All You Zombie
ของโรเบิร์ต ไฮน์ไลน์ (Robert
Heinlein) ได้เขียนถึงกรณีที่คล้ายกันนี้
หากแต่เปลี่ยนจากวัตถุกายภาพเป็นมนุษย์แทน
โดยตัวเอกของเรื่องได้เดินทางย้อนเวลากลับไปกลับมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
จนในท้ายที่สุดค้นพบว่าตนเองเป็นทั้งพ่อและแม่ผู้ให้กำเนิดตนเองตั้งแต่ต้น
(โปรดดู Harrison, 1979; Levin, 1980
และ Godfrey-Smith, 1980)
เราอาจกล่าวโดยรวมได้ว่า
ปฏิทรรศน์ความรู้ในการเดินทางข้ามเวลาเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการวนกลับมาเป็นสาเหตุของตัวเอง
(causal loop)
โดยไม่อาจอธิบายที่มาที่ไปหรือจุดเริ่มต้นได้
แม้ว่าจากตัวอย่างต่างๆ
ข้างต้นจะนำมาซึ่งผลที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้
แต่นั่นก็ไม่ได้แสดงถึงความเป็นไปไม่ได้ทางตรรกะของการเดินทางข้ามเวลา
เพราะไม่มีกรณีใดเลยที่เป็นความขัดแย้งในตัวเอง
ลูอิสเองก็เห็นว่าการวนกลับเชิงสาเหตุดังกล่าว
แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่แปลก
แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
เพราะความแปลกที่ว่านี้ก็ไม่ได้มีความแตกต่างไปมากนักจากสิ่งซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ที่เราคุ้นเคยกัน
เช่น พระเจ้า บิ๊กแบง การมีอดีตที่ไม่สิ้นสุดของจักรวาล
ที่ล้วนเป็นสิ่งซึ่งไม่มีสาเหตุและไม่อาจอธิบายได้
หากเรายอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไปได้
การวนกลับเชิงสาเหตุที่อธิบายไม่ได้ของการเดินทางข้ามเวลาก็คงเป็นสิ่งซึ่งไม่ยากเกินไปที่จะยอมรับได้เช่นกัน
(Lewis, 1976: 149)
ข้อโต้แย้ง ณ จุดนี้
อาจพิจารณาจากความเข้าใจเกี่ยวกับมโนทัศน์เรื่องการเป็นสาเหตุ
(causation) ดังที่เมลเลอร์
(Mellor, 1998)
เห็นว่าการเดินทางข้ามเวลาเกี่ยวพันกับเรื่องการเป็นสาเหตุแบบย้อนกลับ
(backward causation)
ซึ่งทำให้เกิดการวนกลับเชิงสาเหตุอย่างจำเป็น ข้อเสนอที่สำคัญของเมลเลอร์คือ
สาเหตุ (cause)
คือเหตุการณ์ที่เพิ่มความน่าจะเป็นของการเกิดผล
(effect) แต่ในการวนกลับเชิงสาเหตุนั้น
ทุกเหตุการณ์จะกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุของตัวมันเอง
และเนื่องจากผล (effect)
ไม่อาจเพิ่มความน่าจะเป็นให้กับการเกิดขึ้นของสาเหตุได้
เหตุการณ์ใดๆ
ในการการวนกลับเชิงสาเหตุจึงไม่อาจเพิ่มความน่าจะเป็นให้กับการเกิดขึ้นของเหตุการณ์นั้นๆ
(ซึ่งเป็นสาเหตุของตัวมันเอง) ได้
การวนกลับเชิงสาเหตุจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้
ด้วยเหตุนี้ การเดินทางข้ามเวลาจึงเป็นไปไม่ได้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม
การเป็นสาเหตุยังเป็นมโนทัศน์ที่ถกเถียงกันอยู่ในทางปรัชญา
และคงไม่อาจหาข้อสรุปได้โดยง่าย การใช้แนววิเคราะห์การเป็นสาเหตุในแบบข้างต้นเพื่อปฏิเสธความเป็นไปได้ของการเดินทางข้ามเวลาจึงไม่อาจถือเป็นข้อยุติได้เช่นกัน
4.
การเดินทางข้ามเวลากับแนวคิดจักรวาลคู่ขนาน
นอกจากแนวทางการแก้ปัญหาปฏิทรรศน์ที่ได้อภิปรายไปข้างต้นแล้ว
ยังมีข้อเสนอถึงทางออกของปฏิทรรศน์ด้วยการตีความมโนทัศน์เรื่องการเดินทางข้ามเวลาในความหมายใหม่
ในบทความ “The Quantum Physics of
Time Travel” ด๊อยทช์และล็อควูด (Deutsch
and Lockwood, 1994)
ได้เสนอรูปแบบของการเดินทางข้ามเวลาบนพื้นฐานของการมีจักรวาลที่เป็นไปได้อื่นๆ
โดยอาศัยการตีความหลายจักรวาลของกลศาสตร์ควอนตัม (many-universe
interpretation of quantum mechanics)
ที่เสนอขึ้นโดย Hugh Everett III
ในปี ค.ศ.1957 เพื่อเป็นทางออกของปฏิทรรศน์ต่างๆ
ของการเดินทางข้ามเวลา
ตามความคิดนี้
นักเดินทางข้ามเวลาไม่ได้เดินทางกลับไปสู่อดีตของโลกที่ผ่านมาในจักรวาลของเขา
แต่เป็นโลกในจักรวาลอื่นที่เป็นไปได้
ซึ่งมีอยู่คู่ขนานกันไปกับจักรวาลของนักเดินทาง
ดังนั้น หากนักเดินทางข้ามเวลาพยายามฆ่าปู่ของตัวเอง
(หรือถ้าจะให้ถูกแล้ว
ควรบอกว่าเป็นปู่ของคนที่จะได้เติบโตขึ้นมาเป็นเหมือนเขาในจักรวาลนั้น
หากว่าปู่คนนั้นไม่ได้ถูกฆ่าเสียก่อน)
เขาย่อมจะสามารถทำได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งในตัวเอง
เพราะหากว่านักเดินทางทำได้สำเร็จ
นั่นก็เพียงแต่ทำให้จักรวาลนั้นจะไม่มีคนที่เหมือนเขาเกิดขึ้นมาได้เท่านั้น
ในกรณีของปฏิทรรศน์ความรู้
นักเดินทางข้ามเวลาก็เพียงแต่ทำให้เกิดมีสิ่งของหรือความรู้ใหม่ที่ไม่สามารถอธิบายความมีอยู่ของสิ่งนั้นได้จากจักรวาลที่เขาเดินทางไปถึงเท่านั้น
แต่การสร้างสรรค์ก็ยังคงมีอยู่จริงและสามารถอธิบายได้จากจักรวาลที่นักเดินทางได้เดินทางจากมา
แต่ปัญหาหนึ่งของข้อเสนอนี้คือหากนักเดินทางข้ามเวลายังคงสามารถเดินทางกลับไปกลับมาระหว่างจักรวาลต่างๆ
และไปยังช่วงเวลาต่างๆ ในแต่ละจักรวาลนั้นๆ ได้
ปัญหาในรูปแบบปฏิทรรศน์คุณปู่และปฏิทรรศน์ความรู้
ก็จะยังคงมีอยู่เช่นเดิม ตัวอย่างเช่น
นักเดินทางข้ามเวลาเดินทางจากจักรวาล A
ไปยังปี ค.ศ. 1900 ของจักรวาล B
เพื่อไปฆ่าปู่ของบุคคลที่จะเกิดขึ้นมาเป็นตัวเขาในจักรวาลนั้น
แต่นักเดินทางข้ามเวลาเคยเดินทางไปยังช่วงเวลาหลังจาก
ค.ศ.1900 ของจักรวาล B
มาแล้วและรู้ว่าตัวเขาในจักรวาล B
นั้นมีชีวิตอยู่
ซึ่งนี่ก็จะย้อนกลับไปที่ปัญหาที่เริ่มถกเถียงมาจากข้อเสนอของลูอิสอีกครั้ง
ในแง่นี้ การที่เราจะใช้แนวคิดการมีจักรวาลคู่ขนาน
เพื่อแก้ (หรือเลี่ยงปัญหา) ปฏิทรรศน์ต่างๆ
ได้อย่างสมบูรณ์นั้น
เราอาจต้องยอมรับว่าการเดินทางข้ามเวลาตามแนวคิดนี้ได้สร้างจักรวาลคู่ขนานขึ้นมาใหม่เสมอ
และจึงมีจักรวาลต่างๆ มากมายพอๆ
กับที่การเดินทางข้ามเวลาได้เกิดขึ้น
และนักเดินทางข้ามเวลาไม่อาจย้อนกลับไปที่จักรวาลเดิมที่มีอยู่ก่อนหน้าได้
อันทำให้ไม่สามารถก่อผลที่เป็นปฏิทรรศน์ใดๆ ได้
แต่การเดินทางข้ามจักรวาลเช่นนี้ดูจะไม่ใช่การเดินทางข้ามเวลาในความหมายที่เราเข้าใจหรือต้องการให้เป็น
เนื่องจากจุดหมายปลายทางที่ไปถึงไม่ใช่ช่วงเวลาที่เป็นอนาคตหรืออดีตที่มีความต่อเนื่องในเชิงสาเหตุกับช่วงเวลาปัจจุบันที่เป็นจุดเริ่มต้นของการออกเดินทาง
(โปรดดู Abbruzzese, 2001)
อย่างไรก็ตาม ด๊อยทช์และล็อควูด
เห็นว่าประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับการให้คำนิยามที่แน่นอนของการเดินทางข้ามเวลาอาจไม่มีนัยสำคัญมากนัก
เนื่องจากสิ่งที่ควรพิจารณาเป็นลำดับแรกน่าจะอยู่ที่ตัวความจริงของข้อเสนอที่มาจากทฤษฎีมากกว่า
เพราะหากว่าภาพของจักรวาลที่หลากหลายเป็นสิ่งเกิดขึ้นตรงกับความเป็นจริงแล้ว
นั่นย่อมแสดงว่าข้อโต้แย้งที่ผ่านมาของเรื่องการเดินทางข้ามเวลาล้วนวางอยู่บนรูปแบบของความเป็นจริงทางกายภาพที่ไม่ถูกต้อง
(Deutsch and Lockwood, 1994: 56)
กล่าวคือ
หากรูปแบบการเดินทางข้ามเวลาบนฐานของการมีจักรวาลคู่ขนานที่อาศัยการตีความของกลศาสตร์ควอนตัม
สามารถพิสูจน์ได้ว่าถูกต้องตรงกับความเป็นจริง (reality)
ของโลกกายภาพที่เป็นอยู่
นั่นก็จะนำสู่เป็นประเด็นทางความหมาย (semantic
issue) คือ
เราต้องตัดสินใจว่าเราจะให้นิยามกับคำว่า “จักรวาล” “เวลา”
“การเป็นสาเหตุ” “การเดินทางข้ามเวลา” ฯลฯ
เปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่อย่างไร
พรเทพ สหชัยรุ่งเรือง (ผู้เรียบเรียง)
เอกสารอ้างอิง
· |
Abbruzzese, John. 2001.
On Using the Multiverse to Avoid the Paradoxes
of Time Travel.
Analysis
61: 36-38. |
· |
Davies, Paul. 2001. How to
Build a Time Machine.
London: Allen Lane, The Penguin
Press. |
· |
Deutsch, David and Michael Lockwood. 1994. The
Quantum Physics of Time Travel. Scientific
American 270: 50-56.
|
· |
Gödel, Kurt. 1949. A Remark about the
Relationship between Relativity Theory and
Idealistic Philosophy. In Paul Arthur Schilpp,
ed. Albert Einstein: Philosopher-Scientist,
pp. 557-562. La Salle, IL: Open Court. |
· |
Godfrey-Smith, William. 1980. Travelling in
Time.
Analysis 40: 72-73. |
· |
Gott, J. Richard. 2002. Time Travel in
Einstein’s Universe: The Physical Possibilities of
Travel Through Time. London: Phoenix. |
· |
Harrison, Jonathan. 1979. Analysis ‘Problem’ No. 18.
Analysis 39: 65-66. |
· |
----------. 1995. Dr Who and the
Philosophers, or Time Travel for Beginners. In
Essays on Metaphysics and the Theory of
Knowledge: Volume I, pp. 342-365. Alershot:
Averbury. |
· |
Horwich, Paul. 1975. On Some Alleged Paradoxes of
Time Travel. The Journal of Philosophy
72: 432-444. |
· |
---------. 1987. Asymmetries in Time.
Cambridge, MA: The M.I.T. Press. |
· |
---------. 1995. Closed Causal Chains. In Steven
F. Savitt, ed. Time’s Arrows Today: Recent
Physical and Philosophical Work on the Direction of
Time, pp. 259-267. Cambridge: Cambridge
University Press. |
· |
---------. 1998. Time Travel. Routledge
Encyclopedia of Philosophy 9: 417-419. |
· |
Hospers, John. 1988. An introduction to
Philosophical Analysis. Third edition.
Englewood, New Jersey: Prentice Hall. |
· |
Levin, Margarita R. 1980. Swords’ Points.
Analysis 40: 69-70. |
· |
Lewis, David. 1976. The Paradoxes of Time Travel.
American Philosophical Quarterly 13:
145-152. |
· |
Mellor, D. H. 1998. Real Time II.
London: Routledge. |
· |
Richmond, Alasdair. 2003. Recent Work on Time
Travel. Philosophical Books 44:
297-309. |
· |
Smith, Nicholas J. J. 1997. Bananas Enough for Time
Travel. British Journal for Philosophy of
Science 48: 363-389. |
· |
Smith, Quentin and L. Nathan Oaklander. 1995.
An Introduction to Metaphysics. London:
Routledge. |
เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม
· |
Arntzenius, Frank and Tim Maudlin. 2005. Time
Travel and Modern Physics. In Edward N.
Zalta (ed.).
The
Stanford Encyclopedia of Philosophy.
URL=<http://plato.stanford.edu/archives/sum2005/entries/time-travel-phys/>.
(พิจารณาข้อจำกัด (constraint)
ในการเดินทางข้ามเวลาที่จำเป็นต้องมีเพื่อป้องกันการเกิดขึ้นของปฏิทรรศน์จากแง่มุมของฟิสิกส์สมัยใหม่) |
· |
Earman, John. 1995. Recent Work
on Time Travel. In Steven F.
Savitt, ed. Time’s Arrows
Today: Recent Physical and
Philosophical Work on the
Direction of Time, pp.
268-310. Cambridge: Cambridge
University Press.
(อภิปรายข้อถกเถียงต่างๆ
เกี่ยวกับความเป็นไปได้ทางฟิสิกส์ของการเดินทางข้ามเวลา) |
· |
Gödel, Kurt. 1949. An Example of n New Type of
Cosmological Solution to Einstein’s Field Equations
of Gravitation. Reviews of Modern Physics
21: 447-450. (เสนอการแก้สมการ
field equation
ของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ที่แสดงถึงกาลอวกาศที่มี
closed time-like curve
สำหรับการเดินทางข้ามเวลา)
|
· |
Hawking, Stephen. 1992. Chronology Protection
Conjecture. Physical Review D 46:
603-611.
(เสนอว่ากฎทางฟิสิกส์จะป้องกันการเกิดขึ้นของ
closed time-like curve) |
· |
Nahin, Paul J. 1999. Time Machines: Time
Travel in Physics, Metaphysics, and Science
Fiction. Second edition. New York:
Springer-Verlag.
(รวบรวมข้อถกเถียงและเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการเดินทางข้ามเวลา
ทั้งจากงานทางปรัชญา วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์
รวมถึงจากนิยายวิทยาศาสตร์ ไว้อย่างครบถ้วน) |
คำที่เกี่ยวข้อง
ความเป็นสาเหตุ
Causality
|