1. ความเป็นมา
พุทธศาสนานิกายเซ็นเป็นพุทธศาสนานิกายหนึ่งที่พัฒนาขึ้นในดินแดนจีนช่วงคริสต์ศตวรรษที่
7 และ 8
โดยการผสมผสานแนวคิดของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานจากอินเดียและปรัชญาเต๋าในจีน
คำว่า “เซ็น” (Zen)
นี้มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสฤตว่า “ธยานะ”
(dhyana) และภาษาบาลีว่า “ฌาณ”
(jhana) ที่แปลว่า “สมาธิ”
เมื่อพุทธศาสนาเผยแพร่สู่ดินแดนจีน
ชาวจีนออกเสียงคำนี้ว่า “ฉาน”
(Ch’an)
ต่อมาจึงพัฒนาเป็นพุทธศาสนานิกายฉาน
และดินแดนญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลของแนวคิดนิกายฉานนี้เข้ามา
แต่ที่เรียกเป็นพุทธศาสนานิกายเซ็นก็เพราะชาวญี่ปุ่นออกเสียงคำว่า
“ฉาน” เป็น
“เซ็น”
ต่อมาพุทธศาสนานิกายนี้ได้พัฒนาออกไปเป็นหลายสำนัก
แต่มีแนวคิดหลักร่วมกัน
คือเป็นพุทธศาสนาที่เน้นการปฏิบัติสมาธิ
จุดกำเนิดของแนวคิดนิกายเซ็นมีมาแต่ครั้งพุทธกาลจากพระสูตรสัทธรมปุณฑรีกสูตรที่ว่าด้วยปัญหาที่
ท้าวมหาพรหมทูลถามพระพุทธองค์ ดังเนื้อความต่อไปนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ ภูเขาคิชกูฎ
ท้าวมหาพรหมได้มาถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชา
แล้วนั่งลงกราบทูลให้ทรงแสดงธรรม
พระตถาคตจึงได้ทรงแสดงโดยการชูดอกไม้ขึ้น ณ
ท่ามกลางสันนิบาต แล้วมิได้ตรัสอะไร ในขณะนั้น
ปวงเทพและมนุษย์ทั้งหลายต่างไม่เข้าใจในความหมาย
มีแต่พระมหากัสสปะยิ้มน้อยๆ อยู่
พระโลกนาถเจ้าจึงตรัสว่า
ตถาคตมีธรรมจักษุอันถูกตรงพระนิพพานและจิตที่เยี่ยม
ภาวะที่แท้จริงย่อมไม่มีลักษณะ มอบให้แก่มหากัสสปะแล้ว
(ทวีวัฒน์
ปุณฑริกวิวัฒน์, 2530:
9-10)
การที่พระมหากัสสปะผู้มีความเป็นเลิศในทางปัญญาได้รับสังฆาฏิจีวรของพระพุทธองค์
ทำให้เกิดธรรมเนียมการส่งมอบ จีวร สังฆาฏิ และบาตร
ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ในการสืบทอดตำแหน่งพระสังฆปรินายกของนิกายเซ็น
ถ้าถือตามพระสูตรสัทธรมปุณฑรีกสูตรนี้จะถือได้ว่าพระมหากัสสปะเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่
1
ในอินเดียและมีการสืบต่อกันมาจนกระทั่งถึงพระสังฆปรินายกองค์ที่
28 ซึ่งก็คือ พระโพธิธรรม
(Bodhidharma) ท่านได้นำพุทธธรรมเข้ามาเผยแพร่ในดินแดนจีน
โดยสั่งสอนธรรมให้กับท่านฮุ่ยเคอ (Hui c’o)
พุทธศาสนานิกายเซ็นในดินแดนจีน
จะนับพระโพธิธรรมว่าเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่1
จากนั้นได้มีการสืบทอดตำแหน่งเรื่อยมา
จนถึงสมัยของพระสังฆปรินายกองค์ที่ 6
คือ ท่านฮุ้ยเน้ง (Hui – neng)
หรือ ท่านเว่ยหลาง (Wei Lang,
ค.ศ. 638 - 713)
หลังจากนี้พุทธศาสนานิกายเซ็นได้แตกออกเป็น 5
สาขาใหญ่ ได้แก่ เว่ยหยาง (Wen –
Yang) หยุนเหมิน (Yun – Men)
ฟาเหยน (Fa – Yen)
เฉาต้ง (Ts’ao – Tung) และ หลินฉี
(Lin – Chi)
สาขาที่สำคัญและได้รับการสืบทอดมาจนทุกวันนี้ มีเพียง
2 สาขา คือ เฉาต้ง และ หลินฉี
พุทธศาสนาทั้ง 2
สาขานี้เองที่ดินแดนญี่ปุ่นรับเข้ามาในสมัยคะมะกุระ
(Kamakura, ค.ศ.
1185 - 1333) ท่านเอะอิไซ (Eisai,
ค.ศ. 1141
- 1215) เป็นผู้ก่อตั้ง
โดยนำแนวคิดจากสายหลินฉีมาเผยแพร่ เรียกว่านิกาย “รินไซเซ็น”
(Rinzai Zen)
สำนักนี้เน้นการรู้แจ้งอย่างฉับพลันโดยอาศัยปริศนาธรรมเพื่อให้เกิดความสงสัยอย่างต่อเนื่องในจิต
จนกระทั่งถึงที่สุดก็จะบรรลุสู่ความรู้แจ้งอย่างฉับพลัน
กล่าวคือ
การปฏิบัติธรรมกับผลที่ได้จากการปฏิบัติธรรมเป็นคนละส่วนกัน
โดยอาศัยปริศนาธรรมเป็นวิธีที่นำไปสู่การบรรลุธรรม
ต่อมาท่านโดเก็น (Dogen, ค.ศ.
1200 - 1253)
ได้นำแนวคิดจากสายเฉาต้งมาเผยแพร่ เรียกว่านิกาย “โซโตเซ็น”
(Sōtō Zen)
สำนักนี้เน้นที่การปฏิบัติซาเซ็น (zazen)
หรือ การทำสมาธิเป็นสำคัญ
ทั้งนี้เพื่อพัฒนาความสงบและมั่นคงแห่งจิตเพื่อแสดงให้เห็นว่าความรู้แจ้งอยู่ในประสบการณ์แห่งสมาธิจิตอยู่แล้ว
คำสอนของสำนักโซโตเซ็นจะเน้นว่าการปฏิบัติธรรมกับผลที่ได้จากการปฏิบัติธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน
โดยที่การปฏิบัติธรรมมิใช่ “วิธี”
สู่การบรรลุเป้าหมายบางอย่างภายนอก
แต่ประสบการณ์ที่แท้ในการปฏิบัติธรรมนั้นเอง คือ
การบรรลุธรรม
พระสูตรสำคัญในพุทธศาสนานิกายเซ็น
ถึงแม้ว่าหลักสำคัญของพุทธศาสนานิกายเซ็น คือ
การสืบทอดพิเศษนอกคัมภีร์
(special transmission outside the
scripture) ไม่ต้องอาศัยคำพูดและตัวอักษร
(no dependence on words and letters)
ชี้ตรงไปยังแก่นแท้ของมนุษย์ให้เห็นแจ้งในธรรมชาติของตนเองและบรรลุความเป็นพุทธะ
(seeing into one’s nature and the attainment of
Buddhahood)
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเซ็นปฏิเสธคัมภีร์หรือตัวอักษร
ในทางตรงข้าม
อาจารย์เซ็นทั้งหลายต่างได้สร้างวรรณกรรมมากมายดังปรากฎเป็นปริศนาธรรม
บทกวี เป็นต้น
พุทธศาสนานิกายเซ็นเป็นพุทธศาสนานิกายหนึ่งซึ่งได้รับอิทธิพลทางความคิดจากจีนและอินเดียที่ได้รับสืบทอดจากพระสูตรสำคัญ
ๆ ดังนี้ มหาปรัชญาปารมิตาสูตร (Prajñaparamita
Sutra) สัทธรรมปุณฑริกสูตร (Lotus
Sutra) สูตรเว่ยหลาง (The
Platform Sutra of Patriarch Hui-Neng)
วัชรสูตร (Diamond Sutra)
แต่พระสูตรที่สำคัญคือลังกาวตารสูตร
(Lankãvatãra Sutra)
ดังมีประวัติเล่าว่าท่านโพธิธรรมได้มอบลังกาวตารสูตรให้กับผู้สืบทอดตำแหน่งสังฆปรินายกเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา
2. การบรรลุธรรม
การบรรลุธรรมในพุทธปรัชญานิกายเซ็น
(禅
Zen) เรียกว่า “ซาโตริ”
(悟りsatori)
หมายถึงการรู้แจ้งแห่งสภาวะความจริงสูงสุด กล่าวคือ ซาโตริ
เป็นประสบการณ์การรับรู้ความจริงว่าสรรพสิ่งในจักรวาลล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน
หรือกล่าวได้ว่าประสบการณ์ซาโตรินี้เป็นการทำลายความยึดมั่นถือมั่นที่ทำให้เกิดความแบ่งแยก
เป็นการได้มาซึ่งความเข้าใจว่าที่แท้แล้วทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียว
กล่าวคือ เป็นเพียงความว่าง หรือความเป็นเช่นนั้นเอง
(Suchness)
มีวิธีการหลักเพื่อการบรรลุธรรม 3
วิธีด้วยกัน คือ ซาเซ็น(
座禅
zazen) หรือการนั่งสมาธิ ซันเซ็น (参禅
sanzen) หรือการขบคิดปริศนาธรรม (公案 kōan)
และ มนโด (問答
mondō) หรือ การถามตอบอย่างฉับพลัน
ท่านเซ็นไค ชิบายามะ (Zenkai Shibayama)
ได้อธิบายปรัชญาเซ็นไว้ดังนี้
เซ็นมิใช่ข้อสรุปทางความนึกคิด
ที่เข้าถึงได้ด้วยเหตุผลและการคิดใคร่ครวญ
วิถีแห่งเซ็นนั้นมิอาจพบได้โดยความรู้แบบแบ่งแยกของเรา
และมิใช่เพียงเท่านี้ แม้ความรู้และความคิดของเราทั้งหมด
ซึ่งเป็นผลผลิตของจิตสำนึกก็จำเป็นจะต้องขจัดออกอย่างสิ้นเชิงด้วย
หากทำได้สำเร็จแล้วจะเข้าถึงสัจจะแห่งประสบการณ์บริสุทธิ์
ซึ่งจะช่วยให้เราตื่นขึ้นสู่ความว่างหรือสุญญตาและในประสบการณ์ภายในอันลึกล้ำนี้แหละที่เซ็นดำรงอยู่
ถ้าพูดในแง่จุดหมายแล้ว ประสบการณ์แห่งเซ็นก็คือ
การตระหนักรู้ถึงรากฐานแห่งการดำรงอยู่
ถ้าพูดในแง่มุมส่วนตัวแล้วก็อาจอธิบายได้ว่า เซ็น คือ
การตื่นขึ้นสู่จิตอันล้ำลึกของมนุษย์ ซึ่งโดยภาษาแห่งเซ็น
เราเรียกการตื่นขึ้นนั้นว่า ‘ซาโตริ’
ซึ่งแปลว่า การตรัสรู้
เพื่อหมายถึงสัจจะแห่งประสบการณ์ทางศาสนา
(เซ็นไค ชิบายามะ,
2526: 59)
นิกายเซ็นมองว่าสรรพสิ่งคือความว่าง
เซ็นมองว่ามนุษย์มิใช่ศูนย์กลางแห่งจักรวาล
สรรพสิ่งล้วนต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกัน
และเชื่อว่าสรรพสัตว์มีพุทธภาวะอยู่ในตัวอยู่แล้ว การบรรลุซาโตริก็คือการเห็นตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตโดยที่โลกและชีวิตนั้น
คือ ความว่าง ในเมื่อว่างจากตัวตนแล้ว
ก็จะว่างจากการยึดติด
เมื่อว่างจากการยึดติดก็จะประจักษ์ถึงศูนยตาธรรมในที่สุด
จะเห็นได้ว่าสภาวะของซาโตริดังที่กล่าวมานั้นเป็นสภาวะที่ยากแก่การเข้าใจด้วยเหตุผลธรรมดาทั่วไป ทั้งนี้เพราะซาโตริไม่อาจแสดงออกมาในรูปของตรรกะหรือภาษาใดๆ
หากไม่มีประสบการณ์ตรง
ถึงแม้เมื่อมีประสบการณ์ตรงก็ยังเป็นเรื่องยากในการสื่อสาร
เพราะซาโตริเป็นสภาวะแห่งการรู้แจ้งอย่างฉับพลันที่ก้าวพ้นสามัญสำนึกแห่งทวินิยม
เช่น การแยกแยะเชิงมโนทัศน์ กายกับจิต ดีกับชั่ว
ผู้รับรู้กับสิ่งที่ถูกรับรู้ โลกภายนอกกับโลกภายใน
เป็นต้น สำหรับผู้ที่บรรลุซาโตริแล้ว
จะไม่ยึดติดกับสมมติบัญญัติต่างๆ
เพราะสมมติบัญญัติเหล่านี้มีลักษณะสัมพัทธ์ กล่าวคือ
ในบริบทหนึ่ง
สมมติบัญญัติชุดหนึ่งอาจเข้ากับบริบทหนึ่งนั้นได้
เมื่อบริบทเปลี่ยน
ชุดของสมมติบัญญัติที่เคยใช้อาจต้องเปลี่ยนตามไปด้วย
แต่ผู้ปฏิบัติเซ็นจะดำรงชีวิตตามความเป็นจริง คือ
มองโลกตามที่เป็นและไม่ไปยึดมั่นกับโลก กล่าวคือ
บุคคลสามารถมองตนเองว่าเป็นตนเองอยู่ได้
แต่ทั้งนี้จะอยู่ภายใต้กรอบความจริงที่ว่าความเป็นตนเองไม่มี
มีแต่ความว่างอันเป็นหนึ่งเดียว
แนวคิดและหลักปฏิบัติของเซ็นวางอยู่บนหลักแห่งความว่างอันเป็นหนึ่งเดียวแห่งสรรพสิ่ง
ซึ่งท้าทายความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วไปที่คุ้นเคยกับกรอบแห่งความยึดมั่นถือมั่น
กรอบแห่งความยึดมั่นสำหรับเซ็นล้วนแต่เป็นเรื่องที่มนุษย์สมมติขึ้น
อันเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรม คือ
การเห็นตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตที่ว่างจากกรอบมโนทัศน์ใด
ๆ
เราอาจทำความเข้าใจประเด็นนี้มากขึ้นจากการพิจารณาปริศนาธรรมดังต่อไปนี้
ก่อนฝึกเซ็น แม่น้ำก็เป็นแม่น้ำ ขุนเขาก็เป็นขุนเขา
[การรับรู้ตามปกติของคนทั่วไป]
แต่เมื่อปฏิบัติเซ็นแล้ว
ฉันเห็นว่าแม่น้ำก็ไม่ใช่แม่น้ำ
ขุนเขาก็มิใช่ขุนเขาอีกต่อไป [การรับรู้ของผู้บรรลุธรรม]
มาบัดนี้
ฉันกลับเห็นแม่น้ำก็ยังคงเป็นแม่น้ำและขุนเขาก็ยังเป็นขุนเขาอยู่ดังเดิม
[การรับรู้ของผู้บรรลุธรรมแล้วแต่ก็ยังสามารถสื่อสารกับคนปกติได้]
(ติช นัท ฮันท์, 2532: 74,
ข้อความในวงเล็บเป็นของผู้เรียบเรียง)
จะเห็นได้ว่าในการรับรู้ตามปกติของคนทั่วไปจะมีลักษณะที่ยึดถือตามความหมายที่กำหนดไว้
จึงทำให้มองว่า แม่น้ำก็คือแม่น้ำ ขุนเขาก็คือขุนเขา
ตามความหมายและความเข้าใจในระดับปกติ
แต่เมื่อเกิดการรู้แจ้งแล้วการยึดมั่นถือมั่นต่าง ๆ
ก็ได้ถูกทำลายสิ้น ภาพการมองภูเขาและแม่น้ำจะเปลี่ยนไป
แม่น้ำจึงไม่ใช่แม่น้ำและขุนเขาจึงไม่ใช่ขุนเขาอีกต่อไป
หลังจากที่รู้แจ้งแล้วก็กลับมามีสภาวะปกติดังเดิม
แม่น้ำจึงเป็นแม่น้ำ ภูเขาก็คือภูเขา
แต่ภาพของภูเขาและแม่น้ำสำหรับผู้บรรลุธรรมแล้วจะเป็นคนละอย่างกับผู้ยังไม่บรรลุธรรม
คือไม่ยึดติดกับความหมายเดิมของคนทั่วไป
ผู้บรรลุธรรมยังดำรงอยู่ในโลกตามความเป็นจริง
กล่าวคือผู้ที่บรรลุซาโตริจะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างธรรมดาโดยไม่ถูกสิ่งอื่นครอบงำ
อยู่กับปัจจุบันขณะ คือ ไม่ไปหวนรำลึกถึงอดีต
และไม่วิตกกังวลกับอนาคต
แต่จะมองทุกอย่างตามที่เป็นในปัจจุบันขณะ
แม้การบรรลุธรรมจะทำให้เห็นแจ้งตามความเป็นจริงอันเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่งที่ปราศจากความคิดแบ่งแยก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่บรรลุซาโตริแล้วจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่กับคนทั่วไปในชีวิตประจำวัน
ผู้ที่บรรลุซาโตริจะเข้าใจและรู้เท่าทันกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้าของเขาในขณะที่คนทั่วไปอาจไม่รู้
ในทางตรงข้าม จิตของมนุษย์มักถูกครอบงำด้วยกิเลสต่าง ๆ
ทำให้เห็นภาพบิดเบือนไปจากความเป็นจริงแล้วไปยึดติดกับภาพสมมติที่มนุษย์บัญญัติขึ้น
ทำให้ไม่เข้าใจการกระทำหรือการพูดของอาจารย์เซ็นซึ่งพ้นไปจากสมมติบัญญัติ
เช่น กรณีพระเซ็นอุ้มผู้หญิงข้ามแม่น้ำ
เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งอาจารย์ตันซานกับอาจารย์เอโดกิเดินทางไปตามถนนเฉอะแฉะเพราะฝนกำลังตกหนัก
และได้พบหญิงสาวสวยกำลังรีรอจะข้ามแม่น้ำ
อาจารย์ตันซานจึงเข้าไปอุ้มเธอข้ามฝั่ง
อาจารย์เอโดกิตกใจมาก แต่ไม่กล้าปริปากพูด
จนกระทั่งตอนกลางคืน อาจารย์เอโดกิจึงถามอาจารย์ตันซานว่า
“พระเราแตะต้องผู้หญิงไม่ได้
โดยเฉพาะสาวสวยเช่นนั้นยิ่งอันตราย
ทำไมท่านกล้าทำถึงขนาดนั้น”
อาจารย์ตันซานตอบว่า “ผมวางเธอไว้ที่นั่นตั้งนานแล้ว
คุณยังอุ้มเธออยู่หรือนี่”
(เสฐียรพงษ์ วรรณปก,
2540: 28)
เรื่องพระอุ้มผู้หญิงข้ามแม่น้ำนี้แสดงให้เห็นว่า
วิธีคิดของอาจารย์ตันซานได้ก้าวข้ามพ้นจากการแยกแยะของสมมติบัญญัติ
ซึ่งในที่นี้คือพระวินัยไปสู่แก่นแท้ของหลักธรรมคือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
ในขณะที่อาจารย์เอโดกิยังคงยึดติดกับสมมติบัญญัติอยู่
หรือกล่าวได้ว่าอาจารย์ตันซานได้ปลดปล่อยตัวเองจากบัญญัติทางโลกในขณะที่อาจารย์เอโดกินั้นยังติดอยู่ในบัญญัติ
3.
วิธีการบรรลุธรรม
การบรรลุซาโตริคือการรู้แจ้งแห่งสัจธรรม กล่าวคือ
เป็นการทำลายอวิชชา ตัณหา และอุปทาน ก้าวพ้นทวิลักษณ์
มองเห็นสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีการแบ่งแยกแต่อย่างใด
เป็นแต่ความว่างอันเป็นหนึ่งเดียวกัน
แนวการปฏิบัติเพื่อบรรลุซาโตริของทั้งสำนักโซโตและรินไซ มี
3 ประการ ดังนี้
3.1 ซาเซ็น
(Zazen)
ซาเซ็นหมายถึงการนั่งสมาธิอันเป็นพื้นฐานในการเตรียมจิตเพื่อการขบคิดพิจารณาสภาวะธรรมและปริศนาธรรมต่าง
ๆ เพื่อการบรรลุซาโตริ
เพราะหากไม่มีการฝึกซาเซ็นเพื่อพัฒนาจิตให้แข็งแกร่งแล้วก็จะเป็นการยากยิ่งในการขบคิดปริศนาธรรมให้กระจ่างแจ้งได้และเมื่อไม่สามารถขบคิดปริศนาธรรมได้สภาวะซาโตริก็จะเกิดขึ้นได้ยาก
ในการบรรลุซาโตรินั้น
มักต้องอาศัยการขบคิดปริศนาธรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความงุนงงสงสัยคุกรุ่นเต็มเปี่ยมอยู่ในจิตแล้ว
“ระเบิดออก”
สู่การรู้แจ้งอย่างทันทีทันใด
ในการปฏิบัติซาเซ็นนี้ ท่านโดเก็นได้อธิบายไว้ดังนี้
ณ ที่นั่งประจำของท่าน ปูเสื่อหนา ๆ แล้ววางหมอนลงบนเสื่อ
นั่งขัดสมาธิเพชร หรือสมาธิดอกบัว ในท่าสมาธิเพชร
ให้วางเท้าขวาบนขาซ้ายและเท้าซ้ายบนขาขวา
ในท่าสมาธิดอกบัว
ท่านเพียงวางเท้าซ้ายบนขาขวาเท่านั้น
ท่านควรห่มจีวรและคาดรัดประคดแต่หลวม ๆ
แต่เข้าที่ให้เรียบร้อย
แล้ววางมือขวาบนขาซ้ายและวางฝ่ามือซ้ายในท่าหงายขึ้นบนฝ่ามือขวาโดยให้ปลายนิ้วโป้งจรดกัน
นั่งตรงในท่าที่ถูกต้อง อย่าเอียงไปทางซ้ายหรือขวา
อย่าเอียงไปข้างหน้าหรือข้างหลัง…เมื่อท่านั่งเรียบร้อยแล้ว
สูดลมหายใจลึก ๆ หายใจเข้าออก
โคลงร่างไปทางซ้ายทีขวาทีแล้วปล่อยให้หยุดนิ่งสมดุลในท่านั่ง
คิดถึงการไม่คิด จะคิดถึงการไม่คิดได้อย่างไร
โดยปราศจากการคิด สิ่งนี้เองคือ
หัวใจแห่งศิลปะการนั่งซาเซ็น
(สุวรรณา
สถาอานันท์, 2534: 49 - 50)
การนั่งซาเซ็นนี้เป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนให้จิตหลุดพ้นจากกรอบอ้างอิงเดิมที่เคยคิด
เคยเชื่อ เคยยึดมั่นถือมั่น
ไปสู่การปราศจากการคิดซึ่งหมายถึงการที่จิตพ้นไปจากการแบ่งแยกเชิงทวิลักษณ์
เพื่อก้าวเข้าสู่ความว่างอันเป็นหนึ่งเดียวกับจิตเดิมแท้
ประเด็นเรื่องปราศจากความคิดนี้ อาจารย์คาสุลิส
(T. P. Kasulis, 1981: 71 - 77)
ได้อธิบายไว้ว่า “การคิด”
คือ การกำหนดมโนทัศน์ต่าง ๆ
อันเป็นกิจกรรมทางจิตให้กับสิ่ง ๆ หนึ่ง
ซึ่งรวมถึงการตัดสินใจด้วยว่า ชอบ ไม่ชอบ เชื่อ ไม่เชื่อ
เป็นต้น เช่น การรับรู้ว่าอะไรคือโต๊ะ อะไรคือเก้าอี้
“การไม่คิด”
คือ
การปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ
หรือกล่าวได้ว่าการไม่คิดคือการปฏิเสธกระบวนการรับรู้สิ่งต่าง
ๆ ทั้งหมด
แต่การจงใจปฏิเสธการคิดนี้ในแง่หนึ่งก็เป็นตัวการคิดนั้นเอง
คือมีกรอบกำหนดเพื่อการปฏิเสธ ส่วน“การปราศจากความคิด”
แตกต่างจากการคิดและการไม่คิดในแง่ที่ว่าการปราศจากการคิด
จิตไม่มีความมุ่งหมายใด (intentionality)
ไม่ใช่ทั้งการยืนยันและปฏิเสธ
ไม่ใช่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ
ไม่ได้มุ่งปฏิเสธอย่างเดียวกับการไม่คิด
แต่เป็นการปล่อยให้สิ่งต่างๆ ปรากฏอย่างที่มันเป็น
(pure presence of things as they are)
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
เป็นสภาวะก่อนการแยกแยะเชิงมโนทัศน์
การปราศจากการคิดนี้อาจเปรียบได้กับการที่เรายืนดูความงามของธรรมชาติบนยอดเขา
โดยเราจะซาบซึ้งและซึมซับความงามจนอยู่ในสภาวะที่ปราศจากคำพูดหรือคำบรรยายใดๆ
การปฏิบัติซาเซ็นจึงมิใช่การนั่งสมาธิแบบปฏิเสธการรับรู้
แต่เป็นการนั่งสมาธิที่เต็มไปด้วยการรับรู้
แต่เป็นการรับรู้โลกและประสบการณ์ตามอย่างที่เป็นโดยปราศจากความจงใจใด
ๆ
การรับรู้นี้เป็นการรับรู้ที่ตัวผู้รับรู้กับสิ่งที่ถูกรับรู้ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
เป็นการดำรงอยู่ภายใต้กาลภาวะนั้นๆ
การปฏิบัติซาเซ็นเป็นฐานของการฝึกใช้ปัญญาในการคิดพิจารณาสภาวะธรรมและปริศนาธรรม
แต่สำหรับโดเก็น
ตัวซาเซ็นเองก็คือปริศนาธรรมมิใช่เป็นฐานสำหรับการฝึกใช้ปัญญาเพื่อขบคิดปริศนาธรรม
3.2 ซันเซ็น
(Sanzen)
แนวการปฏิบัติแบบซันเซ็น หรือวิธีการแห่งปริศนาธรรมนี้
ศิษย์จะเข้าไปพบอาจารย์เพื่อรับปริศนาธรรมมาขบคิดพิจารณา
ทั้งนี้
ปริศนาธรรมเป็นเพียงเครื่องมือในการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวทัศน์แก่ผู้ฝึกฝนเซ็นเท่านั้น
หาใช่ความจริงไม่
รูปแบบหรือคำตอบของปริศนาธรรมจะแตกต่างกันออกไป
แม้ว่าจะเป็นปริศนาธรรมชนิดเดียวกัน แต่ถ้าถามกับคนต่างกัน
ก็จะได้คำตอบที่แตกต่างกัน
ขึ้นกับสภาพจิตที่ผ่านการฝึกฝนมาและอุปนิสัยของแต่ละคน
อาจารย์จะเป็นผู้ตัดสินว่าคำตอบของศิษย์ที่มีต่อปริศนาธรรมนั้น
เกิดจากการตระหนักรู้จริง ๆ
หรือเป็นเพียงการจำหรือลอกเลียนแบบมาจากคนอื่น
ตัวอย่างของปริศนาธรรม
ศิษย์: พระพุทธเจ้าคืออะไร?
อาจารย์:
ป่านหนักสามตำลึง (Mumonkan,
Case 18)
ศิษย์:
พระพุทธเจ้าคืออะไร
อาจารย์:
ไม่มีจิต ไม่มีพุทธะ (Mumonkan,
Case 33)
ศิษย์:
อะไรคือความหมายของท่านโพธิธรรมที่เดินทางมาจากทางตะวันตก?
อาจารย์:
โอ้!
กอไผ่ต้นนี้ช่างสูงตระการเสียจริง! (Mumonkan,
Case 37)
จากตัวอย่างปริศนาธรรมข้างต้นจะเห็นได้ว่าลักษณะการตอบแสดงให้เห็นถึงภาวะแห่งการบรรลุธรรมของผู้ตอบ
ในแง่ที่ว่าสรรพสิ่งล้วนรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
คำตอบไม่จำเป็นต้องเป็นคำตอบที่มีลักษณะของการอธิบายตามความเข้าใจทั่วไป
(เช่น คนทั่วไปอาจอธิบายว่าหลักสำคัญแห่งพุทธศาสนา ได้แก่
หลักการเวียนว่ายตายเกิด กรรม อริยสัจสี่)
แม้จะอธิบายเช่นนี้
แต่ก็ยังอาจพบกับข้อสงสัยได้ว่าจะแยกแยะคำตอบของคนที่บรรลุธรรมออกจากคำตอบของคนที่ไม่ได้บรรลุธรรมได้อย่างไร
สำหรับประเด็นนี้
ผู้เรียบเรียงเห็นว่าวิธีที่ใช้แยกแยะการตอบของผู้บรรลุธรรมจากคนอื่น
ๆ สามารถพิจารณาจากตัวคำตอบนั้นเอง
และการใช้ชีวิตประจำวันที่มีความเข้าใจและดำรงอยู่ในแก่นแท้แห่งเซ็น
ทั้งสองข้อนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์เซ็นผู้บรรลุธรรมอีกต่อหนึ่ง
แต่ถ้าพิจารณาในอีกทางหนึ่ง
ลักษณะการตอบของผู้บรรลุธรรมเป็นการตอบจากสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ
ซึ่งบ่งถึงการตระหนักรู้ถึงปัจจุบันขณะอยู่ตลอดเวลา
และเป็นการแสดงให้เห็นถึงการไม่อาศัยเหตุผลในการไตร่ตรองคำตอบ
การตอบอย่างฉับพลันเป็นการสะท้อนประสบการณ์ปัจจุบันขณะตามคติปรัชญาเซ็นที่เน้นการมองโลกตามความเป็นจริงปราศจากการแบ่งแยก
ดังตัวอย่างของปริศนาธรรมที่ถามเกี่ยวกับเหตุผลหรือความหมายของการเดินทางมาจากทิศตะวันตกของท่านโพธิธรรม
คำตอบสำหรับคำถามนี้คนส่วนใหญ่คาดหวังว่าน่าจะเป็นการอธิบายเหตุผลเกี่ยวกับทำไมและอย่างไร
แต่ผู้ตอบกลับให้คำตอบซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นที่เข้าใจได้ว่า
“โอ้!
กอไผ่ต้นนี้ช่างสูงตระการเสียจริง!”
ในที่นี้คำตอบนี้อาจไม่เป็นที่เข้าใจได้หรือเป็นคนละเรื่องกับคำถาม
แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่าถ้าจุดหมายของการสอนธรรมะของท่านโพธิธรรมเป็นไปเพื่อการเห็นว่าสรรพสิ่งล้วนดำรงอยู่เป็นหนึ่งเดียวกันโดยปราศจากการคิดแบ่งแยกโดยอาศัยการพิจารณาและอยู่กับปัจจุบันขณะ
ก็จะเห็นได้ว่าการตอบในลักษณะดังกล่าวแสดงว่าผู้ตอบนั้นเข้าใจจุดหมายของการสอนธรรมะของท่านโพธิธรรมคือเข้าใจว่าตนเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง
จะเห็นได้ว่าลักษณะของการใช้ภาษาในปริศนาธรรมของอาจารย์เซ็นเป็น
“ภาษาแห่งการรู้แจ้ง” (ติช
นัท ฮันห์, 2522: 86)
คือเป็นภาษาที่ปลุกให้ศิษย์ตื่นสู่โลกแห่งความเป็นจริง
กล่าวคือ
อาจารย์เซ็นใช้ภาษาในฐานะเครื่องมือเพื่อให้เกิดประสบการณ์ทางศาสนา
มิได้ใช้ภาษาเพื่อบรรยายความเป็นจริง
3.3 มนโด (Mondō)
มนโด คือ การถามตอบอย่างฉับพลัน
โดยไม่ผ่านการใช้ความคิดพิจารณาปริศนาธรรมอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้เพราะการใช้มนโดจะเป็นการบังคับให้เราตอบในทันทีโดยไม่ผ่านการคิดหรือเหตุผลใดๆ
เพื่อให้หลุดพ้นจากกรอบความคิดแบบเดิมไปสู่การรับรู้โลกตามความเป็นจริง
ไม่ผ่านการปรุงแต่งหรือการครอบงำของอวิชชาและกิเลสอัน
ตัวอย่างของมนโด
พระรูปหนึ่งถามท่านอาจารย์โจวชูว่า:
"กระผมเพิ่งมาถึง ณ สถานปฏิบัติธรรมนี้
โปรดให้คำชี้แนะด้วย"
ท่านอาจารย์โจวชูตอบว่า: "เธอกินข้าวแล้วหรือยัง"
พระรูปนั้นตอบว่า: "กระผมทานแล้ว"
ท่านอาจารย์โจวชูตอบว่า: "งั้นก็ไปล้างจานเสียสิ"
(Mumonkan,
Case 7)
จากตัวอย่างมนโดข้างต้น
พระที่ขอคำชี้แนะอาจารย์โจชูได้ลืมว่าแท้ที่จริงแล้วหลักคำสอนแห่งพุทธะเป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรมที่มีอยู่ในทุกขณะจิตของชีวิตประจำวัน
บทสนทนาของอาจารย์โจชูเป็นการเตือนพระรูปนั้นว่าอย่าได้แสวงหาธรรมะที่อยู่นอกตัว
หรืออย่าถามหาหลักคำสอนที่แยกออกจากวิถีชีวิตปกติ
แต่ให้หันกลับมาพิจารณาประสบการณ์แห่งพุทธะในตนเอง
ทั้งปริศนาธรรมและมนโดต่างก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการบรรลุธรรมได้
ปริศนาธรรมเป็นปัญหาที่อาจารย์ใช้ถามลูกศิษย์เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าลูกศิษย์ของตนมีความก้าวหน้าทางจิตเพียงใด
เมื่อศิษย์ได้รับปริศนาธรรมมาแล้วก็จะต้องพยายามขบคิดปริศนาธรรมที่ได้รับมาเพื่อเป็นการทดสอบประสบการณ์ทางจิตของตน
ในขณะที่มนโดเป็นระบบการถามตอบอย่างปัจจุบันทันด่วนโดยไม่ผ่านการขบคิดพิจารณาอย่างต่อเนื่องอย่างปริศนาธรรม
กล่าวคือ
ในบางครั้งอาจารย์เซ็นอาจมอบปริศนาธรรมแก่ศิษย์ไปขบคิด แต่ในบางครั้งอาจารย์เซ็นอาจถามปริศนาธรรมในกระบวนการของมนโด
โดยที่การตอบในกระบวนวิธีมนโดจะเป็นการตอบอย่างฉับพลัน
ไม่ปล่อยให้ใช้ระบบคิดหรือเหตุผลในการไตร่ตรองคำถาม
คำตอบที่ได้จากวิธีการมนโดนี้เป็นคำตอบที่มาจากจิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกรอบมโนทัศน์ใด
ๆ ที่อาจบิดเบือนโลกแห่งความเป็นจริง
ในขณะที่กระบวนการแห่งปริศนาธรรมเป็นการอาศัยการคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผลจนเกิดความงุนงงสงสัยอย่างต่อเนื่อง
จากการตระหนักรู้ว่าเหตุผลไม่สามารถทำความเข้าใจปริศนาธรรมได้จนเกิดการระเบิดออกสู่การรู้แจ้งอย่างฉับพลัน
กระบวนการมนโดเป็นการถามตอบอย่างฉับพลันที่เป็นการตัดกระแสการคิดเชิงตรรกะไปในตัว
ทำให้เข้าใจความจริงแท้ที่อยู่เหนือการคิด เหตุผล
และการแยกแยะต่าง ๆ ฉะนั้น
ไม่ว่าจะเป็นวิธีการแห่งมนโดหรือวิธีการแห่งปริศนาธรรมนั้นต่างก็พยายามตัดกระแสสำนึกแห่งเหตุผลที่เป็นตัวบดบังการเข้าถึงความจริงแท้
4. ปริศนาธรรม
ปริศนาธรรมในสายรินไซเซ็นเป็นปัจจัยช่วยทำให้พุทธศาสนานิกายเซ็นดูมีความโดดเด่น
รินไซเซ็นเน้นการปฏิบัติเพื่อการบรรลุธรรมอย่างฉับพลัน
โดยจะเน้นหนักไปทางการใช้ปัญญาในการขบคิดปริศนาธรรม
ในขณะที่สายโซโตเซ็นจะเน้นการปฏิบัติซาเซ็นเป็นสำคัญ
4.1 ความหมาย
ปริศนาธรรม หรือ โคอัน (Koan)
ในอดีตสมัยปลายราชวงศ์ถังหมายถึง “เอกสารสาธารณะ”
หรือ “พระราชบัญญัติ”
แต่ต่อมามีความหมายถึงเรื่องราวหรือบทสนทนาระหว่างอาจารย์กับศิษย์
หรือปัญหาที่อาจารย์หยิบยกขึ้นมาแสดงแก่ศิษย์
อาจารย์ซะซะกิ (Sasaki, 1965: 4 - 9)
เสนอว่าคำว่า “โค”
หมายความว่า “สาธารณะ”
(public) นอกจากนี้ยังมีความหมายแฝง คือ
การสิ้นสุดลงแห่งความคิดความเข้าใจอันเป็นส่วนตัวที่เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นในลักษณะทวินิยม
ส่วน “อัน”
มีความหมายว่า “บันทึกหรือเอกสาร”
(records)
ซึ่งแฝงนัยว่าเป็นการยืนยันสภาวะแห่งพุทธะที่แสดงออกมา
ฉะนั้น
โคอันจึงมีความหมายแฝงว่าเป็นการแสดงออกแห่งธรรมะอันแท้จริงสูงสุด
ท่านฮากุอิน (Hakuin,
ค.ศ.1685-1768)
ได้รวบรวมปริศนาธรรมตามที่ปรากฏใช้อยู่ในสำนักนี้ประมาณ
1,700 บท เช่น
-
จงแสดงใบหน้าที่แท้จริงของท่านก่อนท่านเกิด
-
อะไรคือเสียงของการตบมือข้างเดียว
-
ถาม:
อะไรคือหลักธรรมของพุทธศาสนา
-
ตอบ:
ข้าพเจ้าเห็นภูเขาไม่ใช่ภูเขา
เห็นแม่น้ำไม่ใช่แม่น้ำ
4.2 ความเป็นมา
เราสามารถสืบสาวความเป็นมาของปริศนาธรรมไปถึงครั้งสมัยที่พระพุทธองค์ยังคงดำรงพระชนม์ชีพอยู่
กล่าวคือ พระพุทธองค์ได้แสดงคำสอนต่าง ๆ เพื่อการรู้แจ้ง
ดังเห็นได้จากตอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมแก่พระมหากัสสัปปะ
อย่างไรก็ดี
รูปแบบปริศนาธรรมที่ชัดเจนนั้นเริ่มมีปรากฏขึ้นในสมัยราชวงศ์ถังตอนปลาย
อาจารย์หนานหยวน ฮุ่ยหย่ง
(Nan-yuan Hui-yung ค.ศ.?
– 930) หรือ ท่านนันอิน เอเกียว
(Nan’in Egyo)
เป็นผู้ริเริ่มรวบรวมปริศนาธรรมต่าง ๆ
ที่เหล่าอาจารย์ในอดีตใช้สั่งสอนศิษย์ตามสถานการณ์และความเหมาะสม
แต่ด้วยขาดแคลนอาจารย์ที่จะสร้างสรรค์ปริศนาธรรมใหม่ ๆ
และจำนวนศิษย์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปริศนาธรรมใหม่ๆ
จึงไม่ค่อยมี ปริศนาธรรมซึ่งหมายถึง “บันทึกสาธารณะ”
(public records) จึงสื่อนัย “คำสอนที่สืบทอดมาแต่ครั้งอดีต”
(words of ancients) ด้วย
การเก็บรวบรวมปริศนาธรรมได้สำเร็จลุล่วงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่10
แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ได้มีอาจารย์บางท่านพยายามสร้างปริศนาธรรมขึ้นใหม่
โดยการใช้คำถามจากปริศนาธรรมเดิม แต่ให้คำตอบใหม่ เช่น
ท่านเฝิ่นหยัง ซานเจ้า (Fen-yang Shan-chao,
ค.ศ.
947–1024) หรือ ท่านฟุนโย เซ็นโช
(Fun’yo Zencho) ต่อมาท่านเซ็ตโช จูเก็น
(Setcho Juken, ค.ศ. 980–1052)
ได้รวบรวมปริศนาธรรมอีกครั้งหนึ่งโดยผนวกอีก 18
ปริศนาธรรมจากสำนักอวิ๋นเหมิน
(Yun-men) ของท่านเอง ต่อมาท่านหยวนหวู
โค่วจิ่น (Yuan-wu K’och’in, ค.ศ.1063–1135)
หรือท่านเอ็นโง โคคูกอน (Engo
Kokugon) ได้นำบันทึกของท่านฮุ่ยโถว
มาวิเคราะห์วิจารณ์และนำไปสั่งสอนศิษย์ ในตำราชื่อว่า
ปี้เหยียนลู่ (Pi-yen lu)
ในสมัยนี้เองที่มีการวิเคราะห์วิจารณ์ปริศนาธรรมอย่างแพร่หลายโดยอาศัยเหตุผลและทฤษฎีต่าง
ๆ มากมาย แต่ท่านต้าฮุ่ยจงเกา (Ta-hui Tsung-kao
ค.ศ.
1089–1163) หรือ ท่านไดเอะ โซะโคะ
(Daie Soko)
มองว่าการพิจารณาปริศนาธรรมที่แท้มิใช่การให้เหตุผลหรือทฤษฎี
แต่ต้องเป็นการรวบรวมจิตในการ
4.3 จุดหมาย
จุดหมายแห่งปริศนาธรรมมิใช่การอธิบายแก่นแท้แห่งพุทธธรรม
แต่เป็นไปเพื่อผลในเชิงปฏิบัติ
มีผู้เปรียบการใช้ปริศนาธรรมว่าเป็นดั่ง
“นิ้วที่ชี้สู่ดวงจันทร์”
หมายความว่า
จุดมุ่งหมายของปริศนาธรรมไม่ได้อยู่ที่การพยายามหาความหมายภายในตัวปริศนาธรรมนั้นเอง
ทั้งนี้เพราะปริศนาธรรมไม่ใช่จุดหมายปลายทางแต่เป็นเพียงวิธีการเท่านั้น
ถ้าเรายังคงยึดติดอยู่ที่ปริศนาธรรมแล้วจะไม่สามารถก้าวพ้นไปสู่สภาวะอันแท้จริงได้
เปรียบได้กับการมองเพียงนิ้วที่ชี้ไปสู่ดวงจันทร์
ซึ่งถ้ามองเพียงแต่นิ้วเราก็ไม่อาจมองถึงดวงจันทร์ได้
กล่าวคือ สิ่งที่ผู้ชี้ต้องการคือไม่ใช่การมองเพียงที่นิ้ว
แต่เป็นการมองดูดวงจันทร์อันเป็นเป้าหมายของการชี้นิ้วสู่ดวงจันทร์
การขบปริศนาธรรมมีเป้าหมายให้บรรลุสภาวะแห่งซาโตริอันอยู่พ้นจากกรอบของภาษาและเหตุผลธรรมดาทั่วไป
ปริศนาธรรมมักแสดงออกในลักษณะที่เป็นปฏิทรรศน์
(paradox)
ในการทำความเข้าใจจุดหมายแห่งปริศนาธรรมนี้
เราจำเป็นต้องทราบถึงลักษณะและประเภทของปริศนาธรรมก่อน
การแบ่งประเภทของปริศนาธรรมนี้ อาจารย์จุง-อิง-
เจง (Chung-ying Cheng, 1973: 87 - 90)
ได้แบ่งปริศนาธรรมตามลักษณะความเป็นปฏิทรรศน์ไว้ 3
ประเภท ได้แก่
ประเภทที่
1
ปริศนาธรรมที่มีความขัดแย้งภายในอยู่ในลักษณะของคำสั่งง่าย
ๆ หรืออยู่ในคำถามเพียงคำถามเดียว เช่น
“จงแสดงใบหน้าที่แท้จริงของท่านก่อนท่านเกิด”
หรือ “อะไรคือเสียงของมือข้างเดียว”
ประเภทที่
2
ปริศนาธรรมที่มีความขัดแย้งภายในอยู่ความสัมพันธ์ระหว่างคำถามและคำตอบ
โดยที่คำถามหรือคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่งจะมีลักษณะขัดแย้งกันเองภายในตัว
เช่น
คำถาม:
อะไรคือหลักธรรมของพุทธศาสนา
คำตอบ:
ข้าพเจ้าเห็นภูเขาไม่ใช่ภูเขา เห็นแม่น้ำไม่ใช่แม่น้ำ
ประเภทที่
3
ปริศนาธรรมที่มีความขัดแย้งภายในอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างคำถามและคำตอบ
แต่ในที่นี้ตัวคำถามและคำตอบไม่ได้มีความขัดแย้งกันภายใน
เช่น
คำถาม:
อะไรคือความหมายของการที่ท่านโพธิธรรมเดินทางมาจากทางตะวันตก
ตอบ:
มีต้นสนอยู่หน้าลานวัด
ในประวัติศาสตร์นิกายเซ็น
สถานการณ์การใช้ปริศนาธรรมนั้นจะเกิดขึ้นในเฉพาะระหว่างอาจารย์กับศิษย์
อาจารย์เซ็นใช้ปริศนาธรรมเป็นเครื่องมือตรวจสอบความเข้าใจและความรู้แจ้งของศิษย์
และอาจารย์เซ็นจะมีบทบาทสำคัญไม่น้อยไปกว่าปริศนาธรรม
อาจารย์เซ็นเป็นผู้ใช้ปริศนาธรรมเพื่อตรวจสอบสภาพจิตของศิษย์ว่าอยู่ในระดับใด
โดยอาจารย์เซ็นจะพิจารณาจากคำตอบหรือการแสดงออกของศิษย์
นอกจากปริศนาธรรมจะสามารถใช้เป็นเครื่องทดสอบประสบการณ์ทางจิตของผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว
บทบาทสำคัญของปริศนาธรรมอีกประการหนึ่งคือเข้าไปทำลายความคิดและการใชภาษาในระดับปกติ
จุดมุ่งหมายแห่งปริศนาธรรมคือการพยายามทำให้เกิดการแสดงออกของความจริงแท้
โดยการทำลายความคิดปรุงแต่งต่าง ๆ ที่เกิดจากกิเลสตัณหาและอวิชชา
ทำให้ผู้ฝึกปฏิบัติเข้าไปมีประสบการณ์ตรงกับความจริงแท้ที่ปราศจากการคิด
เหตุผล การแยกแยะในโลกแห่งสมมติบัญญัติ
หนทางแห่งปริศนาธรรมคือกระตุ้นให้เกิดอาการงุนงงภายในจิตของผู้ปฏิบัติธรรม
ในกระบวนการขบคิดปริศนาธรรม
แม้ว่าจะเป็นการพยายามขบคิดอย่างต่อเนื่อง
โดยในตอนแรกผู้ฝึกอาจพยายามใช้เหตุผลในการขบคิดปริศนาธรรม
แต่เมื่อพยายามคิดด้วยเหตุผลมาในระดับหนึ่ง
จะพบว่าเหตุผลไม่สามารถให้คำตอบแก่ปริศนาธรรมได้
เนื่องจากพบกับความเป็นปฏิทรรศน์ในปริศนาธรรม ในที่สุด
กรอบความยึดมั่นเชิงทวิทัศน์ก็จะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงและมีการรู้แจ้ง
นอกจากนี้
ปริศนาธรรมยังใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินหาผู้เหมาะสมกับตำแหน่งสังฆปรินายกองค์ต่อไป
กล่าวคือ
ผู้ที่ได้รับการยอมรับจากอาจารย์เซ็นในการสืบทอดตำแหน่งสังฆปรินายกจะต้องผ่านการตรวจสอบโดยอาศัยปริศนาธรรมและกระบวนการต่างๆอย่างเข้มงวด
นอกจากจะมีความเป็นเลิศทางธรรมแล้ว
ยังต้องเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสภาพจิตที่เปี่ยมด้วยความรู้แจ้ง
ความสามารถในการสั่งสอนแนวทางแห่งเซ็น
5.
เซ็นกับจริยศาสตร์
สมมติฐานเกี่ยวกับโลกในปรัชญาตะวันตกกระแสหลักเห็นว่ามีความเป็นจริงบางอย่างอยู่ก่อนการรับรู้ของมนุษย์
สมมติฐานนี้นำไปสู่การมองโลกในเชิงทวิลักษณ์
เช่น
ผู้รับรู้กับสิ่งที่ถูกรับรู้
กายกับจิต
เหตุผลกับประสบการณ์
เป็นต้น
และถ้าพิจารณาในบริบทของจริยศาสตร์ตะวันตก
เราจะพบว่าจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน
(normative ethics)
ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้เหตุผลในการแสวงหาว่าอะไรคือ
“สิ่งที่ควร”
สำหรับทุกคน
โดยพิจารณาว่าอะไรควรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินการกระทำว่าเป็นการกระทำที่ถูกที่ควร
การแสวงหานั้นมีนัยของการแยกแยะว่าอะไรถูก
อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร
นอกจากนี้
ยังมีนัยว่าการกระทำที่ควรอยู่ในขอบเขตความสามารถที่จะกระทำได้ของมนุษย์
จริยศาสตร์ตะวันตกจึงมองจากกรอบการแยกแยะเชิงทวิทัศน์
ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และสิ่งอื่นแยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง
พุทธปรัชญานิกายเซ็นเลือกที่คำถามทางจริยศาสตร์ว่า
“เราควรเป็นอย่างไร”
มากกว่าการถามว่า “เราควรทำอย่างไร”
นิกายเซ็น
การเรียกร้องให้มนุษย์กลับไปสู่ประสบการณ์ดั้งเดิมที่ปราศจากการแยกแยะเชิงมโนทัศน์
เพราะความเป็นจริงสำหรับเซ็นคือการปรากฎขึ้นของความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษย์
โลก และการรับรู้ กล่าวคือ
ความเป็นจริงมิใช่โลกภายนอกที่ต้องแสวงหา
แต่เป็นเรื่องภายในตัวมนุษย์เอง
จริยศาสตร์สำหรับนิกายเซ็นจึงไม่ใช่เรื่องของ
“ควร”
แต่เป็นเรื่องของ “เป็น”
กล่าวคือ
ผู้ฝึกปฏิบัติเซ็นคือผู้ที่รับรู้โลกตามอย่างที่เป็น
ปราศจากการแยกแยะระหว่างตัวตนหนึ่งกับอีกตัวตนหนึ่ง
แต่เป็นการตระหนักรู้ในตนเอง
สำหรับพุทธปรัชญาแล้ว
ข้อเสนอของนิกายเซ็นจึงเป็นอีกข้อเสนอหนึ่งที่น่ารับฟังในเรื่องของ
“อนัตตา”
กล่าวคือ
สำหรับนิกายเซ็นตัวตนหนึ่งดำรงอยู่ภายในความสัมพันธ์กับตัวตนอื่น
กล่าวได้ว่าผู้อื่นดำรงอยู่ในตัวเรา
อันที่จริงแล้วความเป็นตัวเราซึ่งดำรงอยู่อย่างเป็นเอกเทศ
ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ขึ้นต่อสิ่งอื่นนั้นหามีไม่
ส่วนต่อไปจะเป็นการเสนอทัศนะเกี่ยวกับจริยศาสตร์ในปรัชญาเซ็นโดยอาศัยปริศนาธรรมต่อไปนี้
ไป่ฉางกับห่านป่า
ครั้งหนึ่งอาจารย์เซ็นหม่าจือ (Ma-tsu,?
– 788 A.D.) เดินไปกับศิษย์ชื่อไป่ฉาง (Pai-Chang,
720 – 814 A.D.)
ท่านสังเกตเห็นห่านป่าฝูงหนึ่งบินผ่านหน้าไป
ท่านจึงถามไป่ฉางว่า “ห่านป่าพวกนี้กำลังบินไปไหน?”
ไป่ฉางตอบว่า “พวกมันบินลับตาไปแล้ว”
อาจารย์หม่าจือได้ยินดังนั้นก็ตรงเข้าไปบิดจมูกลูกศิษย์อย่างแรง
เมื่อไป่ฉางร้องว่า “เจ็บครับเจ็บ
ท่านอาจารย์!”
ท่านก็ตะคอกด้วยเสียงอันดังว่า “ใครกันที่บอกว่าพวกมันบินลับตาไปแล้ว!”
(The
Blue Cliff Record,
Case 53)
กรณีนันชวนฆ่าแมว
นันชวนเห็นเหล่าศิษย์ทะเลาะกันแย่งลูกแมว
นันชวนจึงจับลูกแมวตัวนั้นขึ้นมาแล้วพูดขึ้นท่ามกลางเหล่าศิษย์ว่า
“ใครก็ตามที่สามารถอธิบายปรัชญาเซ็นได้ผู้นั้นจะได้แมว
แต่ถ้าไม่ เราจะฆ่าแมวนี้เสีย”
ไม่มีใครตอบได้ ดังนั้นนันชวนจึงตัดแมวออกเป็นสองท่อน
ต่อมาเมื่อโจชูกลับมา นันชวนก็ได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้น
โจชูได้ฟังดังนั้นก็ถอดรองเท้าออกแล้ววางบนศีรษะแล้วเดินจากไป
นันชวนเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าเจ้าอยู่
ณ ที่นั้น เจ้าคงช่วยแมวตัวนั้นไว้ได้” (Mumonkan,
Case 14)
ปริศนาธรรมทั้งสองข้างต้นทำให้เกิดคำถามว่าเซ็นมีท่าทีทางจริยธรรมอย่างไร
เพราะพฤติกรรมของอาจารย์หม่าจือที่ใช้ความรุนแรงบิดจมูกหรือของอาจารย์นันชวนที่ฆ่าแมว
ทำให้มองได้ว่าเซ็นไม่มีกฎเณฑ์ทางจริยธรรม
เพราะแนวคิดแบบเซ็นอยู่เหนือการแบ่งแยกเชิงทวิลักษณ์(ความดี-ความชั่ว)
กฎเกณฑ์ทางจริยธรรมใช้สำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรม
แต่อาจารย์เซ็นเป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว ดังนั้น
กฎเกณฑ์ทางจริยธรรมจึงไม่สามารถใช้กับอาจารย์เซ็นได้
นอกจากนี้อาจเป็นได้ว่าการยึดติดในการพิจารณาการกระทำใดเป็นการกระทำที่ถูกต้อง
การกระทำใดเป็นการกระทำที่ผิด
ในทางหนึ่งอาจเป็นอุปสรรคขัดขวางการบรรลุธรรมได้
หรืออาจกล่าวได้ว่า
การแสวงหากฎเกณฑ์ทางจริยธรรมอาจเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรม
แต่หากเราหันกลับไปมองคำสอนในปรัชญาเซ็นเกี่ยวกับการปฏิบัติ-การบรรลุธรรมเราจะพบว่าความสัมพันธ์ของการปฏิบัติ-บรรลุธรรมในแง่หนึ่งมีมิติแห่งจริยธรรมในปรัชญาเซ็นแฝงอยู่เพราะในห้วงของการปฏิบัติซาเซ็นนั้น
ผู้ปฎิบัติมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา
ซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติอยู่ภายในกรอบของความถูกต้องอยู่ตลอดเวลา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง
จริยศาสตร์สำหรับเซ็นผูกโยงกับจิตสำนึกของผู้ปฏิบัติธรรม
ซึ่งเป็นการแสดงออกโดยธรรมชาติอย่างเป็นไปเอง (spontaneous)
ดังปริศนาธรรมนี้
ศิษย์:
อะไรคือมรรค
นันชวน:
จิตที่ปกตินั่นเองคือมรรค (Mumonkan,
Case 19)
จากที่กล่าวมา การรู้
(knowing) ก็คือ การดำรงอยู่ (being)
เพราะความจริงทำให้ผู้ฝึกเซ็นรู้เกี่ยวกับความจริงว่าตัวเขาคือความจริงและกำลัง
“ทำความจริง”
ซึ่งเป็นอิสระจากสิ่งชั่วร้ายไปโดยปริยาย
และหากจะเปรียบวิธีคิดระหว่างเซ็นและพุทธปรัชญาแบบเถรวาทแล้ว
จะเห็นได้ว่าทัศนะทางจริยศาสตร์ของเถรวาทให้ความสำคัญเรื่องศีลหรือวินัยสำหรับเป็นฐานในการพัฒนาสมาธิและปัญญา(ศีล-สมาธิ-ปัญญา)
แต่ในนิกายเซ็นนั้น
ปัญญาช่วยทำให้ศีลไม่เป็นเพียงกรอบหรือข้อวัตรปฏิบัติเท่านั้น
แต่เป็นวัตรปฏิบัติที่เป็นไปเองภายในวิถีแห่งเซ็น(ปัญญา-สมาธิ-ศีล)
หรือก็คือจิตปกตินั่นเอง
ฉะนั้นหากจะกล่าวถึงจริยศาสตร์แบบเซ็นแล้วคงจะไม่ใช่จริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานที่เป็นเรื่องของ
“ควร” “ไม่ควร”
แต่จริยศาสตร์แบบเซ็นคือจริยศาสตร์แห่งการค้นหาใบหน้าดั้งเดิม
กล่าวคือ
เป็นการทำลายความแตกต่างระหว่างผู้รับรู้และสิ่งที่รับรู้
โดยอาศัยการรู้ตระหนักในตนเอง
พิจารณาในแง่นี้จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นกรณีของนันชวนฆ่าแมวหรือการตบตีบิดจมูกของอาจารย์นั้น
ก็คือการทำให้ผู้ฝึกเซ็นกลับไปสู่ภาวะดั้งเดิมก่อนการแยกแยะความแตกต่างระหว่างผู้รับรู้และสิ่งที่รับรู้นั่นเอง
มัสยา นิรัติศยภูติ (ผู้เรียบเรียง)
เอกสารอ้างอิง
· |
เซนไค ชิบายามะ. 2526.
ดอกไม้ไม่จำนรรจ์. แปลโดย พจนา จันทรสันติ.
กรุงเทพฯ:
มูลนิธิโกมลคีมทอง. |
· |
ติช นัท ฮันห์. 2532.
กุญแจเซน.
แปลโดย พจนา จันทรสันติ.
กรุงเทพฯ:
มูลนิธิโกมลคีมทอง. |
· |
ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์.
2530. ประทีปแห่งเซน.
พิมพ์ครั้งที่ 3.
กรุงเทพฯ: สุขภาพใจ. |
· |
สุวรรณา สถาอานันท์.
2534. ภูมิปัญญาวิชาเซ็น
บทวิเคราะห์คำสอนปรมาจารย์โดเก็น.
กรุงเทพฯ: ศยาม. |
· |
Cheng, Chung-ying. 1973. On Zen (Ch’an) Language
and Zen Paradoxes. Journal of Chinese
Philosophy
1: 77-102. |
· |
Kasulis, T. P. 1981. Zen Person Zen Action.
Honolulu: The University Press of Hawaii. |
· |
Sasaki, Ruth Fuller. 1965. The Zen Koan:
Its History and Use in Rinzai Zen. New
York: Harcourt, Brace & World. |
เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม
· |
Abe, Masao. 1985. Dōgen on Buddha Nature. In
Zen and Western Thought. Hong Kong: The
Macmillan Press.
(เปรียบเทียบแนวคิดของพุทธปรัชญาโดเก็นกับปรัชญาตะวันตก) |
· |
Hee-Jin, Kim. 1985. The Reason
of Words and Letters: Dōgen and
Kōan Language. In William R.
Lafleur (ed.).
Dōgen Studies. Honolulu: University of
Hawaii Press.
(อธิบายกลวิธีการใช้ภาษาของโดเก็น) |
· |
Heine, Steven and Dale S. Wright. 2000.
The Kōan texts and contexts in Zen Buddhism.
New York: Oxford University Press.
(ประวัติและบริบทของโคอันในพุทธปรัชญาเซ็น) |
· |
Kasulis, T. P. 1985. The Incomparable
Philosopher: Dōgen on how to Read the
Shōbōgenzō. In William R. Lafleur (ed.).
Dōgen Studies. Honolulu: University of
Hawaii Press.
(ข้อเสนอในการอ่านงานโชโบเก็นโซของโดเก็น) |
· |
Kraft, Kenneth. 1988. Zen Tradition and
Transition. New York: Grove Press.
(ประวัติพุทธปรัชญานิกายเซ็น) |
· |
Suzuki, D. T. 1972. An Introduction to Zen
Buddhism. London: Anchor Press.
(ประวัติพุทธปรัชญาเซ็น) |
· |
Waddell, Norman and Abe Masao (trans.). 1972.
Shōbōgenzō Genjō kōan. In The Eastern
Buddhist. (NS III No. 2).
(งานแปล โชโบเก็นโซ เก็จโจ โคอัน จากภาษาญี่ปุ่น) |
คำที่เกี่ยวข้อง
ตรัสรู้ / โพธิญาณ
Enlightenment
/ Awakening
|