1. บทนำ
อัตนิยม (egoism)
และปรัตถนิยม (altruism-บ้างก็แปลว่า
"อัญญนิยม") เป็นทฤษฎีทางจริยศาสตร์ที่สำคัญ
โดยถือเป็นปรปักษ์กัน คนมักคิดถึงทฤษฎีแรกด้วยคำว่า
"เห็นแก่ตัว" และมักคิดถึงทฤษฎีหลังด้วยคำว่า "น้ำใจ"
อย่างไรก็ตาม
มักมีความสับสนเนื่องจากทฤษฎีในชื่อทั้งสองปรากฏทั้งในจริยศาสตร์เชิงพรรณนา
(descriptive ethics)
และจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน (normative ethics)
-
ถ้าอยู่ในสาขาแรกจะเรียกด้วยคำเต็มว่า
"อัตนิยมเชิงพรรณนา" (descriptive egoism)/
"ปรัตถนิยมเชิงพรรณนา" (descriptive
altruism) หรือไม่ก็เรียกว่า
"อัตนิยมเชิงจิตวิทยา" (psychological egoism)/
"ปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยา" (psychological
altruism)
ทฤษฎีอัตนิยม/ปรัตถนิยมในสาขานี้บรรยายลักษณะการตั้งเป้าหมายหรือแรงจูงใจในการกระทำของมนุษย์
-
ถ้าอยู่ในสาขาหลังจะเรียกด้วยคำเต็มว่า"อัตนิยมเชิงบรรทัดฐาน"
(normative
egoism)/ "ปรัตถนิยมเชิงบรรทัดฐาน" (normative
altruism) หรือไม่ก็เรียก
"อัตนิยมเชิงจริยศาสตร์" (ethical egoism)/ "ปรัตถนิยมเชิงจริยศาสตร์"
(ethical egoism)
ทฤษฎีอัตนิยม/ปรัตถนิยมในสาขานี้เป็นเรื่องของการตัดสินความถูกผิดทางจริยธรรมของการกระทำ
2. มุมมองเชิงบรรทัดฐาน
ทฤษฎีอัตนิยมและปรัตถนิยมจัดอยู่ในกลุ่มอันตวิทยา (teleology)
อันเป็นกลุ่มของทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานที่ตัดสินความถูกผิดของการกระทำบนพื้นฐานของผลที่เกิดตามมาจากการกระทำ
ถ้าผลที่เกิดตามมาเป็นผลดี
ก็จะตัดสินว่าการกระทำนั้นถูกต้อง
แต่หากที่เกิดตามมานั้นเป็นผลเสีย
ก็จะตัดสินว่าการกระทำนั้นผิด
ด้วยเหตุนี้อันตวิทยาจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า "consequentialism"
ทั้งนี้
เกณฑ์ตัดสินว่าผลใดเป็นผลดีหรือเสียนั้น
ก็ขึ้นอยู่กับทฤษฎีคุณค่าที่ยึดถือ (เช่น สุขนิยม เป็นต้น)
ความแตกต่างของอัตนิยมและปรัตถนิยมอยู่ที่ขอบเขตของผลที่ใช้พิจารณา
สำหรับอัตนิยม
ผลที่เกี่ยวข้องคือผลที่เกิดแก่ตัวผู้กระทำเท่านั้น
แต่สำหรับปรัตถนิยม
ผลที่เกี่ยวข้องก็คือผลที่เกิดแก่ทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำ
โดยยกเว้นไม่พิจารณาผลที่เกิดแก่ตัวผู้กระทำ
ทั้งนี้มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่อยู่กึ่งกลาง ได้แก่
ประโยชน์นิยม
ซึ่งพิจารณาผลที่เกิดแก่ตัวผู้กระทำเองและคนอื่นๆ
ทุกคนที่เกี่ยวข้อง
การนิยาม
ผลดี/ผลเสีย
นี้เป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้เกิดทฤษฎีอัตนิยมและปรัตถนิยมที่แตกต่างกัน
นั่นคือ ผันแปรไปตามทฤษฎีคุณค่าที่ยึดถือ อย่างไรก็ตาม
ความแตกต่างอาจขึ้นกับอีกองค์ประกอบหนึ่งซึ่งส่งผลลึกไปกว่าระดับทฤษฎีคุณค่า
ส่วนนี้จะเข้าใจได้เมื่อแทนคำว่า ผลดี/ผลเสีย
ด้วยอีกคำที่นิยมใช้กันว่า
"ประโยชน์/ผลประโยชน์" ("interest") [หรือ
"สวัสดิภาพ" (welfare) หรือ
"ความเป็นอยู่ดี" (well-being)]
มีอยู่ ๒ ทฤษฎีหลักที่ให้คำอธิบายแก่คำนี้
ทฤษฎีแรกเห็นว่าผลประโยชน์ก็คือการตอบสนองความชอบ (preference)
หรือความปรารถนา (desire)
ประโยชน์ส่วนตน (self-interest )
เป็นเรื่องของความปรารถนาในส่วนที่คำนึงถึงตัวเราเอง (self-regarding)
ประโยชน์ของผู้อื่นก็คือความปรารถนาในส่วนที่คำนึงถึงตัวผู้อื่น
(other-regarding)
ทั้งนี้มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการแยกแยะที่ชัดเจนระหว่างความปรารถนาทั้งสองประเภทดังกล่าว
เนื่องจากมีหลายๆ
กรณีที่ดูเหมือนว่าตัวเรากับผู้อื่นนั้นแยกกันไม่ออก
อย่างไรก็ตาม เรายังสามารถที่จะหาตัวอย่างที่ชัดเจนได้
ยกตัวอย่างเช่น
ความปรารถนาที่จะให้ตนเองมีความสุขก็คือความปรารถนาที่คำนึงถึงตัวเราเอง
จะเห็นได้ว่าความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นมีความสุข
(ไม่ว่าตัวเราเองจะประสบสุขทุกข์เช่นไร)
นั้นไม่นับเป็นอยู่ในประเภทดังกล่าว
อีกทฤษฎีหนึ่งมีมุมมองเชิงภววิสัย (objective)
โดยเห็นว่าประโยชน์คือการครอบครองภาวะบางอย่างที่มีคุณค่าไม่ว่าเจ้าตัวจะปรารถนาหรือไม่ก็ตาม
เช่น คุณธรรมหรือความรู้ ตามนัยนี้
ทฤษฎีสุขนิยมที่เห็นว่าประโยชน์ส่วนตนคือความพึงพอใจ (pleasure)
อาจจัดอยู่ในทฤษฎีประเภทแรกหรือหลังก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะจัดความพึงพอใจให้เป็นสิ่งที่ขึ้นกับความปรารถนาหรือไม่
เป็นต้น
อีกตัวแปรหนึ่งที่ทำให้เกิดทฤษฎีอัตนิยมและปรัตถนิยมที่แตกต่างกันก็คือเงื่อนไขว่าการกระทำที่ถูกต้องจะเป็นเพียงการกระทำที่นำสู่ผลที่ดีหรือจะต้องเป็นการกระทำที่เพิ่มพูนให้ได้ผลที่ดีมากที่สุด
(maximize)
ยกตัวอย่างกรณีของทฤษฎีอัตนิยม เช่น
ถ้าการขายข้าวขาหมูนำมาซึ่งผลดีแก่ตนเองมากกว่าการเป็นพนักงานบริษัท
เราก็ควรขายข้าวขาหมู
แต่ถ้าข้าวขาหมูของเราอร่อยมากกระทั่งสามารถพัฒนาเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ได้
ก็จะมีคำถามว่าเราควรดำเนินธุรกิจนี้หรือไม่
ถ้าทฤษฎีไม่มีเงื่อนไขว่าจะต้องเพิ่มพูนให้ได้ผลดีมากที่สุด
เพียงแค่เลือกขายข้าวขาหมู
ไม่เลือกเป็นพนักงานบริษัทก็ถือเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว
แต่ถ้ามีเงื่อนไขดังกล่าว
การเลือกขายข้าวขาหมูไม่ถือว่าเพียงพอที่จะทำให้เป็นการกระทำที่ถูกต้อง
แต่จะต้องดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ด้วย
นอกจากนี้ยังมีตัวแปรเรื่องระดับการพิจารณาของทฤษฎีด้วย
เช่น จะพิจารณาเฉพาะในระดับการกระทำ
หรือจะพิจารณาในระดับคุณลักษณะของบุคคล (character)
หรือจะพิจารณาในระดับกฎ
[เงื่อนไขนี้ปรากฏชัดในกรณีของประโยชน์นิยมซึ่งมีทั้ง
ประโยชน์นิยมเชิงการกระทำ
(act utilitarianism) และ ประโยชน์นิยมเชิงกฎ
(rule utilitariansm)]
แต่ทั้งนี้โดยปกติการพิจารณาจะอยู่ในระดับการกระทำ
ในส่วนของอัตนิยม ยังมีความผันแปรอีกประการหนึ่ง นั่นคือ
มี
อัตนิยมส่วนบุคคล (personal
egoism) อัตนิยมเชิงปัจเจกบุคคล
(individual egoism) และ อัตนิยมสากล
(universal egoism)
อัตนิยมส่วนบุคคลเห็นว่าการกระทำที่ถูกต้องของฉันก็คือการกระทำเพื่อประโยชน์ของตัวฉันเอง
ส่วนผู้อื่นจะทำอย่างไรก็แล้วแต่เขา
อัตนิยมเชิงปัจเจกบุคคลเห็นว่าการกระทำที่ถูกต้องของฉันและคนอื่นๆ
ก็คือการกระทำเพื่อประโยชน์ของตัวฉันเองคนเดียวเท่านั้น
และอัตนิยมสากลเห็นว่าการกระทำที่ถูกต้องของใครก็ตามก็คือการกระทำเพื่อประโยชน์ของตัวผู้กระทำคนนั้นๆ
เอง
มักมีข้อสงสัยว่าสองทฤษฎีแรกนับเป็นเรื่องจริยธรรมได้หรือไม่เนื่องจากขาดลักษณะความเป็นสากล
ดังจะเห็นได้ชัดว่าใช้ประโยชน์ส่วนตนเป็นศูนย์กลาง
ไม่สนใจคนอื่น
หรือแม้กระทั่งเรียกร้องให้คนอื่นทุกคนต้องมาตอบสนองประโยชน์ของตนเอง
ทั้งนี้ ในที่นี้จะพิจารณาอัตนิยมสากลเป็นหลัก
2.1
อัตนิยมเชิงจริยศาสตร์
ความแตกต่างระหว่างอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์กับทฤษฎีจริยศาสตร์อื่นๆ
ก็คือเรื่องของประโยชน์ส่วนตน ทฤษฎีจริยศาสตร์มาตรฐานอื่นๆ
เช่น ทฤษฎีของค้านต์ ประโยชน์นิยม
หรือแม้กระทั่งจริยธรรมในชีวิตประจำวัน
ต่างก็ลดบทบาทของประโยชน์ส่วนตนและให้ความสำคัญแก่การคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่น
ซึ่งในบางครั้งก็มากจนกระทั่งบุคคลต้องสละประโยชน์ส่วนตนไปเสีย
แต่สำหรับอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์แล้วประโยชน์ส่วนตนต้องมาก่อนเสมอ
อย่างไรก็ตาม
นักอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ชี้แจงว่าแม้จะมีความแตกต่างดังกล่าว
แต่หน้าที่ทางจริยธรรมที่กำหนดบนพื้นฐานทฤษฎีนี้ส่วนใหญ่ก็ไม่แตกต่างไปจากที่กำหนดบนพื้นฐานทฤษฎีอื่นๆ
ทั้งนี้เนื่องจากว่ามนุษย์จะต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้อื่นในการแสวงหาสิ่งที่ดี
เช่น ความปลอดภัย มิตรภาพ ดังนั้น
ถ้าเราปฏิบัติตนโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่น
คนเหล่านั้นก็จะไม่ร่วมมือกับเรา เช่น
ถ้าเราผิดสัญญาเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ ต่อไปบุคคลอื่นๆ
ก็จะไม่ทำสัญญากับเรา อีกทั้งยังอาจหาโอกาสแก้แค้นอีกด้วย
ดังนั้น เพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง
เราจึงต้องคำนึงถึงผู้อื่นบ้าง
อย่างไรก็ตาม
เหตุผลนี้ไม่ได้รับรองว่าหน้าที่ทางจริยธรรมที่กำหนดบนพื้นฐานทฤษฎีอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์จะเหมือนกับหน้าที่ทางจริยธรรมพื้นฐานที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
เนื่องจากตามเหตุผลนี้เราจะคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นก็ต่อเมื่อเขาสามารถทำประโยชน์หรือก่อโทษแก่เราได้
ดังนั้น
จึงหมายความว่าเราไม่ต้องคำนึงถึงผู้อื่นถ้าเขาขาดแคลนความสามารถดังกล่าว
ประเด็นก็คือหน้าที่ทางจริยธรรมมีลักษณะสำคัญอยู่ที่ความคงเส้นคงวา
ไม่ผันแปรไปตามเงื่อนไข เช่น
ถ้าเรามีหน้าที่ต้องรักษาสัญญา
เราก็ต้องรักษาสัญญาในทุกเงื่อนไข
ถ้าเรารักษาสัญญาเฉพาะกรณีที่ผู้อื่นสามารถให้ประโยชน์หรือก่อโทษแก่เราได้
การสัญญานั้นก็ไม่มีความหมาย
หรืออีกนัยหนึ่งประเด็นของหน้าที่ทางจริยธรรมในการรักษาสัญญาก็คือการทำตามที่สัญญาไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
อัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ยังมีข้อแตกต่างจากทฤษฎีจริยศาสตร์อื่นๆ
อีกสองสามประการ ประการแรก
นักอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์จะจัดอันดับหน้าที่โดยพิจารณาจากประโยชน์ที่หน้าที่ต่างๆ
จะนำมาให้
ถ้าการกระทำตามหน้าที่ใดนำมาซึ่งประโยชน์ส่วนตนสูงสุด
การกระทำนั้นก็มีความสำคัญอันดับหนึ่ง
ต่างจากทฤษฎีจริยศาสตร์อื่นๆ
ที่มุ่งพิจารณาประโยชน์สูงสุดที่ผู้อื่นจะได้รับ
เนื่องจากสิ่งที่นำมาซึ่งประโยชน์ส่วนตนสูงสุดไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดแก่ผู้อื่น
ยกตัวอย่างเช่น
เราอาจได้รับประโยชน์ส่วนตนจากการให้ความช่วยเหลือแก่เศรษฐี
มากกว่าที่จะได้จากการให้ความช่วยเหลือแก่เด็กกำพร้า
ในกรณีนี้
นักอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์จะแนะนำให้ช่วยเหลือเศรษฐี
ในขณะที่ทฤษฎีจริยศาตร์มาตรฐานอื่นๆ
จะแนะนำให้ช่วยเหลือเด็กกำพร้า
ประการที่สอง
การอ้างความจำเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากผู้อื่นนั้น
ไม่สามารถเป็นเหตุผลให้แก่การเสียสละบางอย่างที่ทฤษฎีจริยศาสตร์มาตรฐานยกย่อง
เช่น
กรณีของทหารที่กระโดดทับลูกระเบิดเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนๆ
ทั้งนี้เพราะว่าการอ้างความจำเป็นดังกล่าวมีสมมุติฐานว่าการเสียประโยชน์ระยะสั้นจะนำมาซึ่งประโยชน์ระยะยาว
เช่น เสียประโยชน์ส่วนตนจากการรักษาสัญญาครั้งนี้
เพื่อให้ได้มาซึ่งความน่าเชื่อถืออันจะเป็นประโยชน์ต่อไปในวันหน้า
แต่กรณีที่สิ่งที่ต้องเสียไปนั้นมากเกินกว่าผลตอบแทนที่จะได้ในอนาคต
เช่น กรณีของทหารที่กระโดดทับลูกระเบิด
สิ่งที่เสียไปคือชีวิต
อันเป็นเหตุให้ไม่สามารถรับประโยชน์ใดๆ ในอนาคตได้อีกต่อไป
การอ้างความจำเป็นดังกล่าวจึงไม่สามารถให้เหตุผลสนับสนุนการกระทำทางจริยธรรมบางอย่างที่ทฤษฎีมาตรฐานอื่นๆ
ยกย่องได้
นักอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์อาจตอบข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความแตกต่างนี้ได้บางส่วนว่าพวกเขาสามารถให้เหตุผลสนับสนุนการกระทำที่น่ายกย่องดังกล่าวได้
แต่ไม่ใช่ด้วยการละทิ้งทฤษฎีของตนไปยึดถือทฤษฎีมาตรฐานอื่นๆ
แทน หากแต่กระทำด้วยการยึดถือทฤษฎีอื่นๆ
เหล่านี้โดยอาศัยทฤษฎีอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์เป็นกรอบ
กล่าวคือ
นักอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์จะยอมทำตามหน้าที่ทางจริยธรรมต่างๆ
ที่กำหนดโดยทฤษฎีมาตรฐานอื่นๆ เหล่านี้
โดยให้เหตุผลว่าการกระทำดังกล่าวจะนำมาซึ่งประโยชน์ส่วนตน
เช่น เรามีหน้าที่ทางจริยธรรมที่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่น
และเราก็ช่วยผู้อื่นอย่างจริงใจ
ด้วยเหตุผลที่ว่าสิ่งนี้จะนำมาซึ่งประโยชน์ในระยะยาว
แต่ปัญหาก็คือการทำหน้าที่ทางจริยธรรมเหล่านี้อาจนำสู่การเสียสละที่ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ส่วนตนที่คุ้มค่าเช่นกรณีของทหารที่กระโดดทับลูกระเบิด
อย่างไรก็ตาม
นักอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์อาจอาศัยวิธีทำตามหน้าที่ทางจริยธรรมเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่
แต่หยุดเมื่อเกิดกรณีที่ขัดกับหลักอัตนิยมอย่างรุนแรงเช่นนี้
หากยึดตามนี้
หน้าที่ซึ่งกำหนดบนฐานของทฤษฎีอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ก็จะมีส่วนซ้อนทับกับที่กำหนดโดยทฤษฎีมาตรฐานอื่นๆ
อยู่มาก เว้นในบางกรณีเท่านั้น
อีกวิธีหนึ่งที่ใช้แสดงว่าอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์มิได้แปลกแยกไปจากทฤษฎีมาตรฐานอื่นๆ
มากนักก็ด้วยอาศัยทฤษฎีเชิงภววิสัยเกี่ยวกับประโยชน์ส่วนตน
ซึ่งกำหนดว่าประโยชน์ส่วนตนขึ้นอยู่กับการครอบครองคุณธรรมต่างๆ
ที่ทฤษฎีจริยศาสตร์มาตรฐานต่างๆ ยึดถือ
ข้อสำคัญก็คือจำเป็นต้องแสดงให้ได้ว่าทฤษฎีเชิงภววิสัยเช่นนี้ให้คำอธิบายที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับประโยชน์ส่วนตน
ซึ่งนับเป็นปัญหาหนักเนื่องจากโดยทั่วไปทฤษฎีเชิงภววิสัยไม่ค่อยเหมาะสมนักสำหรับอธิบายประโยชน์ส่วนตน
(ซึ่งอาจกล่าวถึงได้ด้วยคำว่า "สวัสดิภาพ" และ
"ความเป็นอยู่ที่ดี")
เนื่องจากสิ่งหลังมีองค์ประกอบเชิงอัตวิสัยอยู่มาก
ยกตัวอย่างเช่น
แม้การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นหน้าที่ทางจริยธรรมและการทำหน้าที่นี้ช่วยให้โลกน่าอยู่ขึ้น
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเราในฐานะผู้ให้ความช่วยเหลือจะได้ประโยชน์ส่วนตน
หรือรู้สึกมีความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้นไปด้วย
มีนักอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์หลายคนที่ไม่ใส่ใจว่าหน้าที่ซึ่งกำหนดบนฐานของทฤษฎีนี้จะแปลกแยกไปจากหน้าที่ซึ่งกำหนดบนฐานของทฤษฎีมาตรฐานอื่นๆ
คนเหล่านี้เชื่อว่าอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์นั้นเหนือกว่า
"ฉลาดกว่า"
ในกรณีนี้เราก็ควรที่จะพิจารณาการอ้างเหตุผลของพวกเขา
การอ้างเหตุผลชุดแรกที่รู้จักกันดีก็คือการแสดงว่าอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์สอดคล้องกับหลักฐานต่างๆ
ที่มี
อันเป็นวิธีที่นิยมใช้กันเวลาต้องการแสดงความน่าเชื่อถือของทฤษฎีวิทยาศาสตร์
ในกรณีของจริยศาสตร์ หลักฐานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องก็คือการตัดสินเชิงจริยธรรมในชีวิตประจำวันที่พวกเราเชื่อมั่นที่สุด
อัตนิยมเชิงจริยศาสตร์มีความสอดคล้องกับการตัดสินเหล่านี้
เช่น "เราควรร่วมมือกับผู้อื่น" ไม่เพียงเท่านั้น
อัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ยังมีความสอดคล้องที่ดีกว่าประโยชน์นิยมเสียอีก
ยกตัวอย่าง เช่น
อัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ไปด้วยกันได้ดีกับการตัดสินเชิงจริยธรรมที่ว่า
"เราไม่ควรให้ผู้อื่นมาเอาเปรียบ"
ขณะที่ประโยชน์นิยมไม่สามารถทำได้
เนื่องจากทฤษฎีนี้จะเสนอแนะให้เรายอมให้ผู้อื่นเอาเปรียบในกรณีที่สิ่งนี้ทำให้คนส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องได้ประโยชน์สูงสุด
อย่างไรก็ตาม
ดังที่พบข้างต้นแล้วว่ามีการตัดสินเชิงจริยธรรมบางอย่างเช่นกันที่แม้จะเป็นที่ยอมรับทั่วไป
แต่ก็ไม่อาจเข้ากันได้กับอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ เช่น
การกระโดดทับลูกระเบิดของทหาร
การอ้างเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่รู้จักกันดีก็คือการอ้างถึงธรรมชาติมนุษย์
นั่นคือ อ้างถึงอัตนิยมเชิงจิตวิทยา
ถ้ามนุษย์มีแต่แรงจูงใจที่จะทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น
พวกเขาก็จะไม่สามารถทำเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นได้
ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถเสนอแนะมนุษย์ว่าพวกเขา "ควร"
ทำสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้
ปัญหาสำคัญของการอ้างเหตุผลนี้เห็นได้ชัดเจน นั่นคือ
ตัวทฤษฎีอัตนิยมเชิงจิตวิทยาเองก็ยังมีปัญหาอยู่
นักอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์อาจจะแก้ปัญหานี้โดยเปลี่ยนไปใช้
"อัตนิยมตัวยืน" (predominant egoism)
ซึ่งดูน่าเชื่อถือกว่าเนื่องจากยอมรับว่าบางครั้งคนสามารถทำเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นได้
(ดูรายละเอียดในหัวข้ออัตนิยมเชิงจิตวิทยา)
แต่หากทำเช่นนั้น
การอ้างเหตุผลเรื่องความเป็นไปไม่ได้นี้ก็จะใช้ไม่ได้
ทั้งนี้ มีอยู่ประการหนึ่งที่ไม่ควรลืม นั่นคือ
การอ้างถึงทฤษฎีทางจิตวิทยานี้มิได้ช่วยให้อัตนิยมเชิงจริยศาสตร์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นในฐานะทฤษฎีที่เสนอเกณฑ์เชิงบรรทัดฐาน
เนื่องจากว่าแม้ทฤษฎีจิตวิทยาจะแสดงว่าอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์แนะนำหน้าที่ทางจริยธรรมที่เข้ากันได้ดีกับธรรมชาติมนุษย์
แต่ประเด็นของทฤษฎีเชิงจริยศาสตร์ก็คือการเสนอเกณฑ์สำหรับประเมินหรือตัดสินการกระทำว่าสมควรหรือไม่
มิใช่การยืนยันว่าทุกสิ่งที่กระทำสอดคล้องกับธรรมชาติมนุษย์
ไม่ว่าเรากระทำถูกหรือผิด
การกระทำนั้นก็ไม่ถือว่าขัดกับอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์
เนื่องจากกล่าวได้เสมอว่าการกระทำนั้นมีแรงจูงใจเพื่อประโยชน์ส่วนตน
ข้อโต้แย้งอีกประการหนึ่งที่ยกขึ้นเพื่อวิจารณ์การอ้างเหตุผลข้อนี้ก็คือไม่จำเป็นว่าสิ่งที่มนุษย์ควรทำจะต้องเป็นสิ่งที่พวกเขาทำได้
ดังจะเห็นได้ว่าในหลายกรณีเราตัดสินว่าบุคคลกระทำสิ่งที่ไม่สมควรแม้เราจะตระหนักดีว่าเขาไม่มีทางเลือกหรือขาดความรู้
บางทีอาจเป็นเพราะว่าในการตัดสินเชิงจริยธรรมนั้น
เรามีมนุษย์ในอุดมคติเป็นกรอบการอ้างอิง เช่น
มนุษย์ที่มีข้อมูลความรู้ครบถ้วน มีเหตุผลเหนืออารมณ์
มีความกล้าหาญทางจริยธรรม ดังนั้น
ทฤษฎีจริยศาสตร์ควรบอกว่ามนุษย์ควรมีอะไรเป็นแรงจูงใจถ้าเขามีคุณสมบัติอุดมคติบางอย่าง
ไม่ใช่บอกเพียงว่าอะไรบ้างที่เป็นแรงจูงใจได้
อาจมีข้อโต้แย้งต่อคำวิจารณ์นี้ว่าไม่ตรงประเด็น
เพราะนักอัตนิยมอาจจะกำลังกล่าวถึง "ความไม่สามารถ"
ในประเภทเดียวกับ "มนุษย์ไม่สามารถหายใจในน้ำ"
หากมนุษย์ไม่สามารถมีแรงจูงใจเพื่อผู้อื่นได้ในความหมายนี้
การเรียกร้องแก่เขาว่าควรกระทำเพื่อผู้อื่น
ก็ไม่ต่างไปจากการเรียกร้องว่าเขาควรหายใจในน้ำ
ผู้ที่เห็นค้านอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์อาจจะยกข้อโต้แย้งอื่นมาโดยชี้ว่าการยืนยันว่ามนุษย์สามารถทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้เท่านั้นประสบปัญหาบางอย่าง
ถ้าเราไม่เชื่อว่าการกระทำ
x เป็นประโยชน์ส่วนตน
ก็หมายความตามข้อยืนยันนี้ว่าเราจะไม่สามารถกระทำ x
ได้ แต่ถ้าเราเข้าใจผิดว่าการกระทำ
x
ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตนแต่ในความเป็นจริงแล้ว x
เป็นประโยชน์ส่วนตน
ก็หมายความตามข้อยืนยันนี้ว่าเราจะสามารถกระทำ x
ได้ จึงมีคำถามว่าในกรณีนี้เรากระทำ
x ได้หรือไม่
ส่วนการอ้างเหตุผลสำคัญๆ
ที่ยกมาวิจารณ์อัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ก็มีอยู่สองประการเช่นกัน
การอ้างเหตุผลประการแรกก็คืออัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ให้การตัดสินทางจริยธรรมที่ขัดแย้งกัน
เช่น ถ้าการเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นผลประโยชน์ส่วนตนของเรา
และในขณะเดียวกันก็เป็นผลประโยชน์ส่วนตนของคู่แข่งของเรา
ก็จะหมายความตามอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ว่าเราควรตัดสินว่าคู่แข่งของเราควรได้ตำแหน่งนั้น
(เพราะเป็นผลประโยชน์ของเขา)
แต่ในขณะเดียวกันเราก็ควรตัดสินว่าคู่แข่งของเราไม่ควรได้ตำแหน่งนั้น
(เพราะเป็นผลประโยชน์ของเรา) ต่อข้อวิจารณ์นี้
นักอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์อาจตอบว่าการประยุกต์ใช้หลักเกณฑ์ของทฤษฎีเพื่อตัดสินนั้นมีลักษณะเป็นกลาง
ไม่ได้อาศัยมุมมองเฉพาะ ดังนั้น
ในกรณีนี้นักอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์จะตัดสินว่าเราควรได้ตำแหน่งนายกฯ
และคู่แข่งของเราควรได้ตำแหน่งนายก
แต่จะไม่ให้คำตัดสินจากมุมมองเฉพาะของเราหรือของคู่แข่งของเราอันจะทำให้เกิดการตัดสินที่ขัดแย้งกัน
นอกจากนี้นักอัตนิยมอาจจะตอบได้อีกว่าความขัดแย้งเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ว่าทฤษฎีจริยศาสตร์ใดก็เผชิญ
หรือไม่นักอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ก็อาจแก้ข้อวิจารณ์ว่าเราสามารถกล่าวบนพื้นฐานของทฤษฎีได้ว่าคู่แข่งของเราควรได้ตำแหน่งนายกฯ
แม้ว่าเราไม่ปรารถนาให้เขาทำเช่นนั้น
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เหมือนกับยามที่เราชมการแข่งขันฟุตบอลและกล่าวว่าทีมที่เราไม่ได้เชียร์น่าจะทำเช่นนั้นเช่นนี้จึงจะทำประตูได้
โดยที่ใจจริงแล้วไม่ปรารถนาให้ทีมนั้นทำอย่างที่เรากล่าวและถ้าแม้เรามีโอกาสแนะนำเขาได้จริง
เราก็จะไม่ทำ อย่างไรก็ตาม
การที่ผู้ที่ยึดถืออัตนิยมเชิงจริยศาสตร์จะไม่แนะนำให้ผู้อื่นทำเพื่อประโยชน์ของเขาเองนั้นกลับเป็นจุดอ่อนอีกประการที่คนยกมาโต้แย้ง
นั่นคือ ทฤษฎีจริยศาสตร์ควรมีความเป็นสาธารณะ
แนะนำให้คนต่างๆ นำไปใช้ แต่ทฤษฎีอัตนิยมขาดลักษณะนี้
เนื่องจากหากเราแนะนำให้คนต่างๆ นำทฤษฎีนี้ไปใช้
ตัวเราเองก็จะหมดโอกาสเอาเปรียบผู้อื่น
การแนะนำให้พวกเขายึดถือทฤษฎีจริยศาสตร์มาตรฐานอื่นๆ
จะดีต่อประโยชน์ส่วนตนของเรามากกว่า
สืบเนื่องกับข้างต้น
การอ้างเหตุผลประการที่สองก็มีข้อสรุปว่าอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ไม่มีฐานะเป็นทฤษฎีจริยศาสตร์เนื่องจากขาดเงื่อนไขที่จำเป็นบางอย่าง
ได้แก่ ความเป็นสาธารณะ (หรือความเป็นสากล) ความเป็นกลาง
(หรือความเป็นธรรม)
อัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ขาดองค์ประกอบข้อหลังนี้เนื่องจากเรียกร้องให้บุคคลถือประโยชน์ของตนเหนือประโยชน์ของผู้อื่น
ซึ่งนับเป็นการมีอคติ
วิธีหนึ่งที่นักอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ใช้เพื่อเลี่ยงข้อวิจารณ์นี้คือการเปลี่ยนจาก
"อัตนิยมเชิงจริยศาสตร์" เป็น
"อัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผล" (rational egoism)
กล่าวคือ
แทนที่จะยืนยันว่าการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นสิ่งถูกต้องทางจริยธรรม
อัตนิยมแบบนี้จะยืนยันว่าการทำเช่นนั้นแสดงถึงความเป็นเหตุเป็นผล
แต่ทั้งนี้อัตนิยมแบบใหม่นี้ก็สัมพันธ์กับความเป็นทฤษฎีจริยศาสตร์อยู่ในที
เนื่องจากเราคาดหวังว่าทฤษฎีจริยศาสตร์น่าจะเสนอแนะแก่เราว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลที่เราควรจะทำ
อัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผล
อัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลเห็นว่าการกระทำที่เป็นเหตุเป็นผลคือการกระทำที่เป็นประโยชน์ส่วนตน
ทั้งนี้ความเป็นเหตุเป็นผลที่ใช้อยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีความเป็นเหตุเป็นผลที่เป็นที่เชื่อถือ
คือ ทฤษฎีความเป็นเหตุเป็นผลแบบเครื่องมือ (instrumental theory of
rationality)
ซึ่งเห็นว่าการกระทำที่เป็นเหตุเป็นผลคือการกระทำที่ตอบสนองความชอบ
(preference)
ปัญหาประการแรกของอัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลก็คือหากเข้าใจความเป็นเหตุเป็นผลตามทฤษฎีแบบเครื่องมือ
ความน่าเชื่อถือของอัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลจะขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของอัตนิยมเชิงจิตวิทยา
เพราะว่าหากทฤษฎีอย่างหลังผิด
ก็จะหมายความว่ามีความชอบประเภทที่ไม่เกี่ยวกับประโยชน์ส่วนตน
ซึ่งเมื่อบุคคลกระทำเพื่อตอบสนองความชอบเหล่านี้แล้ว
ก็จะนับว่ามีความเป็นเหตุเป็นผล
ข้อนี้แสดงว่ามีการกระทำที่เป็นเหตุเป็นผลที่ไม่ใช่การกระทำที่เป็นประโยชน์ส่วนตน
อันเป็นตัวอย่างแย้งอัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผล
นักอัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลตอบข้อโต้แย้งนี้ว่าอันที่จริงทฤษฎีความเป็นเหตุเป็นผลแบบเครื่องมือเป็นปัญหากับทุกทฤษฎีจริยศาสตร์ที่อ้างว่าการกระทำทางจริยธรรมต้องมีความเป็นเหตุเป็นผลด้วย
เช่น
นักประโยชน์นิยมอาจกล่าวว่าการบริจาคเพื่อช่วยเหยื่อสึนามินับเป็นการกระทำที่เป็นเหตุเป็นผล
แต่ด้วยเหตุที่ความชอบขึ้นกับบุคคล
จึงเป็นไปได้ว่ามีบุคคลที่ไม่ชอบบริจาค ดังนั้น
การบริจาคแก่เหยื่อสึนามิจึงเป็นการกระทำทางจริยธรรมตามทฤษฎีประโยชน์นิยม
แต่สำหรับบุคคลที่ไม่ชอบการบริจาคแล้ว
การกระทำเดียวกันนี้ก็ไม่นับว่าเป็นเหตุเป็นผล
ปัญหาอีกประการหนึ่งที่อัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลเผชิญก็คือดูเหมือนว่าทฤษฎีนี้ให้ข้อเสนอลอยๆ
ว่าควรทำการกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ส่วนตน
นักอัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลตอบข้อโต้แย้งนี้ว่าข้อเสนอของทฤษฎีไม่ได้อยู่ลอยๆ
แต่ให้เหตุผลประกอบโดยอ้างถึงความชอบว่าทุกคนย่อมมีความชอบที่เป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตน
อย่างไรก็ตาม
คำตอบนี้ยังมีปัญหาเนื่องจากโดยปกติมีหลายเรื่องที่
"ความชอบ" ไม่สามารถเป็นเหตุผลได้
คนมักถามหาเหตุผลเพิ่มเติมว่า "ชอบแล้วทำไม"
หรืออย่างน้อยก็ "ทำไมถึงชอบ"
แต่นักอัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลก็อาจตอบได้โดยเปลี่ยนการเสนอเหตุผลด้วยการอ้างความชอบ
เป็นการอ้างถึงประโยชน์ส่วนตนแทน นั่นคือ
ถ้าถามว่าทำไมควรทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ส่วนตน
แล้วเราตอบว่า "ก็เพราะมันดีต่อตัวเราน่ะสิ"
คำตอบนี้ก็ดูจะเพียงพอแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาอีกประการ
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับความน่าเชื่อถือของอัตนิยมเชิงจิตวิทยา
นั่นคือ ถ้าทฤษฎีนี้ไม่น่าเชื่อถือ
อย่างน้อยก็กล่าวได้ว่าความชอบประกอบด้วยสองประเภทคือประเภทที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับประโยชน์ส่วนตน
ด้วยเหตุนี้การที่นักอัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลอ้างถึงความชอบโดยนัยว่าเป็นความชอบที่เกี่ยวกับประโยชน์ส่วนตนจึงไม่เพียงพอ
เนื่องจากขาดเหตุผลว่าทำไมความชอบอีกประเภทที่ไม่เกี่ยวกับประโยชน์ส่วนตนจึงไม่นับรวมด้วย
ข้อนี้จึงแสดงว่าข้อเสนอของอัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลมีลักษณะลอยๆ
เดอเรก พาร์ฟิต (Derek
Parfit)
เป็นนักปรัชญาคนสำคัญที่รื้อฟื้นข้อถกเถียงเกี่ยวกับอัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผล
โดยเสนอการอ้างเหตุผลโต้แย้งบนพื้นฐานของทัศนคติที่นักอัตนิยมมีเกี่ยวกับอนาคต
กล่าวคือ
อัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลเห็นว่าเวลาไม่ใช่ข้อพิจารณาที่มีความสำคัญ
ไม่ว่าประโยชน์ส่วนตนจะได้มาขณะนี้หรือภายหน้า
ต่างก็นับเป็นประโยชน์เหมือนกัน
พาร์ฟิตยกทฤษฎีความเป็นเหตุเป็นผลแบบ "เป้าหมายปัจจุบัน"
("present-aim" theory of
rationality) มาใช้
ทฤษฎีนี้ถือว่าการกระทำที่เป็นเหตุเป็นผลคือการกระทำที่ตอบสนองความชอบหรือเป้าหมายที่มีในปัจจุบัน
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราอายุมากขึ้น
เราก็จะคิดถึงเงินออมหลังเกษียณ บางคนอาจจะคิดว่า
"ตอนหนุ่มๆ น่าจะเริ่มออมเงินแต่เนิ่นๆ "
ด้วยเหตุนี้จึงมีคำแนะนำแก่คนหนุ่มสาวที่เริ่มทำงานว่าถ้าต้องการจะเป็นผู้ที่มีเหตุมีผล
พวกเขาควรที่จะเริ่มออมเงินแต่เนิ่นๆ
ซึ่งคำแนะนำนี้ก็อาจจะมาจากอัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลด้วยก็ได้
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีแบบเป้าหมายปัจจุบันไม่เห็นเช่นนั้น
เนื่องจากเชื่อว่าความปรารถนาในปัจจุบันมีความสำคัญมากกว่า
ดังนั้น
ผู้ยึดถือทฤษฎีนี้จะแนะนำให้คนหนุ่มสาวเหล่านี้นำรายได้ไปใช้เพื่อตอบสนองเป้าหมายในปัจจุบัน
เช่น ซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่
แทนที่จะอดออมเพื่อตอบสนองความปรารถนาที่ยังไม่เกิดตอนนี้
ลักษณะประการหนึ่งที่ทฤษฎีแบบเป้าหมายปัจจุบันมีเหนืออัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลก็คือทฤษฎีแรกมีความเรียบง่ายกว่า
ทั้งนี้นักอัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลมักจะยกลักษณะความเรียบง่ายนี้เพื่อแสดงว่าทฤษฎีของตนนั้นดีกว่าทฤษฎีจริยศาสตร์มาตรฐานอื่นๆ
เนื่องจากทฤษฎีอื่นๆ
เรียกร้องให้พิจารณาเงื่อนไขที่เกินไปกว่าประโยชน์ส่วนตน
เช่น ต้องพิจารณาว่าสอดคล้องกับกฎสากลหรือไม่
หรือต้องพิจารณาประโยชน์ของคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหลายคน
แต่ทฤษฎีแบบเป้าหมายปัจจุบันนั้น
กล่าวได้ว่าเรียบง่ายกว่าเพราะอัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลพิจารณาถึงประโยชน์ในความสัมพันธ์กับความปรารถนาในปัจจุบันและอนาคต
แต่ทฤษฎีแบบเป้าหมายปัจจุบันพิจารณาเฉพาะความปรารถนาในปัจจุบันเท่านั้น
พาร์ฟิตเห็นว่าทฤษฎีแบบเป้าหมายปัจจุบันมีข้อดีตรงที่ช่วยให้เรามิต้องคำนึงถึงสิ่งที่ไม่แน่นอน
ความปรารถนาในอนาคตที่เราคิดถึงในขณะปัจจุบันนี้
จะคงอยู่เมื่อปัจจัยเงื่อนไขอย่างที่มีในขณะแห่งการตั้งความปรารถนานั้นคงอยู่
เช่น เป้าหมายปัจจุบัน ลักษณะการใช้ชีวิต นิสัยส่วนบุคคล
หรือความรู้สึกนึกคิด เป็นธรรมดาที่ปัจจัยเงื่อนไขต่างๆ
จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
ด้วยเหตุนี้ความปรารถนาในปัจจุบันกับความปรารถนาในอนาคตจึงมิได้มีฐานะเท่าเทียมกัน
อย่างแรกนั้นแน่นอนกว่า
การให้ความสำคัญเท่ากันแก่ความปรารถนาในปัจจุบันและในอนาคตอย่างที่อัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผลทำ
จึงไม่น่าเชื่อถื
2.2
ปรัตถนิยมเชิงจริยศาสตร์
ในขณะที่อัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ประสบปัญหาว่ามีบางการกระทำที่ถูกต้องแต่เชื่อได้ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ผู้อื่นอย่างแท้จริง
ปรัตถนิยมเชิงจริยศาสตร์ประสบปัญหาสำคัญ
ต่างที่ว่าดูไม่น่าจะเป็นทฤษฎีที่เป็นไปได้
เนื่องจากปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาไม่น่าจะเป็นไปได้
การถกเถียงเกี่ยวกับปรัตถนิยมจึงอยู่ในระดับพรรณนาเสียมาก
(ดูการอภิปรายในหัวข้อ
ปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยา )
อย่างไรก็ตาม
หากมองข้ามประเด็นเรื่องความเป็นไปได้ไป
จะเห็นว่าปรัตถนิยมเชิงจริยศาสตร์ซึ่งเห็นว่าการกระทำที่ถูกต้องคือการกระทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตนนั้น
ก็เป็นแนวคิดที่มีมานมนานในศาสนาต่างๆ เช่น
คริสต์ศาสนาซึ่งมีพระเยซูในฐานะสัญลักษณ์แห่งปรัตถนิยมดังที่เป็นเป้าการโจมตีของฟรีดริก
นิตเช่ (Friedrick Nietzche)
หรือพุทธศาสนามหายานซึ่งมีแนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ จริงๆ
แล้วคำว่า altruism
นี้ประดิษฐ์ขึ้นในศตวรรษที่ ๑๙ โดย ออกุส กองต์ (August
Comte)
และถือใช้กันมาเรื่อยในฐานะคู่ตรงข้ามกับอัตนิยม
ก่อนหน้านี้จะใช้คำอื่นๆ ในการกล่าวถึงแนวคิดนี้ เช่น
ความปรารถนาดี
(benevolence) น้ำใจ (charity)
ความรัก หรือความเมตตากรุณา
ข้อวิจารณ์ในเชิงจริยศาสตร์มีอยู่สองสามประการ
ข้อแรกคือการตั้งคำถามว่าถ้าปรัถนิยมเชิงจริยศาสตร์จริง
ก็แปลว่าทุกคนมีหน้าที่ทางจริยธรรมที่จะต้องดูแลสุขทุกข์ของผู้อื่น
ซึ่งก็หมายความว่าไม่มีใครมีหน้าที่ทางจริยธรรมในอันที่จะดูแลความสุขทุกข์ของตนเอง
แต่ถ้าแม้แต่ตนเองยังไม่ต้องสนใจความสุขทุกข์ที่ตนเผชิญ
แล้วทำไมคนอื่นๆ
จึงต้องมีหน้าที่ในการดูแลความสุขทุกข์ให้แก่พวกเขาตั้งแต่ต้น
อย่างไรก็ตาม
นักปรัตถนิยมอาจโต้แย้งว่าการดูแลความสุขทุกข์ของตนเองเป็นวิธีหนึ่งในการดูแลความสุขทุกข์ให้แก่ผู้อื่น
เช่น ถ้าลูกดูแลตนเองได้ดี พ่อแม่ก็จะสบายใจ
แต่คำตอบนี้ก็ยังมีปัญหาได้
คำตอบนี้ดูน่าจะสนับสนุนคำวิจารณ์ที่นักปรัชญาบางคน เช่น
เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ (Herbert
Spencer)
มีเกี่ยวกับการแบ่งแยกระหว่างตนเองกับผู้อื่นว่าทำได้ยาก
เพราะคำตอบนี้กำลังบอกว่าการทำเพื่อตนเองก็เป็นการทำเพื่อผู้อื่น
แต่ถ้ามองในอีกมุมจะเห็นว่าเป็นไปได้ที่การทำเพื่อผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ตนเอง
อาจจะส่งผลกระทบต่อประโยชน์ของคนอีกกลุ่มหนึ่ง เช่น
พลเมืองดีที่ไปช่วยจับโจรแล้วถูกฆ่าตาย
เขาสร้างประโยชน์ให้แก่เจ้าทรัพย์
แต่ก็ทำให้ลูกเมียต้องเสียประโยชน์เพราะขาดคนหาเลี้ยง
ข้อนี้ปรัตถนิยมอาจตอบว่าการคำนึงถึงประโยชน์ผู้อื่นนั้นต้องกระทำอย่างรอบคอบโดยให้ครอบคลุมถึงประโยชน์ของทุกคนที่เกี่ยวข้อง
เช่น กรณีของพลเมืองดี
ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้มีแต่เจ้าทรัพย์เท่านั้น
แต่ยังมีสมาชิกในครอบครัวด้วย แต่ทั้งนี้
ก็ยังอาจมีคำถามได้ว่าพ่อแม่ คู่ครอง บุตรธิดา ญาติ
และมิตรสหายควรจะนับเป็น ตัวตน
หรือ คนอื่น
อย่าลืมว่าหลายๆ
ครั้งที่บุคคลที่ยอมเสียประโยชน์ส่วนตนและทำเพื่อพวกพ้องก็ยังถูกตราหน้าว่า
เห็นแก่ตัว
ข้อวิจารณ์ประการที่สองคือว่าการที่นักปรัตถนิยมจะกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นนั้น
มีคำถามว่า
ประโยชน์
ที่ว่านี้เป็นการตัดสินของใคร
ถ้าผู้ช่วยเหลือและผู้รับการช่วยเหลือมีทัศนะตรงกันว่าอะไรคือประโยชน์
ก็ไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม
ถ้าผู้ได้รับการช่วยเหลือเห็นว่าบางสิ่งไม่ใช่ประโยชน์ของตนแต่นักปรัตถนิยมเห็นว่าเป็นประโยชน์ของเขาและลงมือให้การช่วยเหลือ
ก็เป็นไปได้ว่าอาจเกิดกรณีที่นับเป็นการแทรกแซงเสรีภาพส่วนบุคคล
และยังมีปัญหาต่อไปอีกว่าถ้านักปรัตถนิยมอาศัยทัศนะเกี่ยวกับสิ่งที่ดีของตนเป็นตัวตั้งและเข้าแทรกแซงให้ความช่วยเหลือบุคคลต่างๆ
การกระทำนี้ก็ดูจะเป็นแบบอัตนิยมเสียมากกว่า
เนื่องจากเป็นการยืนยันความเชื่อของตนเอง
ซึ่งก็นับเป็นประโยชน์ส่วนตนได้ในความหมายหนึ่ง
ที่สัมพันธ์กับข้อวิจารณ์นี้ก็คือข้อโต้แย้งที่ว่าปรัตถนิยมจะทำให้หลายคนไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่
คอยคาดหวังแต่ความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ทำให้ตัวพวกเขาเองเสียประโยชน์ที่ควรจะได้จากการได้พัฒนาความเป็นตัวของตัวเองหรืออัตตาณัติ
(autonomy)
และยังทำให้สังคมมีภาระอีกด้วย อย่างไรก็ตาม
นักปรัตถนิยมอาจชี้ว่าการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นอาจรวมเอาประเด็นเรื่องความพึ่งพาตนเองได้เอาไว้ด้วย
มิลตัน เมเยอรอฟ (Milton Mayeroff)
และ เนล น็อดดิ้ง (Nel Nodding)
เรียกสิ่งนี้ว่า การช่วยสร้างความสามารถในเชิงรุก
(active enabling)
อันเป็นการมุ่งสนับสนุนให้บุคคลได้เรียนรู้ว่าตนปรารถนาอะไรและจะบรรลุถึงความปรารถนานั้นได้อย่างไร
นอกจากนี้มีคำวิจารณ์ว่าปรัตถนิยมเชิงจริยศาสตร์ส่งเสริมให้คนปฏิเสธตนเอง
เนื่องจากผู้ที่ยึดถือทฤษฎีนี้ต้องระงับความปรารถนาของตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
ข้อนี้เป็นการแสดงว่าให้ความสำคัญแก่ผู้อื่นมากกว่าตนเอง
นับเป็นการดูถูกหรือลดค่าของตนเองอย่างไม่สมควร
เป็นที่รู้จักกันดีว่านิตเช่เป็นนักปรัชญาคนสำคัญที่ยกข้อวิจารณ์นี้มาแสดง
อย่างไรก็ตาม แม็กซ์ เชเลอร์ (Max Scheler)
โต้แย้งว่าแม้ในบางกรณีการคำนึงถึงประโยชน์ผู้อื่นเหนือประโยชน์ตนจะแสดงถึงการดูถูกตนเอง
แต่ก็ยังมีอีกหลายกรณีที่การคำนึงเช่นนี้แสดงถึงความเชื่อมั่นและเข้มแข็งของบุคคล
ดังจะเห็นว่าบุคคลสำคัญของโลกหลายคนก็มีลักษณะเช่นนี้
พวกเขาสามารถตอบสนองความปรารถนาของตนได้อย่างพอดี
เอาชนะความหมกมุ่นอยู่กับตนเอง เปี่ยมด้วยความรักความเมตตา
อ่อนไหวต่อความทุกข์ยากของผู้อื่น
และลงมือช่วยผู้อื่นเพื่อยืนยันคุณค่าของตัวเขาเอง
นอกจากนี้ โจเซฟ บัทเลอร์ (Joseph Butler)
ยังโต้แย้งว่าการคำนึงถึงประโยชน์ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของการปฏิเสธตนเอง
ในทางตรงข้าม
การใส่ใจในประโยชน์ของผู้อื่นและการใส่ใจในประโยชน์ของตนเองมักจะเสริมซึ่งกันและกันเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม
ข้อพิจารณาเหล่านี้ทำให้เห็นว่าไม่ใช่ว่าปรัตถนิยมจะดีเสียทั้งหมด
มีทั้งปรัตถนิยมที่ดี (healthy)
กับที่ไม่ดี (unhealthy)
ทั้งนี้ก็ขึ้นกับทัศนคติและความเข้าใจที่มีต่อตัวตนผู้กระทำ
คำถามอีกข้อคือเรื่องความเป็นเหตุเป็นผลของปรัตถนิยม
โดยปกติคนจะเห็นว่าการทำเพื่อเป้าหมายส่วนตนนั้นมีความเป็นเหตุเป็นผล
แต่การทำเพื่อเป้าหมายของผู้อื่นเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่
ข้อนี้น่าสงสัย
โดยเฉพาะในกรณีที่การทำเพื่อผู้อื่นทำให้เราเสียประโยชน์
โธมัส เนเกิล (Thomas
Negel)
เป็นนักปรัชญาคนสำคัญที่รื้อฟื้นประเด็นนี้ขึ้นมา
เขาเห็นว่าปรัตถนิยมนั้นเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับความเป็นเหตุเป็นผล
ทั้งนี้เพราะว่าสอดคล้องกับความเป็นจริงของมนุษย์ที่ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
นั่นคือ ในเมื่อมนุษย์แต่ละคนเป็นเพียงคนๆ
เดียวในบรรดาคนทั้งหลาย มนุษย์จึงควรพิจารณาถึงคนอื่นๆ
โดยอาศัย เหตุผลที่ไม่ขึ้นกับผู้กระทำ
(agent-neutral reasons)
หรือเหตุผลที่ไม่ได้มีพื้นฐานบนประโยชน์ส่วนตน
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของเนเกิลยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
3. มุมมองเชิงพรรณนา
3.1 อัตนิยมเชิงจิตวิทยา
อัตนิยมเชิงจิตวิทยาเห็นว่าแต่ละบุคคลมีเป้าหมายสูงสุดเพียงประการเดียวเท่านั้น
ได้แก่ ประโยชน์ส่วนตน
ทฤษฎีนี้ยอมรับว่าการกระทำอาจจะมุ่งแค่ประโยชน์ส่วนตน
โดยไม่ต้องมุ่งกระทำเพื่อให้ได้ประโยชน์นั้นอย่างสูงสุด (maximize)
และยังยอมรับว่าคนอาจมีเจตจำนงที่อ่อนแอ
นั่นคือ แม้คนมุ่งสู่ประโยชน์ส่วนตน
แต่อาจจะไม่ลงมือกระทำเนื่องจากเจตจำนงไม่เข้มแข็งพอ
แต่ทฤษฎีนี้ไม่ยอมรับว่ามีการกระทำใดที่เกิดจากแรงจูงใจเพื่อหน้าที่หรือประโยชน์ของผู้อื่นล้วนๆ
อย่างไรก็ตาม
มิได้หมายความว่าทฤษฎีนี้จะไม่ยอมรับแรงจูงใจทั้งสองเสียทีเดียว
เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าต้องมีประโยชน์ส่วนตนเป็นองค์ประกอบแฝงอยู่ด้วยในฐานะเป้าหมายสุดท้าย
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับอัตนิยมเชิงจิตวิทยาอาจจะแย้งว่าทฤษฎีนี้ทำให้จริยธรรมกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
อย่างไรก็ตาม
ข้อกล่าวหานี้มีสมมุติฐานว่าจริยธรรมต้องเป็นเรื่องของการกระทำเพื่อผู้อื่นเสมอ
คำแย้งนี้จึงยังมิอาจใช้ได้เนื่องจากถ้าอัตนิยมเชิงจิตวิทยาจริง
ก็ยังสามารถยอมรับได้ว่าจริยธรรมเกี่ยวข้องกับการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น
แต่ทั้งนี้มีประโยชน์ส่วนตนของผู้กระทำแฝงอยู่เสมอ
นอกเสียจากว่าผู้โต้แย้งจะแสดงได้เสียก่อนว่าจริยธรรมเป็นเรื่องของการมุ่งประโยชน์ของผู้อื่นล้วนๆ
โดยไม่มีประโยชน์ส่วนตนของผู้กระทำแฝงอยู่
ข้อพิจารณานี้ใช้ได้เช่นกันกับกรณีที่เรายกกรณีต่างๆ
ที่มีลักษณะเป็นปรัตถนิยมมาโต้แย้งอัตนิยมเชิงจิตวิทยา
กล่าวคือ
นักอัตนิยมเชิงจิตวิทยาอาจกล่าวได้เสมอว่าเบื้องหลังการกระทำเหล่านั้นมีประโยชน์ส่วนตนของผู้กระทำแฝงอยู่
เช่น
เราช่วยชาวต่างชาติที่หลงทางก็เพราะเราไม่ต้องการรู้สึกไม่สบายใจภายหลัง
หรือต้องการมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาคนรอบข้าง
เบื้องต้น
อัตนิยมเชิงจิตวิทยาอาศัยหลักฐานยืนยันจากชีวิตประจำวันทั่วไปที่เรามักเห็นบุคคลกระทำสิ่งต่างๆ
โดยมีประโยชน์ส่วนตนเป็นแรงจูงใจ
แม้การกระทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่นก็มักแสดงให้เห็นในท้ายที่สุดว่ามีประโยชน์ส่วนตนแอบแฝงอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นเรามักจะสร้างแรงจูงใจให้บุคคลกระทำสิ่งต่างๆ
โดยชี้ให้เห็นว่าการกระทำนั้นจะนำมาซึ่งประโยชน์แก่ตัวเขา
ข้อโต้แย้งที่คนยกขึ้นแสดงเพื่อคัดค้านอัตนิยมเชิงจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงข้อหนึ่งมาจากบัทเลอร์
กล่าวคือ ในอันที่จะได้มาซึ่งประโยชน์ส่วนตนนั้น
เราต้องปรารถนาสิ่งอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น
ถ้า"ประโยชน์ส่วนตน" (ในความหมายของความพึงพอใจ)
ของเราได้จากการเล่นฟุตบอล
เราก็ต้องปรารถนาที่จะเล่นฟุตบอลจริงๆ
ในความหมายที่ว่าเราเล่นฟุตบอลโดยจดจ่ออยู่กับเกมนั้นๆ
มิใช่จดจ่อกับประโยชน์ส่วนตน
มิฉะนั้นก็จะไม่อาจได้มาซึ่งความพึงพอใจในการเล่น
หรือถ้าประโยชน์ส่วนตนคือการให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลหนึ่ง
เราก็ต้องปรารถนาให้บุคคลนั้นไดัรับประโยชน์จริงๆ
ในยามที่เราให้ความช่วยเหลือแก่เขา
มิฉะนั้นก็จะไม่ได้มาซึ่งประโยชน์ส่วนตนของเราเอง ดังนั้น
แม้ประโยชน์ส่วนตนจะเป็นผลจากการกระทำของเรา
แต่ก็มิอาจเป็นเพียงเป้าหมายเดียวของการกระทำนั้น
นักอัตนิยมเชิงจิตวิทยาอาจแย้งว่าแม้ต้องปรารถนาซึ่งสิ่งอื่นๆ
นอกเหนือจากประโยชน์ส่วนตน
แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าการบรรลุซึ่งสิ่งอื่นที่ปรารถนานั้นมิใช่ส่วนหนึ่งของการบรรลุซึ่งประโยชน์ส่วนตน
หรืออีกนัยหนึ่ง แม้ในการกระทำสิ่งต่างๆ
เราจะปรารถนาสิ่งอื่นๆ นอกเหนือจากประโยชน์ส่วนตน
แต่ในที่สุดแล้วประโยชน์ส่วนตนก็คือเป้าหมายสุดท้ายในการกระทำของเรา
ยกตัวอย่างเช่น ในการช่วยเหลือบุคคลอื่น
แม้เราจะปรารถนาให้บุคคลนั้นได้รับประโยชน์จริงๆ
แต่ก็มิจำเป็นต้องหมายความว่าเราปรารถนาเพียงประโยชน์ของบุคคลนั้นในตัวมันเอง
ด้วยเหตุนี้จึงยังอาจกล่าวได้ว่าเราปรารถนาให้บุคคลนั้นได้รับประโยชน์เพื่อที่ว่าในที่สุดแล้วเราจะได้ประโยชน์ส่วนตนบางอย่าง
เช่น ความเป็นที่ชื่นชม
อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งที่ตอบได้ยากบางประการ เช่น
กรณีที่ทหารกระโดดทับลูกระเบิดเพื่อมิให้เพื่อนๆ
ต้องได้รับอันตราย
การกระทำเช่นนี้ดูจะอธิบายไม่ได้ว่ามีประโยชน์ส่วนตนเป็นเป้าหมายสุดท้าย
เนื่องจากผลของการกระทำก็คือผู้กระทำมิอาจมีชีวิตอยู่เพื่อรับประโยชน์ใดๆ
หากสอบถามพวกเขาได้
ทหารเหล่านี้อาจกล่าวว่าเหตุที่พวกเขากระทำเช่นนั้นก็เนื่องจากต้องการช่วยชีวิตผู้อื่นหรือเป็นการทำหน้าที่ของตน
มิใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตนใดๆ สำหรับข้อโต้แย้งนี้
นักอัตนิยมเชิงจิตวิทยาอาจแก้ว่าทหารเหล่านี้กำลังหลอกตนเอง
พวกเขาต้องกระโดดทับลูกระเบิดเพราะรู้ดีว่าหากตนไม่ทำเช่นนั้น
จะไม่สามารถมองหน้าตนเองได้ตลอดชีวิต
จึงกล่าวได้ว่าพวกเขาได้ประโยชน์ส่วนตนในแง่ที่ว่าไม่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างอดสู
ปัญหาที่ชัดเจนประการหนึ่งของคำตอบนี้ก็คือแม้อาจเป็นจริงว่าบางคนกำลังหลอกตนเอง
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเช่นนั้น
มีกรณีที่เราเชื่อได้ว่าบางคนกระทำเพื่อหน้าที่หรือประโยชน์ของผู้อื่นจริงๆ
นอกจากนี้
ความรู้สึกผิดหรือความอดสูที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนนั้นมีสมมุติฐานเรื่องการทำหน้าที่เพื่อหน้าที่แฝงอยู่
อย่างไรก็ตาม
นักอัตนิยมเชิงจิตวิทยาอาจแก้ด้วยการนิยามว่าประโยชน์ส่วนตนคือการได้กระทำตามความปรารถนา
หากเป็นเช่นนี้ก็นับได้ว่าทหารที่กระโดดทับลูกระเบิดกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน
เนื่องจากเขาทำตามความปรารถนาที่ตั้งไว้ นั่นคือ
เขาปรารถนาที่จะทำตามหน้าที่หรือช่วยเหลือเพื่อนๆ คนอื่น
ถ้ายอมรับตามนี้ การกระทำใดๆ ที่ตอบสนองเป้าหมายที่มี
ก็นับเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนทั้งสิ้น
จึงนับเป็นจุดอ่อนของทฤษฎีที่เสนอมาเพื่อพรรณนาแรงจูงใจของมนุษย์นี้
เพราะว่าถ้าการกระทำทุกอย่างของมนุษย์เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน
ก็หมายความว่าจะไม่สามารถยกกรณีของการกระทำใดมาหักล้างทฤษฎีนี้ได้
แต่ทฤษฎีเชิงประจักษ์ที่มิอาจหากรณีที่จะทำให้ผิดได้
ถือเป็นทฤษฎีที่ขาดนัยสำคัญ
อีกวิธีหนึ่งที่จะแสดงถึงความขาดซึ่งนัยสำคัญของทฤษฎีที่อาศัยนิยามนี้
ก็คือการพิจารณากรณีสองกรณี ในกรณีแรก
มีทหารคนหนึ่งกระโดดทับลูกระเบิดเพื่อช่วยเพื่อน
ในกรณีที่สอง
มีทหารคนหนึ่งผลักเพื่อนให้ล้มทับลูกระเบิดเพื่อให้ตนเองรอด
ทั้งสองกรณีนี้ถือว่ามีความแตกต่างกัน
เราจะกล่าวว่าทหารในกรณีแรกไม่เห็นแก่ตัว
ในขณะที่ทหารในกรณีหลังเห็นแก่ตัว
แต่ถ้ายึดตามทฤษฎีอัตนิยมเชิงจิตวิทยาที่นิยามประโยชน์ส่วนตนด้วยการทำตามเป้าหมาย
เราก็จะต้องกล่าวว่าทหารในทั้งสองกรณีเห็นแก่ตัวเหมือนกัน
เพราะว่าทั้งสองทำตามเป้าหมายที่ตนตั้งไว้ (นั่นคือ
คนแรกตั้งเป้าหมายที่จะช่วยผู้อื่นและได้ลงมือช่วยผู้อื่น
คนที่สองตั้งเป้าหมายที่จะช่วยตนเองและได้ลงมือช่วยตนเอง)
จะเห็นได้ว่าทฤษฎีดังกล่าวขาดความสามารถในการแยกแยะกรณีที่แตกต่างกันได้
นักอัตนิยมเชิงจิตวิทยาอาจอธิบายกรณีที่แตกต่างกันทั้งสองโดยแสดงว่าประโยชน์ส่วนตนเป็นองค์ประกอบที่ใช้อธิบายการกระทำทั้งหลายของมนุษย์
พวกเขาอาจอธิบายว่าเมื่อเกิดมา
เรามีแต่ความปรารถนาที่คำนึงถึงตัวเราเองเท่านั้น
แต่เมื่อโตขึ้นเราก็เริ่มปรารถนาสิ่งอื่นๆ เช่น
ปรารถนาที่จะทำตามหน้าที่
โดยเรียนรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ตอบสนองความปรารถนาที่คำนึงถึงตัวเราเอง
และในที่สุดเราก็พัฒนานิสัยที่จะปรารถนาสิ่งอื่นๆ
ในตัวมันเอง โดยไม่เกี่ยวข้องกับตัวเรา อย่างไรก็ตาม
ปัญหาของคำอธิบายนี้ก็คือการหักล้างตนเอง
เนื่องจากเป็นการยอมรับว่ามีความปรารถนาที่ไม่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ส่วนตน
แม้ว่าจะยอมรับว่ามีจุดเริ่มต้นจากความปรารถนาที่เกี่ยวข้องกับตัวเราเองก็ตาม
นักอัตนิยมเชิงจิตวิทยาอาจจะแก้โดยชี้ว่าแม้คนเราจะมีความปรารถนาที่ไม่เกี่ยวกับประโยชน์ส่วนตนได้
แต่คนเราจะไม่สามารถกระทำตามความปรารถนานั้นได้นาน
ยิ่งการกระทำนั้นหากไกลจากประโยชน์ส่วนตนเท่าใด
การกระทำนั้นก็จะยุติเร็วขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม
ขณะนี้ยังมิอาจหาหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อสนับสนุนข้อเสนอนี้ได้
นักอัตวิทยาเชิงจิตวิทยาอาจแก้ปัญหาโดยอาศัยสิ่งที่
เกรกอรี คาฟกา (Gregory
Kavka) เรียกว่า อัตนิยมตัวยืน
นั่นคือ ในการกระทำโดยปกติทั่วไป
ประโยชน์ส่วนตนมีบทบาทเป็นตัวยืน
จะมีบ้างบางโอกาสเท่านั้นที่คนเรากระทำเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น
โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตน เช่น
ทำเพื่อสมาชิกในครอบครัวหรือทำเพื่อเพื่อน
จะเห็นได้ว่าทฤษฎีอัตนิยมตัวยืนนี้สามารถอธิบายกรณีของทหารทั้งสองข้างตนได้
อย่างไรก็ตาม
มีทัศนะว่าอัตนิยมเชิงจิตวิทยาในฐานะทฤษฎีเชิงประจักษ์
นั้นต้องล้มเหลวอย่างช่วยไม่ได้
ความน่าเชื่อถือของอัตนิยมเชิงจิตวิทยาขึ้นอยู่กับการศึกษาแรงจูงใจของมนุษย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงจูงใจทางจริยธรรม อย่างไรก็ตาม
อุปสรรคสำคัญคือความซ่อนเร้นของแรงจูงใจ
ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่อาจสังเกตการณ์โดยตรงได้เท่านั้น
แต่แม้เจ้าตัวเองก็ไม่อาจเข้าถึงได้ในหลายกรณี
(เนื่องจากการหลอกตนเอง เป็นต้น)
จุดนี้ทำให้ทฤษฎีที่มุ่งพรรณนาธรรมชาติมนุษย์ซึ่งต้องอาศัยพื้นฐานเชิงประจักษ์
กลายเป็นเพียงสมมุติฐานเกี่ยวกับกลไกที่ทำงานอยู่ภายในเท่านั้น
หรืออีกนัยหนึ่ง
อัตนิยมเชิงจิตวิทยายืนยันสิ่งที่ไม่สามารถแสดงความจริงเชิงประจักษ์ได้
อีกทั้งยังไม่สามารถแสดงกรณีเชิงประจักษ์ที่จะทำให้เท็จได้ด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้จึงจัดอัตนิยมเชิงจิตวิทยาไว้ในประเภท
ทฤษฎีปิด (closed theory)
ซึ่งปฏิเสธทฤษฎีอื่นๆ ที่มาแข่งขัน
โดยอาศัยกรอบแนวคิดของตนเองทั้งที่ไม่สามารถแสดงความจริงหรือความเท็จเชิงประจักษ์ได้
หากเป็นเช่นนี้ ทฤษฎีดังกล่าวก็ขาดนัยสำคัญ ตามนัยนี้
ปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน นั่นคือ
จัดเป็นทฤษฎีปิด
ทั้งนี้ก็เนื่องจากความแฝงเร้นของแรงจูงใจมนุษย์นั่นเอง
แต่อย่างที่บอก นี่เป็นทัศนะหนึ่งเท่านั้น
ในส่วนต่อไปจะเห็นว่าปรัตถนิยมนั้นมีการถกเถียงกันมากในสาขาวิชาที่จัดเป็นวิทยาศาสตร์
เช่น ชีววิทยา และจิตวิทยา
3.2
ปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยา
ข้อถกเถียงเกี่ยวกับอัตนิยมและปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยานั้นมีลักษณะต่างกัน
เหตุผลสำคัญเป็นเพราะว่าอัตนิยมเชิงจิตวิทยามีความน่าเชื่อถือที่ยากที่จะปฏิเสธ
ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเนื่องจากในชีวิตของคนเรา
ประโยชน์ส่วนตนมีบทบาทเป็นแรงจูงใจในการกระทำหลายๆ อย่าง
ด้วยเหตุนี้ข้อถกเถียงเกี่ยวกับอัตนิยมเชิงจิตวิทยาจึงมีจุดสนใจอยู่ในประเด็นที่ว่าการกระทำทุกอย่างมีแรงจูงใจเช่นนั้นจริงหรือไม่
ถ้าแสดงได้ว่ามีสักการกระทำหนึ่งที่ไม่ได้มีแรงจูงใจเพื่อประโยชน์ส่วนตน
ก็จะสามารถปฏิเสธอัตนิยมเชิงจิตวิทยาไปได้
ในทางตรงข้ามการถกเถียงเกี่ยวกับปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยานั้นเริ่มที่ความสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้
อาจจะเป็นเพราะว่าการคำนึงถึงประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญนั้นเป็นเรื่องที่ชัดเจน
และในเวลาเดียวกันความไม่กระจ่างชัดเกี่ยวกับแรงจูงใจของตนเอง
การหลอกตนเองหรือทฤษฎีจิตไร้สำนึกต่างก็เป็นเหตุผลที่รับฟังได้
คนจึงสงสัยว่าการกระทำที่ดูเหมือนจะทำเพื่อผู้อื่นนั้น
จริงๆ แล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่
หรือที่แท้มีประโยชน์ส่วนตนแอบแฝงอยู่ในลักษณะที่แม้เจ้าตัวก็ไม่รู้
ดังนั้น
การถกเถียงเกี่ยวกับปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาจึงมีจุดสนใจอยู่ในประเด็นที่ว่ามีการกระทำบางอย่างที่เป็นไปเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริงหรือไม่
แม้เป็นไปได้ที่จะมีปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาที่ยึดถือว่าการกระทำทุกอย่างของมนุษย์เป็นไปเพื่อผู้อื่น
ซึ่งในทางทฤษฎีสามารถอธิบายได้แม้กรณีที่ดูไม่เกี่ยวกับสังคมโดยสิ้นเชิง
เช่น การหนีไปจากสังคมเพื่อออกบวช
(โดยอาจอธิบายว่าการหนีไปนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ผู้อื่นเพราะปิดโอกาสที่จะทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนรำคาญ
เป็นต้น)
แต่ปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาแบบนี้ก็ดูจะขัดกับสิ่งที่คนยอมรับกันว่าเป็นจริง
นั่นคือ มีกรณีที่ชัดเจนว่าเราทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
ดังนั้น
ปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาที่มักกล่าวถึงกันจึงเป็นแบบที่เห็นว่าบางครั้งคนเราก็ทำเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง
การโต้แย้งปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาจึงมักอยู่ในรูปว่าไม่มีแม้แต่การกระทำเดียวที่ไม่มีแรงจูงใจเพื่อประโยชน์ส่วนตน
และด้วยเหตุผลที่ว่าการถกเถียงในเชิงพรรณนามีผลต่อเชิงบรรทัดฐาน
ลักษณะที่แตกต่างกันระหว่างการถกเถียงเกี่ยวกับอัตนิยมและปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาจึงส่งผลต่อการถกเถียงเกี่ยวกับอัตนิยมและปรัตถนิยมเชิงจริยศาสตร์ด้วย
ดังเห็นแล้วว่ามีการนำอัตนิยมเชิงจิตวิทยามาสนับสนุนอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์
ซึ่งก็เป็นไปด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าทุกคนมีแรงจูงใจได้เพียงแบบเดียว
คือ แบบที่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน
ทฤษฎีจริยศาสตร์ก็ควรอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงนี้โดยเรียกร้องให้คนกระทำสิ่งต่างๆ
อย่างไม่ขัดกับธรรมชาติ คือ ให้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน
การให้เหตุผลในลักษณะนี้เป็นไปได้เพราะอัตนิยมเชิงจิตวิทยามุ่งพรรณนาทุกๆ
การกระทำ
ซึ่งก็สอดคล้องกับอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์ที่เรียกร้องต่อทุกๆ
การกระทำ แต่ในกรณีของปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยา
ซึ่งมิได้มุ่งพรรณนาทุกการกระทำ
ผลต่อทฤษฎีจริยศาสตร์ย่อมต่างออกไป
แน่นอนว่าถ้าปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาจริง
ย่อมกระทบต่อการนำอัตนิยมเชิงจิตวิทยาไปใช้สนับสนุนอัตนิยมเชิงจริยศาสตร์
แต่ในแง่ของปรัตถนิยมเชิงจริยศาสตร์นั้น
ถ้าปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาจริง
ก็ยังเป็นการยากที่จะนำมาสนับสนุน
เพราะว่าแม้ปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาจะช่วยให้คลายใจได้ว่าปรัตถนิยมเชิงจริยศาสตร์นั้นไม่ได้เรียกร้องในสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจทำได้
แต่ก็ได้เพียงเท่านั้น
ปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาไม่สามารถสนับสนุนปรัตถนิยมเชิงจริยศาสตร์ได้เต็มที่เหมือนในกรณีของอัตนิยมเชิงจิตวิทยากับเชิงจริยศาสตร์
เนื่องจากปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาบอกเพียงแต่ว่ามีบางการกระทำที่มีแรงจูงใจเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น
ในขณะที่ปรัตถนิยมเชิงจริยศาสตร์เรียกร้องว่าทุกการกระทำต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น
เนื่องจากความน่าสงสัยดังกล่าวข้างต้น
น้ำหนักการถกเถียงเกี่ยวกับปรัตถนิยมจึงมักอยู่ในระดับพรรณนา
ศาสตร์ที่มีบทบาทได้แก่ชีววิทยา [หรือ ชีววิทยาเชิงสังคม (socio-biology)]
และจิตวิทยา
ชีววิทยา
คนมักเข้าใจกันว่าทฤษฎีวิวัฒนาการแสดงให้เห็นว่าอัตนิยมน่าเชื่อถือมากกว่าปรัตถนิยม
เนื่องจากเห็นว่าถ้าสิ่งมีชีวิตใดเสียสละเพื่อประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตอื่น
สิ่งมีชีวิตนั้นก็จะพ่ายแพ้ในการแข่งขันเพื่อความอยู่รอด
สิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะ
เมื่อเป็นเช่นนี้
จะมีแต่สิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวเท่านั้นที่มีโอกาสสืบทอนยีนของตน
สิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในขณะนี้จึงมีลักษณะเห็นแก่ตัว
ความเข้าใจของคนทั่วไปนี้ดูจะน่าเชื่อในเชิงวิชาการถ้าพิจารณาจากนิยาม
ปรัตถนิยม
ที่ใช้กันในชีววิทยา
นักชีววิทยานิยามว่าสิ่งมีชีวิตมีพฤติกรรมแบบปรัตถนิยมในกรณีที่พฤติกรรมนั้นลด
"ความเหมาะสม" (fitness)
ของตัวสิ่งมีชีวิตนั้นเองในขณะที่เพิ่มพูนความเหมาะสมของสิ่งมีชีวิตอื่น
โดยที่ "ความเหมาะสม" นี้มีความหมายในเชิงการเจริญพันธุ์
ฉะนั้น
สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะปรัตถนิยมจึงลดทอนโอกาสการผลิตลูกหลานของตนโดยเพิ่มโอกาสการผลิตลูกหลานของสิ่งมีชีวิตอื่น
อย่างไรก็ตาม อันที่จริงมิได้เป็นเช่นนั้น
ในทางตรงข้ามความคิดดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่นักชีววิทยาต้องแก้
เนื่องจากในธรรมชาตินั้น
พบหลักฐานที่แสดงถึงพฤติกรรมปรัตถนิยมมากมาย เช่น
ลิงจะร้องเตือนกันเมื่ออันตรายใกล้เข้ามาแม้การร้องเตือนนั้นจะทำให้ตนเองเป็นเป้าของการล่า
ถ้าเป็นจริงว่าสิ่งมีชีวิตที่มีพฤติกรรมแบบนี้จะมีโอกาสส่งผ่านยีนของตนมาน้อยกว่าสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว
ทำไมจึงสังเกตการณ์พบพฤติกรรมเหล่านี้ได้มากมาย
ทำไมจึงไม่พบเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวซึ่งน่าจะเป็นผู้รับสืบทอดยีนจากสิ่งมีชีวิตที่หาประโยชน์จากตัวอื่นๆ
ที่มีพฤติกรรมแบบปรัตถนิยม
จนกระทั่งสามารถเอาตัวรอดสืบและมีโอกาสผลิตลูกหลานมากกว่า
หรืออีกนัยหนึ่ง
ยีนที่สนับสนุนพฤติกรรมแบบปรัตถนิยมผ่านกระบวนการคัดสรรทางธรรมชาติ
(ที่กำหนดว่า
ผู้ที่เหมาะสมที่สุดคือผู้ที่อยู่รอด)
มาได้อย่างไร
นักชีววิทยาเห็นว่าถ้ามองในระดับปัจเจกนั้น
สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะปรัตถนิยมจะเสียเปรียบสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว
แต่ถ้ามองสูงขึ้นมาในระดับกลุ่มแล้วจะเห็นว่าพฤติกรรมปรัตถนิยมนั้นช่วยให้กลุ่มอยู่รอด
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดทฤษฎี
การคัดสรรระดับกลุ่ม (group
selection)
กลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่มีสมาชิกมีพฤติกรรมปรัตถนิยมจำนวนมากจะมีโอกาสอยู่รอดมากกว่ากลุ่มที่มีจำนวนสมาชิกที่มีพฤติกรรมปรัตถนิยมน้อยกว่า
ด้วยเหตุนี้การสืบทอดยีนที่ส่งเสริมพฤติกรรมปรัตถนิยมจึงยังมีโอกาสอยู่
กล่าวคือ
สืบทอดจากสมาชิกที่มีพฤติกรรมปรัตถนิยมในกลุ่มที่อยู่รอดนี้นั่นเอง
แน่นอนว่าในกลุ่มแบบนี้ก็ยังอาจมีสมาชิกที่เห็นแก่ตัวปะปนอยู่บ้าง
นั่นก็เป็นโอกาสให้ยีนที่สนับสนุนพฤติกรรมเห็นแก่ตัวสืบทอดต่อไปด้วย
กระนั้นก็ดี
มีข้อวิจารณ์ทฤษฎีนี้ว่าอาจอธิบายพฤติกรรมปรัตถนิยมไม่ได้
เนื่องจากยังเสี่ยงต่อปรากฏการณ์ การพลิกเปลี่ยนจากภายใน
(subversion from within) นั่นคือ
ถ้ามีสมาชิกเห็นแก่ตัวเพียงตัวเดียวในกลุ่มซึ่งมีสมาชิกส่วนใหญ่ที่มีลักษณะแบบปรัตถนิยม
สมาชิกตัวนี้จะมีโอกาสผลิตลูกหลานมากเนื่องจากได้ประโยชน์จากการเอาเปรียบสมาชิกอื่นๆ
ที่ไม่เห็นแก่ตัว
ลูกหลานของสมาชิกที่เห็นแก่ตัวจะผลิตลูกหลานของตัวสืบเนื่องไปอีกจนกระทั่งในที่สุดสมาชิกส่วนใหญ่ของกลุ่มกลายเป็นพวกที่มียีนที่สนับสนุนพฤติกรรมเห็นแก่ตัว
นับเป็นอวสานของกลุ่มปรัตถนิยม
มีการพัฒนารายละเอียดอื่นขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องในทฤษฎี
นักชีววิทยาคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะปรัตถนิยมอาจจะไม่ช่วยเหลือตัวอื่นที่เห็นแก่ตัว
เบื้องต้นมีข้อสังเกตว่าสิ่งมีชีวิตมักจะแบ่งปันอาหารกับญาติๆ
ข้อนี้น่าจะหมายความว่าสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะปรัตถนิยมจะช่วยเหลือพวกที่มียีนคล้ายคลึงกันเท่านั้น
แม้การช่วยสมาชิกตัวอื่นจะทำให้ตัวมันเองมีความเหมาะสมน้อยลง
แต่ก็ช่วยเพิ่มความเหมาะสมของสมาชิกตัวอื่นที่มียีนคล้ายคลึงกัน
หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่ายีนที่สนับสนุนลักษณะปรัตถนิยมจะสามารถผ่านกระบวนการคัดสรรทางธรรมชาติมาได้
ทฤษฎีใหม่ที่ได้นี้เรียกว่า
การคัดสรรผ่านความเป็นเครือญาติ
(kin selection)
ซึ่งเห็นว่าสิ่งมีชีวิตจะมีพฤติกรรมปรัตถนิยมกับหมู่เครือญาติ
ยิ่งเป็นญาติกันใกล้ชิดเท่าใด
พฤติกรรมลักษณะนี้ก็จะสูงมากขึ้นเท่านั้น
ดังที่กล่าวว่าสิ่งมีชีวิตที่ช่วยเหลือสมาชิกเครือญาติตัวอื่นจะมีความเหมาะสมลดลง
แต่ในขณะเดียวกันก็จะเพิ่มความเหมาะสมของสมาชิกตัวอื่น
ความเหมาะสมในลักษณะนี้เรียกว่า ความเหมาะสมรวม
(inclusive fitness)
อันเป็นผลลัพธ์ของความเหมาะสมส่วนตัวบวกกับความเหมาะสมที่เพิ่มพูนให้แก่กลุ่ม
นี่เป็นพื้นฐานให้กล่าวได้ว่ากระบวนการคัดสรรทางธรรมชาติจะคัดสรรให้สิ่งมีชีวิตที่มีความเหมาะสม
(รวม) มากที่สุดเป็นผู้อยู่รอด (ไม่ใช่ ความเหมาะสม
เฉยๆ)
นอกจากลักษณะที่อธิบายด้วยทฤษฎีนี้แล้ว
ยังพบว่าในธรรมชาติมีอีกลักษณะหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ
การช่วยเหลือกันในหมู่สิ่งมีชีวิตต่างประเภท
จึงมีการพัฒนาอีกทฤษฎีขึ้นมาเรียกว่า
ปรัตถนิยมต่างตอบแทน (reciprocal
altruism)
ซึ่งจะเกิดในกรณีที่มีสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งกระทำสิ่งหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่ง
และสิ่งมีชีวิตประเภทหลังกระทำสิ่งมีประโยชน์ตอบแทนจนกระทั่งเกิดเป็นรูปแบบที่คาดหวังได้
เงื่อนไขที่จะทำให้เกิดสถานการณ์ดังกล่าวก็คือสิ่งมีชีวิตทั้งสองประเภทต้องมีโอกาสพบกันมากกว่าหนึ่งครั้งและจะต้องจดจำฝ่ายตรงข้ามได้
เงื่อนไขนี้จะทำให้ ตอบแทน
กันได้
ไม่ว่าจะตอบแทนประโยชน์หรือแก้แค้นเอาคืน ในกระบวนการนี้
สิ่งมีชีวิตที่ตอบแทนประโยชน์ จะได้ประโยชน์ตอบแทน
ทำให้มีความเหมาะสมที่จะอยู่รอดมากกว่าสิ่งมีชีวิตที่ไม่ตอบแทนและถูกแก้แค้น
พวกที่รู้จักตอบแทนก็จะได้รับการคัดสรรทางธรรมชาติ
ซึ่งก็หมายความว่ายีนที่ส่งเสริมพฤติกรรมปรัตถนิยมได้รับการส่งต่อด้วย
แม้ชีววิทยาจะช่วยให้มั่นใจว่าพฤติกรรมแบบปรัตถนิยมเป็นไปได้
แต่ต้องไม่ลืมว่าปรัตถนิยมแบบนี้เรียกว่า
ปรัตถนิยมเชิงชีววิทยา
(biological altruism)
ซึ่งมุ่งพิจารณาที่พฤติกรรมในความสัมพันธ์กับโอกาสการเจริญพันธ์
นั่นคือ สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะแบบปรัถนิยม (เชิงชีววิทยา)
จะลดโอกาสการเจริญพันธุ์ของตนและเพิ่มโอกาสการเจริญพันธุ์ของตัวอื่น
แต่ปรัตถนิยมที่ใช้กับมนุษย์นั้นคือ ปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยา
ซึ่งเป็นเรื่องของแรงจูงใจ
บุคคลที่มีลักษณะปรัตถนิยม (เชิงจิตวิทยา)
ต้องมีแรงผลักดันให้กระทำด้วยความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์
โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตนที่จะเสียไป ปรัตถนิยมเชิงชีววิทยา
กับ ปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยา
จึงมีช่องว่างเรื่อง เจตนา
เพราะว่าสิ่งมีชีวิตไม่ต้องมีเจตนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อที่จะตัดสินได้ว่ามีลักษณะปรัตถนิยมเชิงชีววิทยา
แต่บุคคลต้องมีเจตนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นถ้าเราจะบอกว่าเขามีลักษณะปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยา
นอกจากช่องว่างเรื่องเจตนาแล้ว ยังมีช่องว่างอื่น ได้แก่
บุคคลไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือแต่เครือญาติ
แต่อาจช่วยคนแปลกหน้าก็ได้
และบุคคลไม่จำเป็นต้องได้รับผลตอบแทนจึงจะช่วย
หลายครั้งบุคคลช่วยทั้งๆ ที่รู้ดีว่าจะไม่ได้รับการตอบแทน
ดังนั้น
อย่างมากที่ข้อพิจารณาข้างต้นจะนำมาใช้ได้ก็คือการคาดหมายว่ามนุษย์ประเภทที่มีลักษณะปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาจะมี
ความเหมาะสมรวม
มากกว่ามนุษย์ที่เห็นแก่ตัว
อันจะทำให้ยีนที่ส่งเสริมลักษณะปรัตถนิยมเชิงจิตวิทยาผ่านกระบวนการคัดสรรทางธรรมชาติมาได้ดีกว่ายีนที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว
จิตวิทยา
นักจิตวิทยาศึกษาปรัตถนิยมในความสัมพันธ์กับความเห็นอกเห็นใจ
(empathy)
โดยมีสมมุติฐานว่าผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจจะมีแรงจูงใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
สมมุติฐานนี้มีมาก่อนในความคิดของนักปรัชญา เช่น โธมัส
อไควนัส (Thomas Aquinas) และ อดัม
สมิธ (Adam Smith)
ทั้งนี้มีข้อควรระวังว่าตามสมมุติฐานนี้
ผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจจะมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ช่วยเหลือผู้อื่นจะต้องมีความเห็นอกเห็นใจทุกคน
เขาอาจจะมีสิ่งอื่นเป็นแรงจูงใจก็ได้
มีการพบว่าข้อมูลเชิงประจักษ์จากการทดลองทางจิตวิทยายืนยันสมมุติฐานดังกล่าว
พร้อมทั้งชี้ว่าความเห็นอกเห็นใจจะเกิดขึ้นได้เมื่อบุคคลเห็นว่าตนมีอะไรบางอย่างร่วมกันกับผู้ต้องการความช่วยเหลือ
เช่น รู้สึกสุขทุกข์ได้เหมือนกัน เป็นคนเผ่าพันธุ์เดียวกัน
อย่างไรก็ตาม
นักอัตนิยมโต้แย้งว่าแม้สมมุติฐานนี้จะได้รับการยืนยัน
แต่หากพิจารณาดีแล้วจะพบว่าไม่ได้สนับสนุนปรัตถนิยมมากไปกว่าอัตนิยม
เนื่องจากความรู้สึกเห็นอกเห็นใจไม่จำเป็นต้องเป็นความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นมีความสุขเท่านั้น
แต่ยังอาจมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่สะท้อนลักษณะแบบอัตนิยม
เช่น ความรู้สึกนี้ทำให้ไม่สบายใจ
เจ้าตัวจึงต้องลงมือกระทำอะไรสักอย่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้การช่วยเหลือ
เพื่อที่ว่าตนเองจะได้ไม่เป็นทุกข์ต่อไป
หรืออาจจะมีการเรียนรู้ทางสังคมที่ทำให้บุคคลเห็นว่าถ้าให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์ประเภทที่ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ
สังคมมักจะให้รางวัล ดังนั้น เมื่อใดที่รู้สึกเห็นอกเห็นใจ
บุคคลก็จะช่วยเหลือโดยลึกๆ แล้วหวังรางวัล
หรืออาจเป็นทางกลับกันว่าถ้าไม่ช่วยเหลือในสถานการณ์ลักษณะนี้
ก็อาจจะถูกลงโทษ หากเป็นเช่นนั้น
คนก็ช่วยเหลือเพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษ
ทั้งนี้มีความแตกต่างในรายละเอียดเกี่ยวกับการตีความของนักอัตนิยมที่อ้างถึงเรื่องรางวัลและการลงโทษนี้
นั่นคือ
มีบางส่วนเห็นว่ารางวัลและการลงโทษไม่จำเป็นต้องมาจากผู้อื่นจริงๆ
เพราะเห็นว่าเมื่อบุคคลโตเป็นผู้ใหญ่
เขาก็รับระบบการให้รางวัลและลงโทษเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของตัวตน
และจะดำเนินการให้รางวัลหรือลงโทษตนเองเมื่อมีเงื่อนไขครบ
เช่น ยกย่องตนเองเมื่อช่วยผู้อื่น
หรือตำหนิตนเองเมื่อเมินเฉยต่อความทุกข์ของผู้อื่น
ด้วยเหตุนี้จึงมีการศึกษาทางจิตวิทยาเพื่อให้เกิดความแน่ชัดขึ้น
มีแนวโน้มว่าข้อโต้แย้งของนักอัตนิยมจะไม่น่าเชื่อถือ
เนื่องจากมีข้อมูลเชิงประจักษ์ยืนยันว่าผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจสูงมักจะไม่ใส่ใจว่ามีผู้ใดรับรู้การทำดีของตนหรือไม่
ข้อโต้แย้งเรื่องการคาดหวังผลรางวัลหรือการลงโทษจึงยังขาดน้ำหนัก
นอกจากนี้ยังมีการทดลองเพื่อตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ที่ผู้ซึ่งเห็นอกเห็นใจให้ความช่วยเหลือเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายใจ
ผลการทดลองยืนยันว่าผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจสูงจะให้ความช่วยเหลือแม้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ
เช่น สามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้นไปได้
แม้การทดลองเหล่านี้จะทำให้โน้มเอียงมาทางด้านปรัตถนิยม
แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดเนื่องจากอัตนิยมยังอาจโต้แย้งได้อีก
เช่น
กรณีที่ผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจสูงจะให้ความช่วยเหลือแม้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจนั้น
ก็ยังอาจมีองค์ประกอบอัตนิยมแฝงอยู่ คือ
แม้เจ้าตัวจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้นไปได้
แต่ด้วยเหตุที่เจ้าตัวรู้ดีว่าตนจะจำได้ว่าไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ
อันจะก่อให้เกิดความไม่สบายใจภายหลัง
เขาจึงต้องให้ความช่วยเหลือเพื่อความสบายใจของตน
ปกรณ์ สิงห์สุริยา
(ผู้เรียบเรียง)
เรียบเรียงจาก
· |
Blum, L. 1992. Altruism. In L.
C. Becker and C. B. Becker
(eds). Encyclopedia of
Ethics. New York:
Garland Publishing Inc., Vol. 1:
35-39.
|
· |
Doris,
J. and Stich, S. 2006. Moral
Psychology: Empirical
Approaches. In Edward N. Zalta
(ed.). Stanford
Encyclopedia of Philosophy.
<URL=http://plato.stanford.edu/entries/moral-psych-emp> |
· |
Jones III, J. F. 1995. Altruism. In J. K. Roth
(ed.).
International Encyclopedia of Ethics. London:
Fitzroy Dearborn Publishers, pp. 27-30. |
· |
Kraut, R. 1998. Egoism and Altruism. In Edward
Craig (ed.). Routledge Encyclopedia of
Philosophy. [CD-Rom Version 1.0]. |
· |
Moseley, A. 2006. Egoism. In James Fieser and
Bradley Dowden (eds.). Internet Encyclopedia
of Philosophy. <URL=http://www.iep.utm.edu/e/egoism.htm>
|
· |
Pojman, L. P. 1997. Ethical Theories:
Classical and Contemporary Readings. 3rd
edition. Belmont, CA: Wadsworth Publishing Company. |
· |
Okasha, S. 2003. Biological Altruism. In Edward N. Zalta
(ed.). Stanford Encyclopedia of Philosophy.
<URL=http://plato.stanford.edu/entries/altruism-biological> |
เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม
·
Axelrod, R. and Hamilton, W.D. 1981. The Evolution of
Cooperation. Science 211: 1390-1396. (ว่าด้วยผลการศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของการปฏิสัมพันธ์แบบต่างตอบแทนในกระบวนการวิวัฒนาการสู่ปรัตถนิยมต่างตอบแทน)
·
Batson, C. D. 1991. The Altruism Question: Toward
a Social-Psychological Answer. Hillsdale, NJ:
Lawrence Erlbaum Associates.
·
Batson, C. D. 1998. Altruism and Prosocial Behavior. In
D.T. Gilbert and S.T. Fiske (eds.). The Handbook
of Social Psychology. Boston: McGraw-Hill., Vol.
2: 282-316. (ผลงานของ Batson
มีความสำคัญมากในด้านการศึกษาเชิงจิตวิทยาอันซับซ้อนเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับปรัตถนิยม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์กับความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ)
·
Blum, L. 1980. Friendship, Altruism and Morality.
London: Routledge and Kegan Paul. (ว่าด้วยการอภิปรายเกี่ยวกับปรัตถนิยมในฐานะปรากฏการณ์ทางอารมณ์
รวมถึงบทบาทความสำคัญที่ปรัตถนิยมมีในจริยธรรม
เป็นงานที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปูพื้นฐาน)
·
Butler, J. 1900. Fifteen Sermons Preached at the Rolls
Chapel. In J. H. Bernard (ed.). The Works of
Bishop Butler. London: Macmillan. (เป็นผลงานทางปรัชญาที่สำคัญที่เสนอข้อถกเถียงเพื่อสนับสนุนปรัตถนิยม
จัดอยู่ในฝั่งตรงข้ามกับ Hobbes)
·
Frank, R. H. 1988. Passions within Reason.
New York: Norton. (ข้อถกเถียงเกี่ยวกับความจำเป็นของนักอัตนิยมที่จะต้องยอมรับการร่วมมือกับผู้อื่น)
·
Hamilton, W. D. 1963. The Evolution of Altruistic
Behavior. American Naturalist 97: 354-356.
·
Hamilton, W. D. 1964. The General Evolution of Social
Behavior I. Journal of Theoretical Biology
7: 1-16.
·
Hamilton, W. D. 1964. The General Evolution of Social
Behavior II. Journal of Theoretical Biology
7: 17-52. (งานของ Hamilton
เป็นการบุกเบิกที่สำคัญเกี่ยวกับการคัดสรรผ่านความเป็นเครือญาติ)
·
Hobbes, T. 1968. Leviathan. C. B. Macpherson
(ed.). Harmondsworth: Penguin.
·
Hobbes, T. 1978. Man and Citizen: Thomas Hobbes's
Dehomine and De Cive. Charles T. Wood and T.
S. K. Scott-Craig (eds.). London: Humanities Press. (เป็นผลงานของนักปรัชญาคนสำคัญที่สนับสนุนทฤษฎีอัตนิยม)
·
Hume, D. 1975. An Enquiry Concerning the Principles of
Morals. In L. A. Selby-Bigge and P. H. Nidditch (eds.).
Enquiries. Oxford: Oxford University
Press. (เป็นผลงานของนักปรัชญาคนสำคัญที่สนับสนุนทฤษฎีอัตนิยมเช่นกัน)
·
Kavka, G. 1984. The Reconciliation Project. In D. Copp
and D. Zimmerman (eds.). Morality, Reason, and
Truth. Totowa: Rowman and Allanheld.
·
Kavka, G. 1986. Hobbesian Moral and Political
Theory. Princeton: Princeton University Press. (งานของ
Kavka มีการพิจารณาประเด็นต่างๆ
เกี่ยวกับอัตนิยม
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเสนอความคิดสำคัญเกี่ยวกับอัตนิยมตัวยืน)
·
MacIntyre, A. 1981. After Virtue. Notre
Dame, Ind: Notre Dame University Press. (เป็นงานที่สำคัญสำหรับจริยศาสตร์เชิงคุณธรรม
มีการอาศัยข้อถกเถียงเกี่ยวกับอัตนิยมและปรัตถนิยม)
·
Mayeroff, M. 1971. On Caring. New York:
Harper and Row. (เป็นผลงานที่สำคัญ
มีเนื้อหาส่วนหนึ่งว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นและความพึ่งพาตนเอง)
·
Nagel, T. 1986. The View from Nowhere. New
York and Oxford: Oxford University Press.
·
Nagel, T. 1970. The Possibility of Altruism.
New York: Oxford. (งานของ
Nagel
เป็นการเสนอความเป็นไปได้และความเป็นเหตุเป็นผลของปรัตถนิยมโดยอาศัยพื้นฐานเกี่ยวกับความเข้าใจเกี่ยวกับโลก)
·
Nichols, S. 2004. Sentimental Rules: On the
Natural Foundations of Moral Judgment. Oxford:
Oxford University Press. (เป็นงานทางจิตวิทยาที่ศึกษาบทบาทของอารมณ์ที่มีต่อพฤติกรรมทางจริยธรรม)
·
Nodding, N. 1984. Caring: A Feminine Approach to
Ethics and Moral Education. Berkeley: University
of California Press. (เป็นผลงานที่มีอิทธิพลเช่นเดียวกับของ
Mayeroff
มีเนื้อหาส่วนหนึ่งว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นและความพึ่งพาตนเอง)
·
Parfit, D. 1984. Reasons and Persons.
Oxford: Oxford University Press. (เป็นผลงานทางปรัชญาที่สำคัญที่รื้อฟื้นข้อถกเถียงเกี่ยวกับอัตนิยมเชิงความเป็นเหตุเป็นผล)
·
Rachels, J. 1990. Created from Animals: The Moral
Implications of Darwinism. Oxford: Oxford
University Press. (เป็นงานที่ดีมากสำหรับการปูพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับการถกเถียงเกี่ยวกับปรัตถนิยมและอัตนิยม)
·
Rand,
A. 1961. The Fountainhead. Harper Collins:
New York.
·
Rand,
A. 1964. Virtue of Selfishness. Signet:
New York. (งานของ Rand
เป็นที่นิยมมากในหมู่คนทั่วไป
เป็นการเผยแพร่ความคิดที่สนับสนุนอัตนิยม)
·
Sidgwick, H. 1981. The Methods of Ethics.
7th edition. Indianapolis: Hackett. (เป็นงานพื้นฐานที่ประกอบด้วยข้อถกเถียงที่สำคัญ)
·
Trivers, R. 1971. The Evolution of Reciprocal Altruism.
Quarterly Review of Biology 46: 35-57. (เป็นผลงานระดับบุกเบิกเกี่ยวกับปรัตถนิยมต่างตอบแทน)
คำที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มทฤษฎีจริยศาสตร์ที่เน้นพิจารณาผลการกระทำ / อันตวิทยา
/
จริยศาสตร์เชิงคุณธรรม
/
อภิจริยศาสตร์
Consequentialism / Teleology /
Deontological Ethics /
Virtue Ethics
/
Metaethics
|