1. บทนำ
อภิจริยศาสตร์
(Metaethics)
เริ่มมีขึ้นต่างหากเป็นสาขาหนึ่งในจริยศาสตร์
(ethics) ในศตวรรษที่ 20
นี้ ด้วยอิทธิพลของ “linguistic
turn” ในปรัชญาของโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ
การนิยามอภิจริยศาสตร์มีความซับซ้อนบางประการเนื่องจากจริยศาสตร์เป็นสาขาที่มีความเคลื่อนไหวสูง
ในส่วนต่อไปจะพิจารณาความซับซ้อนดังกล่าว
จากนั้นจึงได้พิจารณาทำความเข้าใจอภิจริยศาสตร์เพิ่มขึ้นในความสัมพันธ์กับจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน
ก่อนที่จะสำรวจประเด็นสำคัญๆ
ที่ถกเถียงกันในสาขาอภิจริยศาสตร์โดยย่อ
2.
อภิจริยศาสตร์และการแบ่งสาขาในจริยศาสตร์
ในอันที่จะทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับ
“อภิจริยศาสตร์”
เราควรพิจารณาการแบ่งสาขาย่อยในปรัชญาสาขา “จริยศาสตร์”
เสียก่อน “จริยศาสตร์”
คือปรัชญาที่ศึกษาเกี่ยวกับจริยธรรม (morality)
จึงเรียกได้อีกอย่างว่า “จริยปรัชญา”
(moral philosophy) “จริยธรรม”
ที่กล่าวว่าเป็นเป้าหมายแห่งการศึกษานั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นเรื่องของการตัดสินคุณค่าของการกระทำและบุคคลว่า
“ถูก/ผิด” (right/wrong) “ดี/เลว”
(good/bad) “ควร/ไม่ควร”
(ought/ought not) “น่าพึงปรารถนา/ไม่น่าพึงปรารถนา”
(desirable/undesirable) “มีคุณธรรม/ไร้คุณธรรม”
(virtue/vice) เป็นต้น จริยศาสตร์แบ่งได้
2 สาขาย่อย ได้แก่ “จริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน”
(normative ethics) และ “จริยศาสตร์เชิงพรรณนา”
(descriptive ethics)
ทั้งสองต่างก็ศึกษาเกี่ยวกับจริยธรรมเช่นเดียวกัน
ความแตกต่างสำคัญของทั้งสองพิจารณาได้โดยง่ายจากคำตอบของการศึกษา
จริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานมุ่งแสวงหาคำตอบที่มีลักษณะเชิงบรรทัดฐาน
นั่นคือ มุ่งตัดสินและให้เหตุผลสนับสนุนว่า “อะไรควร/ไม่ควร”
(Ought)
ซึ่งอาจกระทำผ่านการเสนอและปกป้องทฤษฎี
ขณะที่จริยศาสตร์เชิงพรรณนามุ่งแสวงหาคำตอบแบบ “อะไรเป็นอะไร”
(Is)
สำหรับจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานนั้นเป็นที่คุ้นเคยกันดี
ผ่านการศึกษาทฤษฎีจริยศาสตร์ต่างๆ เช่น อัตนิยม (egoism)
ประโยชน์นิยม (utilitarianism)
หรือทฤษฎีของค้านต์ (Kant’s
theory)
รวมถึงผ่านการศึกษาข้อถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นจริยธรรม
เช่น “ควรอนุญาตให้ทำแท้งหรือไม่”
“ควรมีการประหารชีวิตหรือไม่”
เป็นต้น
แต่สำหรับจริยศาสตร์เชิงพรรณนานั้นยังมีความสับสนได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยปัจจุบันที่จริยศาสตร์ประยุกต์ (applied
ethics)
มีความตื่นตัวสูงและการศึกษาเชิงประจักษ์ (empirical)
เข้ามามีบทบาทมากในการศึกษาเกี่ยวกับจริยธรรมมากขึ้น
ความสับสนมาจากความกำกวมของคำว่า “อะไรเป็นอะไร”
ในด้านหนึ่ง
จริยศาสตร์เชิงพรรณาหมายถึงการศึกษาว่า “อะไรเป็นอะไร”
โดยอาศัยศาสตร์เชิงประจักษ์ ได้แก่
จิตวิทยาและสังคมศาสตร์สาขาต่างๆ ซึ่งหมายความว่า “จริยศาสตร์เชิงพรรณนา”
ในความหมายนี้มิได้เป็นส่วนหนึ่งของสาขาปรัชญา
แม้อาจจะยังต้องอาศัยมโนทัศน์และทฤษฎีต่างๆ
ที่พัฒนาขึ้นมาในปรัชญาก็ตาม
ตัวอย่างประเด็นที่ศึกษากันในจริยศาสตร์เชิงพรรณนาในความหมายแรกนี้
เช่น
เด็กซึ่งเป็นสมาชิกใหม่ของสังคมมีจริยธรรมขึ้นมาได้อย่างไร
อะไรคือวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการอบรมนักเรียนให้มีจริยธรรม
คนกลุ่มนี้หรือกลุ่มนั้นยึดถือคุณค่าเชิงจริยธรรมอะไรบ้าง
คนในสังคมมีทัศนะเชิงจริยธรรมอย่างไรเกี่ยวกับการเปิดบ่อนกาสิโน
พฤติกรรมเชิงจริยธรรมในด้านการครองคู่ของคนไทยมีลักษณะอย่างไร
เป็นตัน
ในอีกด้านหนึ่ง
จริยศาสตร์เชิงพรรณนาก็หมายถึงอภิจริยศาสตร์นี่เอง
แต่ดังเดิมเมื่อกล่าวถึง
“จริยศาสตร์เชิงพรรณนา”
ก็จะเข้าใจกันในความหมายที่สองนี้
อย่างไรก็ตาม
ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นแล้วดังเหตุผลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวในปัจจุบันข้างต้น
สาขาวิชาอภิจริยศาสตร์เพิ่งเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 20
นี้เอง บางที่เรียกกันว่า “จริยศาสตร์วิเคราะห์”
(analytic ethics)
เนื่องจากมีจุดเริ่มต้นสำคัญจากอิทธิพลของทัศนะกระแสหลักในโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการทำงานทางปรัชญา
กล่าวโดยย่อ
ทัศนะดังกล่าวเห็นว่างานของนักปรัชญาคือการวิเคราะห์ภาษาเพื่อให้ความกระจ่างแก่มโนทัศน์ที่เป็นปัญหาทางปรัชญา
การวิเคราะห์เช่นนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้แก้ปัญหาได้เท่านั้น
แต่ยังอาจจะทำให้แสดงให้เห็นได้ว่าที่เชื่อว่าเป็นปัญหานั้นที่จริงแล้วไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย
การมุ่งวิเคราะห์ภาษาทำให้นักปรัชญาไม่มีหน้าที่ยืนยันสาระความจริง
(substantive)
และมีความเป็นกลางด้านการตัดสินคุณค่า
นักปรัชญาคนสำคัญที่มีอิทธิพลสำคัญต่อการกำเนิดของอภิจริยศาสตร์ก็คือ
จี. อี. มัวร์ (G. E. Moore)
นั่นเอง
ตามนัยเดียวกันนี้
ทำให้กล่าวได้ว่าหน้าที่ของนักอภิจริยศาสตร์ในฐานะนักปรัชญาที่ศึกษาเกี่ยวกับจริยธรรม
ก็คือการวิเคราะห์ภาษาทางจริยธรรม (moral language)
ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นเรื่องของการรายงานผลการวิเคราะห์ว่า
“อะไรเป็นอะไร”
ในเชิงความหมายหรือมโนทัศน์ นั่นคือ
บอกว่าภาษาทางจริยธรรมมีลักษณะเช่นนั้นเช่นนี้
ไม่ใช่เป็นการบอกว่า “อะไรควรเป็นอะไร”
ยิ่งไปกว่านั้น
อภิจริยศาสตร์ไม่เกี่ยวข้องอย่างสิ้นเชิงกับการเสนอว่าอะไรควรไม่ควร
กล่าวได้ว่ามีความเป็นกลางเชิงการตัดสินค่าทางจริยธรรม (morally
neutral)
และด้วยอิทธิพลจากทัศนะกระแสหลักเกี่ยวกับการทำงานทางปรัชญาดังกล่าว
จึงมีทัศนะในยุคต้นของอภิจริยศาสตร์ว่าจริยศาสตร์เชิงพรรณนาเท่านั้นที่เป็นจริยปรัชญา
แต่จริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานนั้นมิใช่
เนื่องจากมิได้มุ่งวิเคราะห์ภาษา
อีกทั้งยังมุ่งยืนยันความจริงของจุดยืนหรือข้อความทางจริยธรรมอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมิได้ยึดถือทัศนะเช่นนี้แล้ว
เนื่องจากฐานคติทางปรัชญาที่ทัศนะนี้ใช้ได้อ่อนอิทธิพลลงไปด้วยการโต้แย้งในปรัชญาในโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษสมัยหลัง
การโต้แย้งที่สำคัญมาจากข้อถกเถียงของ ดับเบิ้ลยู วี โอ
ไควน์ (W.
V. O. Quine)
ที่มุ่งโจมตีการแบ่งแยกระหว่างข้อความแบบวิเคราะห์ (analytic)
และข้อความแบบสังเคราะห์ (synthetic)
ผลการถกเถียงของไควน์ช่วยให้เห็นได้ว่าไม่อาจแยกการวิเคราะห์ภาษา
ความหมาย
หรือมโนทัศน์ออกจากการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสาระความจริง
โดยนัยนี้
การวิเคราะห์มโนทัศน์ทางจริยธรรมจึงน่าจะแยกไม่ออกจากการพิจารณาสาระความจริงเชิงบรรทัดฐานด้วย
เวลานี้มีแนวโน้มที่จะเห็นว่าอภิจริยศาสตร์มุ่งศึกษาประเด็นอื่นๆ
เกินไปกว่าประเด็นทางภาษา ความหมาย หรือมโนทัศน์ กล่าวคือ
ครอบคลุมถึงประเด็นทางอภิปรัชญาและญาณวิทยาที่พบในการเสนอหรือปกป้องทฤษฎีทางจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน
หรือที่พบในการขบคิด อภิปราย
หรือถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นจริยธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจริยศาสตร์ประยุกต์ ทั้งนี้
มีข้อสังเกตที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ
บางคนรวมจริยศาสตร์เชิงพรรณนาในความหมายของศาสตร์เชิงประจักษ์เข้าไว้ในสาขา
“อภิจริยศาสตร์”
กรณีนี้มักจะพบได้ในประเด็นที่เกี่ยวกับจิตวิทยาจริยธรรม
(moral
psychology)
เช่น การศึกษาเรื่อง
“อัตนิยม-ปรัตถนิยม”
(egoism-altruism)
ที่มุ่งตอบคำถามว่าแรงจูงใจของมนุษย์ต้องมีที่มาจากประโยชน์ส่วนตนเสมอไปหรือไม่
หรือ ประเด็นเรื่อง
“จริยศาสตร์แห่งความยุติธรรมกับจริยศาสตร์แห่งความอาทร”
(ethics
of justice and ethics of care)
ที่เกิดจากการศึกษาทางจิตวิทยาเพื่อตอบคำถามว่าว่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องตัดสินทางจริยธรรม
มนุษย์ใช้เหตุผลอย่างไร
และชายหญิงใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมแตกต่างกันหรือไม่
3.
ความสัมพันธ์ระหว่างอภิจริยศาสตร์และจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน
แม้ว่าจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานจะมีเป้าหมายเชิงปฏิบัติ (practical)
เพื่อให้บุคคลรู้ว่าควรกระทำอะไรและควรดำเนินชีวิตอย่างไร
แต่ก็มิได้มุ่งเทศนาสั่งสอนว่าสิ่งใดถูกผิดและมิได้มุ่งให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาทางจริยธรรมเฉพาะบุคคล
เป้าหมายที่มีมาแต่เดิมคือการแสวงหาหลักการพื้นฐานแห่งจริยธรรม
รวมถึงแสวงหานิยามแห่งชีวิตที่ดี
พร้อมทั้งแสดงเหตุผลสนับสนุนหลักการและนิยามเหล่านี้อย่างเป็นระบบ
ลักษณะการทำงานโดยภาพรวมของจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานนั้น
มิใช่การแสวงหาสาระความจริงใหม่ ๆ
ทางจริยธรรมเพื่อเพิ่มเติมแก่ “ความรู้”
ทางจริยธรรมที่มีอยู่แล้ว (เช่น “การฆ่าผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิด”
“การช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากเป็นสิ่งที่สมควร”
ฯลฯ)
หากแต่มุ่งสร้างระบบอันเป็นเอกภาพให้แก่ความรู้ดังกล่าว
โดยแสดงหลักการทั่วไปที่เป็นพื้นฐานให้แก่ความรู้เหล่านี้
และพื้นฐานที่ว่านั้นก็เชื่อว่ามีฐานะเป็นปรนัย (objective)
ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งจะเห็นได้ว่าระบบที่พัฒนาขึ้นมาสามารถนำมาอธิบายหรือให้เหตุผลสนับสนุนความรู้ทางจริยธรรมเหล่านี้ได้
นอกจากนี้
การสร้างระบบในตัวมันเองก็เป็นการมีท่าทีเชิงวิพากษ์ (critical)
ต่อการตัดสินทางจริยธรรมที่มีอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ที่ว่าเป็นการไม่ยอมรับเพียงเพราะเชื่อตามกันมา
แต่เป็นการยอมรับเมื่อมีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ
ทั้งนี้แต่ดั้งเดิมก็มีนักปรัชญาอีกกลุ่มที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
มุ่งโจมตีความเป็นไปได้ของพื้นฐานอันเป็นปรนัยนั้น
เรียกทัศนะนี้ว่า
“อัตนัยนิยม” (subjectivism)
อนึ่ง
แนวคิดอัตนัยนิยมนี้มักมิได้ตั้งคำถามกับการตัดสินทางจริยธรรมต่าง
ๆ ที่คนยึดถือ
แต่จะมุ่งแสดงว่าการสร้างระบบให้การตัดสินเหล่านั้นเป็นไปไม่ได้
นอกจากนี้ ยังมี “วิมัตินิยมเชิงจริยศาสตร์”
(ethical skeptism)
ที่สงสัยความเป็นไปได้ของพื้นฐานปรนัย
ความพยายามในการปฏิเสธจุดยืนทั้งสองนี้จึงเป็นอีกงานหนึ่งที่สำคัญของนักจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน
แน่นอนว่ามิใช่ว่านักปรัชญาที่พิจารณาประเด็นทางจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานทุกคน
จะทำงานในลักษณะนี้ เช่น ฟรีดริค นิทเช่ (Friedrich
Nietzsche)
ที่มิได้เพียงแต่ตั้งคำถามการทำงานในลักษณะดังกล่าวเท่านั้น
หากแต่ยังปฏิเสธความเชื่อทางจริยธรรมบางเรื่องที่มีอยู่
รวมถึงมุ่งแสวงหาความจริงใหม่ทางจริยธรรมด้วย
หรือมีนักจริยปรัชญาบางส่วน เช่น เจเรมี เบนธัม (Jeremy
Bentham) หรือ จอห์น สจ็วต มิลล์ (John
Stuart Mill)
ก็หันมาตั้งคำถามกับการตัดสินใจทางจริยธรรมบางอย่างที่สังคมยึดถือ
โดยอาศัยมุมมองจากทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานที่ตนพัฒนามา
แต่หากกล่าวโดยรวมแล้ว
การสร้างระบบบนพื้นฐานความเชื่อทางจริยธรรมที่มีอยู่แล้วคือลักษณะการทำงานทั่วไปของจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน
คนเห็นกันว่าการทำงานของจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานนั้นไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก
แม้นักปรัชญาจะมีความพยายามมาไม่น้อยกว่า 24 ศตวรรษ
นอกจากนี้
การปฏิเสธข้อถกเถียงของนักวิมัตินิยมเชิงจริยศาสตร์ก็ไม่ค่อยประสบผลอย่างหนักแน่น
ยิ่งไปกว่านั้น
นักปรัชญาหลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่ายังไม่มีความเข้าใจเพียงพอเกี่ยวกับ
“ภาษาทางจริยธรรม”
ซึ่งครอบคลุมเรื่องความหมายและความจริงเกี่ยวกับจริยธรรม
แม้จะยอมรับกันว่าจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานที่มุ่งหาระบบอันเป็นปรนัยที่เป็นพื้นฐานแก่การตัดสินทางจริยธรรมก็คือเป้าหมายสูงสุด
แต่ด้วยเหตุผลเหล่านี้
จึงมีข้อเสนอว่านักปรัชญาควรจะทำงานในระดับอภิจริยศาสตร์ก่อนเพื่อทำความเข้าใจภาษาทางจริยธรรม
เมื่อได้ความกระจ่างแล้ว
อาจจะพบว่าการสร้างระบบจริยศาสตร์ที่ดิ้นรนแสวงหากันมานั้นเป็นไปไม่ได้
และนี่ก็คือแง่มุมแรกของความสัมพันธ์ระหว่างอภิจริยศาสตร์และจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน
อย่างไรก็ตาม
จะเห็นว่าข้อเสนอที่ว่านี้อยู่บนพื้นฐานของการมองว่าอภิจริยศาสตร์มุ่งพิจารณาภาษาทางจริยธรรม
แต่หากพิจารณาลักษณะการทำงานของอภิจริยศาสตร์ปัจจุบันจะเห็นความสัมพันธ์ในอีกแง่มุมหนึ่ง
นั่นคือแง่มุมที่ว่าอภิจริยศาสตร์และจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน
รวมไปถึงจริยศาสตร์ประยุกต์นั้น ทำงานร่วมกันไป
โดยอภิจริยศาสตร์มีบทบาทช่วยให้ความกระจ่างแก่ความคิดทางอภิปรัชญาและญาณวิทยาที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำงานเชิงทฤษฎีและการพิจารณาประเด็นทางจริยธรรมต่างๆ
(ดูตัวอย่างเกี่ยวกับการทำแท้งและอื่นๆ ข้างล่าง)
อีกแง่มุมของความสัมพันธ์ระหว่างอภิจริยศาสตร์และจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานเกี่ยวกับประเด็นเรื่อง
“ความเป็นกลางเชิงการตัดสินค่าทางจริยธรรม”
ของอภิจริยศาสตร์
ซึ่งมีนัยยะว่าอภิจริยศาสตร์นั้นแยกจากจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานโดยสิ้นเชิง
พื้นฐานของความคิดเรื่องนี้คือการแบ่งแยกระหว่าง “ควร”
(Ought) และ “เป็น”
(Is) และหลักการที่ว่าเราไม่สามารถอนุมาน
“ควร” จาก
“เป็น” ได้
(เช่น ถ้าเป็นดังนี้ว่าคนในสังคมนิยมเล่นการพนัน
ก็มิอาจอนุมานได้ว่าการเล่นการพนันเป็นสิ่งสมควร)
ในเมื่ออภิจริยศาสตร์ได้ชื่อว่าเป็นจริยศาสตร์เชิงพรรณนาที่มุ่งพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร
จึงมิอาจกล่าวได้ว่าจะสามารถอนุมานแนวคิดหรือจุดยืนทางจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานใดๆ
ออกมาได้ กระนั้นก็ดี ดูเหมือนจะเป็นไปได้ที่จะสาวดึง
“เป็น”
มาจาก “ควร”
โดยเฉพาะในกรณีที่การแสดงว่าอะไรควรไม่ควรนั้นน่าจะมีฐานคติบนความคิดว่าอะไรเป็นอะไร
แต่หากเป็นเช่นนั้น
ก็จะดูเหมือนว่าอภิจริยศาสตร์มิได้มีความเป็นกลางเชิงการตัดสินค่าทางจริยธรรมจริง
เพราะมีฐานะเป็นฐานคติของจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน
อย่างไรก็ตาม
มีข้อโต้แย้งว่าแม้แนวคิดทางอภิจริยศาสตร์จะเป็นฐานคติให้แก่ทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานได้
แต่มิได้หมายความว่าแนวคิดเดียวกันจะไม่สามารถเป็นฐานคติให้แก่ทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานที่ขัดแย้งกันได้
ตัวอย่าง เช่น
อัตนิยมและประโยชน์นิยมต่างก็มีมาตรฐานการตัดสินความถูกผิดของการกระทำที่ขัดแย้งกัน
แต่ต่างก็ใช้
“ธรรมชาตินิยม” (naturalism -
ดูข้างล่าง)
เป็นฐานคติเชิงอภิจริยศาสตร์ร่วมกัน
ดังจะเห็นได้ว่าอัตนิยมและประโยชน์นิยมบางประเภทนั้นอาศัย
“ความพึงพอใจ” (pleasure)
เป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาตัดสินทางจริยธรรม
(ตัวอย่างนี้จะชัดเจนถ้าหวนนึกถึงการอ้างเหตุผลของจอห์น
สจ็วต มิลล์ ในทำนองที่ว่า “ความพึงพอใจของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งที่ดีสำหรับบุคคลนั้น
ดังนั้น
ความพึงพอใจส่วนรวมจึงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับมวลหมู่ของบุคคล”
ถ้ายึดตามนี้จะเห็นได้ว่ามิใช่ฐานคติธรรมชาตินิยม
แต่เป็นการอ้างเหตุผลโดยอาศัยฐานคตินั้นต่างหากที่ทำให้ประโยชน์นิยมขัดแย้งกับอัตนิยมในเรื่องของขอบเขตการพิจารณาความพึงพอใจว่าจะจำกัดกับบุคคลหรือต้องขยายสู่กลุ่มบุคคล)
สรุปได้ว่าถ้าแนวคิดทางอภิจริยศาสตร์เดียวกันสามารถสนับสนุนทฤษฎีเชิงบรรทัดฐานที่ขัดแย้งกันได้
ก็หมายความว่าอภิจริยศาสตร์มีความเป็นกลางเชิงการตัดสินค่าทางจริยธรรมนั่นเอง
ในทำนองเดียวกัน
เป็นไปได้ที่การพัฒนาทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานประเภทเดียวกันอาจจะใช้แนวคิดเชิงอภิจริยศาสตร์คนละชุดกัน
ยกตัวอย่างทฤษฎีสิทธิ (rights
theory)
ที่เสนอมาตรฐานทางจริยธรรมเดียวกัน เช่น มาตรฐานที่ว่า
“การกระทำ x
เป็นการกระทำที่ผิด เมื่อและก็ต่อเมื่อ
x
เป็นการละเมิดสิทธิ”
ผู้เสนอทฤษฎีนี้อาจอาศัยฐานคติทางอภิจริยศาสตร์ที่ต่างกันเกี่ยวกับสถานะของมโนทัศน์
“สิทธิ” เช่น
บางกลุ่มอาจจะเห็นว่า “สิทธิ”
สามารถทอนเป็นมโนทัศน์ “หน้าที่”
ได้ แต่บางกลุ่มอาจยืนยันว่า “สิทธิ”
เป็นมโนทัศน์พื้นฐานที่มิอาจทอนเป็นมโนทัศน์อื่น
ในกรณีที่ทฤษฎีเชิงบรรทัดฐานเดียวกันสามารถมีฐานคติเชิงอภิจริยศาสตร์ต่างกันได้เช่นนี้
ก็แสดงว่าอภิจริยศาสตร์มีความเป็นกลางเชิงการตัดสินค่าทางจริยธรรมเช่นกัน
ทั้งนี้
ประเด็นเรื่องความเป็นเอกเทศแก่กันของทั้งสองสาขายังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
ข้อโต้แย้งที่สำคัญก็คือเชื่อว่ามีกรณีที่ทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานจะน่าเชื่อถือ
ก็ต่อเมื่อแนวคิดทางอภิจริยศาสตร์บางอย่างน่าเชื่อถือเท่านั้น
ซึ่งกรณีนี้แสดงว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังต้องเน้นประเด็นเดิมว่าข้อพิจารณานี้อยู่ในกรอบที่จำกัดให้อภิจริยศาสตร์เป็นเรื่องของการวิเคราะห์ภาษาทางจริยธรรมเป็นสำคัญ
ถ้าพิจารณาว่าอภิจริยศาสตร์มีขอบเขตครอบคลุมถึงประเด็นทางอภิปรัชญาและญาณวิทยาที่พบในการทำงานในจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน
ไม่ว่าเชิงทฤษฎีหรือประยุกต์
ก็จะพบว่าการวิเคราะห์หาหรือนำฐานคติเชิงอภิจริยศาสตร์มาใช้
เป็นเรื่องที่ทำกันโดยทั่วไปในการพัฒนาทฤษฎีเชิงบรรทัดฐานหรือในการพิจารณาประเด็นทางจริยธรรมในจริยปรัชญาปัจจุบัน
4.
ประเด็นสำคัญในอภิจริยศาสตร์
ประเด็นข้อถกเถียงในอภิจริยศาสตร์มีหลากหลาย
ในที่นี้จะยกบางประเด็นเป็นตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพการถกเถียงพร้อมทั้งให้คำอธิบายอย่างคร่าวๆ
เท่านั้น
ประเด็นแรกที่เป็นที่รู้จักกันดีคือเรื่องเจตจำนงอิสระ (free
will)
ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเรื่องของความรับผิดชอบทางจริยธรรม
กล่าวคือ
เราจะกล่าวว่าบุคคลสมควรได้รับคำชื่นชมหรือคำตำหนิสำหรับการกระทำ
x
ก็ต่อเมื่อเขามีอิสรภาพที่ทำให้สามารถเลือกได้ว่าจะกระทำหรือไม่กระทำ
x
ความเชื่อในเจตจำนงอิสระนี้มีปัญหาในโลกทัศน์ปัจจุบันที่
“เป็นวิทยาศาสตร์”
อันทำให้เชื่อว่าทุกสิ่งถูกกำหนดด้วยสาเหตุบางอย่าง
เนื่องจากว่าหากเป็นเช่นนั้น
เจตจำนงของมนุษย์ย่อมถูกกำหนดด้วยสาเหตุอื่นด้วย
นั่นหมายความว่ามนุษย์มิได้มีอิสรภาพจริงๆ ในขณะเลือก
และนัยสำคัญก็คือว่ามนุษย์ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ
ทัศนะที่เชื่อเช่นนี้เรียกว่า
“นิยัตินิยม”
(determinism)
นอกจากนี้
ทัศนะนี้ยังมีนัยยะต่อจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานด้วย นั่นคือ
ถ้าบุคคลไม่อาจเลือกสิ่งที่ตนกระทำได้
การเสนอหลักการทางจริยธรรมว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำก็ดูจะเป็นสิ่งสูญเปล่า
อย่างไรก็ตาม
ความสัมพันธ์ระหว่างเจตจำนงอิสระและความรับผิดชอบทางจริยธรรมก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
รวมถึงความไปกันไม่ได้ระหว่างนิยัตินิยมกับความรับผิดชอบทางจริยธรรม
เช่น
มีบางทัศนะที่เห็นว่าเจตจำนงอิสระมิใช่เงื่อนไขของความรับผิดชอบทางจริยธรรม
เนื่องจากเห็นว่าความรับผิดชอบทางจริยธรรมจะมีความหมายในกรณีที่กล่าวได้ว่าเป็นการสมควรที่จะให้รางวัลหรือลงโทษผู้กระทำ
และความสมควรนั้นก็ขึ้นอยู่กับผลของการให้รางวัลหรือการลงโทษที่มีต่อพฤติกรรมของบุคคล
โดยนัยนี้ แม้บุคคลจะกระทำบางสิ่งด้วยเจตจำนงอิสระ
แต่ถ้าการให้รางวัลหรือการลงโทษไม่มีผลต่อพฤติกรรมของบุคคลนั้น
ก็ป่วยการที่จะกล่าวถึงความรับผิดชอบทางจริยธรรม
ในทางกลับกัน แม้เห็นว่าบุคคลกระทำสิ่งต่างๆ
เพราะถูกผลักดันด้วยเหตุปัจจัยภายนอก
แต่ถ้าการให้รางวัลหรือการลงโทษจะมีผลต่อพฤติกรรมของบุคคลนั้นต่อไปในอนาคต
ก็กล่าวได้ว่าเป็นการสมควรที่จะให้รางวัลหรือลงโทษเขา
นั่นคือ กล่าวได้ว่าเขามีความรับผิดชอบทางจริยธรรม
จะเห็นได้ว่าในกรณีนี้
นิยัตินิยมไปด้วยกันได้กับความรับผิดชอบทางจริยธรรม
ประเด็นต่อไปที่อภิจริยศาสตร์ให้ความสนใจคือลักษณะของจริยธรรม
คำถามก็คือเราจะแยกจริยธรรมออกจากกฎ
หลักการหรือมาตรฐานอื่นๆ ได้อย่างไร อาร์ เอ็ม แฮร์ (R.
M. Hare)
เห็นว่าเกณฑ์ในการแบ่งแยกสามารถวิเคราะห์ได้จากการตัดสินทางจริยธรรม
(moral judgment)
ซึ่งมีลักษณะต่างจากการตัดสินด้านอื่นๆ
ลักษณะเหล่านั้นประกอบด้วย (1) เป็นคำสั่ง (prescriptive)
(2) เป็นสากลได้ (universalisable)
และ (3) หักล้างการตัดสินหรือคำสั่งอื่นๆ
(overriding)
ต่อข้อเสนอนี้มีผู้วิจารณ์ว่าองค์ประกอบเรื่องการเป็นสากลได้นั้นเข้มงวดเกินไปจนกระทั่งทำให้สิ่งที่เห็นกันว่าเป็นจริยธรรมนั้นไม่จัดเป็นจริยธรรม
กล่าวคือ มีหลายๆ
สังคมที่มีระบบจริยธรรมที่ไม่ครอบคลุมถึงคนนอก
ระบบจริยธรรมเช่นนี้จึงไม่สามารถเป็นสากลได้
แต่กระนั้นเราก็ยังเรียกกันว่าเป็นระบบจริยธรรมอยู่ดี
หรือมีผู้วิจารณ์ว่ามีกรณีที่ทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ปรากฏครบ
แต่เราก็ไม่จัดเป็นจริยธรรม เช่น
สมมุติมีบุคคลหนึ่งที่ตัดสินการเหยียบเงาผู้อื่นว่าเป็นการกระทำที่ผิด
โดยบุคคลนั้นเห็นว่าการตัดสินดังกล่าวมีอำนาจดุจคำสั่ง
เห็นว่าการห้ามเหยียบเงาเป็นสิ่งที่ควรให้ทุกคนปฏิบัติตาม
และเห็นว่าไม่ว่าใครหรือเหตุผลอะไรก็ตาม
จะมาบงการให้เขาเหยียบเงาคนอื่นไม่ได้
แม้ในกรณีนี้จะมีทั้ง 3 องค์ประกอบครบ
แต่ก็คงไม่มีใครที่จะยอมรับว่าการเหยียบเงาเป็นเรื่องทางจริยธรรม
ดับเบิ้ลยู. เค. แฟรงเคนนา (W.
K. Frankena)
เสนอว่าองค์ประกอบที่สามารถแบ่งจริยธรรมออกจากกฎเกณฑ์อื่นๆ
ก็คือ “หน้าที่”
กล่าวคือ
จริยธรรมมีหน้าที่อำนวยการร่วมมือในสังคม นอกจากนี้
ยังเสริมว่าจริยธรรมต้องทำให้บุคคลคำนึงถึงผลการกระทำของตนเองที่มีต่อผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งว่าเกณฑ์ที่ว่านี้อ่อนเกินไป
เนื่องจากทำให้ “มารยาทสังคม”
ซึ่งเอื้อต่อการร่วมมือและทำให้คนคำนึงถึงผู้อื่นจัดเป็นจริยธรรมด้วย
นอกจากนี้
ยังมีข้อโต้แย้งว่ามีบางกรณีที่จริยธรรมนั้นนำสู่ความแตกแยกและส่งเสริมให้มองข้ามผลกระทบต่อผู้อื่น
ยกตัวอย่างการปฏิรูปสังคมเพื่อให้มีการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักจริยธรรม(เช่น
เลิกทาส)
ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งและต้องมองข้ามผลกระทบต่อผู้ที่เคยได้รับประโยชน์จากความไร้จริยธรรม
อีกประเด็นหนึ่งเป็นคำถามเกี่ยวกับค่าความจริงของข้อความทางจริยธรรม
(เช่น
“การขโมยเป็นการกระทำที่ผิด”)
นั่นคือ ถามว่าข้อความเหล่านี้จริงเท็จได้หรือไม่ “พุทธิปัญญานิยม”
(cognitivism)
เห็นว่าข้อความทางจริยธรรมนั้นจริงเท็จได้ ในขณะที่
“อพุทธิปัญญานิยม”
(non-cognitivism)
เห็นว่าข้อความทางจริยธรรมไม่มีค่าจริงเท็จ
สำหรับพุทธิปัญญานิยมนั้นจะสัมพันธ์กับทัศนะเกี่ยวกับสถานะของคำทางจริยธรรม
(เช่น ถูก/ผิด ดี/เลว) 2 ทัศนะ ได้แก่ “ธรรมชาตินิยม”
(naturalism)
ซึ่งเห็นว่าคำทางจริยธรรมสามารถนิยามด้วยคำเชิงข้อเท็จจริงได้
เช่น คำว่า “ดี”
นิยามได้ด้วยคำว่า “นำมาซึ่งความพึงพอใจ”
หรือ “เป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ”
และอีกทัศนะหนึ่งคือ “อธรรมชาตินิยม”
(non-naturalism)
ซึ่งเห็นว่าคำทางจริยธรรมไม่อาจนิยามด้วยคำเชิงข้อเท็จจริงได้
เนื่องจากอ้างถึงคุณสมบัติ “อธรรมชาติ”
(non-naturalism)
เช่นที่อาจพบได้ด้วยอัชฌัตติกญาณ (intuition)
อันเป็นสมรรถนะที่ช่วยให้เข้าถึงความจริงบางอย่างโดยตรงโดยมิต้องอาศัยการอนุมาน
เช่น การรับรู้ความดีชั่วของการกระทำได้โดยตรง
เปรียบเหมือนการรับรู้สีสันของวัตถุได้โดยไม่ต้องอาศัยการอนุมานใดๆ
สำหรับอพุทธิปัญญานิยมนั้นจะสัมพันธ์กับทัศนะเกี่ยวกับสถานะของคำทางจริยธรรมอีก
2 ทัศนะเช่นกัน ได้แก่
“อารมณ์นิยม” (emotivism)
และ “บัญญัตินิยม”
(prescriptivism)
ทัศนะแรกเห็นว่าคำทางจริยธรรมเป็นการแสดงอารมณ์ชอบไม่ชอบเท่านั้น
การแสดงอารมณ์นี้มิได้หมายความว่าเป็นการรายงานว่าตนเองชอบหรือไม่ชอบสิ่งนั้น
หากแต่เป็นการแสดงอารมณ์คล้ายการอุทาน ดังนั้น
จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องจริงเท็จแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น
“เลว” คือ
“ยี้”
เป็นต้น
ส่วนบัญญัตินิยมเห็นว่าการใช้คำทางจริยธรรมเป็นการออกคำสั่ง
เช่น “ดี”
คือ “จงทำ”
เป็นต้น
ทัศนะเกี่ยวกับสถานะทางค่าความจริงของข้อความส่วนหนึ่งมีผลต่อทัศนะเกี่ยวกับการให้เหตุผลสนับสนุน
(justification)
หลักการทางจริยธรรมหรือทฤษฎีจริยศาสตร์
สำหรับพุทธิปัญญานิยมแล้ว
การให้เหตุผลสนับสนุนดังกล่าวเป็นไปได้ กล่าวคือ
สำหรับธรรมชาตินิยมการให้เหตุผลสนับสนุนก็จะอาศัยฐานเชิงประจักษ์
โดยมักอาศัยแม่แบบจากวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนทฤษฎีด้วยการให้หลักฐานยืนยัน
(confirmation)
ซึ่งเน้นความสามารถของหลักการหรือทฤษฎีในการอธิบายปรากฏการณ์
รวมถึงความสอดคล้องกับคำอธิบายโลกโดยรวม
ซึ่งก็เน้นคำอธิบายโลก “แบบวิทยาศาสตร์”
ในขณะที่อธรรมชาตินิยมจะอาศัยอัชฌัตติกญาณ
โดยอาจมีแนวคิดเชิงญาณวิทยาแบบ “มูลฐานนิยม”
(foundationalism)
นั่นคือการให้เหตุผลแก่ระบบจริยธรรมโดยอนุมานจากความเชื่อพื้นฐานทางจริยธรรมที่ยืนยันได้โดยไม่ต้องอ้างถึงสิ่งอื่น
ได้แก่ ความเชื่อที่เป็นหลักฐานแก่ตนเอง (self-evident)
เนื่องจากรับรู้โดยตรงผ่านอัชฌัตติกญาณ
ตัวอย่างเช่น
นักอัชฌัตติกญานนิยมอาจยกกรณีที่บุคคลผู้หนึ่งพบเห็นการฆาตกรรมและสมรรถนะแห่งอัชฌัตติกญาณช่วยให้บุคคลผู้นั้นสามารถรับรู้ได้ว่าการฆาตกรรมนั้นเป็นการกระทำที่ผิด
โดยมิต้องอาศัยอนุมานจากหลักการอื่นๆ (เช่น
“ชีวิตมนุษย์ที่มีคุณค่าในตนเองนี้มิอาจละเมิดได้”
หรือ “ไม่มีใครมีความชอบธรรมที่จะพรากชีวิตมนุษย์ที่พระเป็นเจ้าทรงประทานมา”)
และการตัดสินนี้เชื่อมั่นได้ในตัวเองเหมือนกับการตัดสินเกี่ยวกับสีของวัตถุที่กระทำได้โดยอาศัยสมรรถนะแห่งการมองเห็น
ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่าความเชื่อว่า “การฆาตกรรมครั้งนี้เป็นการกระทำที่ผิด”
มีสถานะเป็นหลักฐานแก่ตนเอง
เนื่องจากไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นมาให้เหตุผลสนับสนุน
นอกจากนี้ยังมีอีกทัศนะสำคัญเกี่ยวกับการให้เหตุผลสนับสนุนหลักการทางจริยธรรมหรือทฤษฎีจริยศาสตร์
ทัศนะนี้เห็นว่าไม่สามารถตั้งคำถามเกี่ยวกับค่าความจริงของข้อความทางจริยธรรมได้
ทัศนะนี้เห็นว่าการตอบคำถามดังกล่าวไม่ใช่มีเพียง 2
ทางเลือกว่า
“มีค่าความจริง”
กับ “ไม่มีค่าความจริง”
เนื่องจากมีภาษาอีกประเภทหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องจริงเท็จเลย
แม่แบบสำคัญคือภาษาของกฎกติกา เช่น
เราไม่เรียกคนที่ใช้มือเล่นฟุตบอลว่า “เท็จ”
แต่เราบอกว่าเขาเล่น “ผิด”
เช่นกันเราไม่เรียกคนที่ยืนยันใช้ทุตรรกบท
(fallacy)
เวลาอภิปรายถกเถียงเชิงเหตุผลว่าเป็นคนพูด “เท็จ”
แต่จะบอกว่าเขา “ขาดเหตุผล”
ภาษาทางจริยธรรมจัดอยู่ในประเภทนี้
การให้เหตุผลสนับสนุนจริยธรรมจึงต้องอาศัยวิธีอื่นที่ไม่ใช่การให้หลักฐานยืนยันหรืออนุมานจากความเชื่อพื้นฐานที่จริง
ที่สำคัญคือการใช้ทฤษฎีเกี่ยวกับการเลือกที่เป็นเหตุเป็นผล
(rational choice) เช่น
มุ่งให้เหตุผลสนับสนุนโดยแสดงว่าผู้ที่มีความเป็นเหตุเป็นผลจะเลือกสิ่งนั้น
วิธีที่รู้จักกันดีประการหนึ่งได้แก่วิธีการที่ได้พื้นฐานจาก
จอห์น รอลส์ (John Rawls)
ที่แสดงเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เหมาะสมแก่การตัดสนใจเลือกของผู้ที่มีความเป็นเหตุเป็นผล
โดยถือว่าสิ่งที่เป็นข้อตัดสินในสถานการณ์ตามเงื่อนไขนั้นก็ถือว่าเป็นเหตุเป็นผล
อีกประเด็นหนึ่งที่รู้จักกันดีคือเรื่องสถานะความเป็นปรนัยของหลักการทางจริยธรรม
“ปรนัยนิยมเชิงจริยศาสตร์”
(ethical objectivism)
เห็นว่าหลักการทางจริยธรรมนั้นมีความจริงหรือความถูกต้องอย่างเป็นปรนัย
คือ เป็นสากล ไม่ขึ้นกับบุคคลหรือบริบท ขณะเดียวกัน
“สัมพัทธนิยมเชิงจริยศาสตร์”
(ethical relativism)
เห็นตรงข้ามว่าความจริงหรือความถูกต้องของหลักการทางจริยธรรมนั้นขึ้นอยู่กับสังคม
กรณีนี้บางทีเรียกว่า “ธรรมเนียมนิยม”
(conventionalism)
หรือไม่ก็เห็นว่าขึ้นกับบุคคล
ทัศนะหลังนี้เรียกได้อีกอย่างว่า “อัตนัยนิยม”
(subjectivism)
ทั้งนี้ ต้องแยก
“สัมพัทธนิยมเชิงจริยศาสตร์”
ออกจาก “สัมพัทธนิยมเชิงวัฒนธรรม”
(cultural relativism)
ของนักมานุษยวิทยาที่เพียงพรรณนาข้อเท็จจริงว่าหลักการตัดสินความถูกผิดทางจริยธรรมนั้นผันแปรไปตามระบบวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
แต่ ประเด็นที่ว่า “จริงๆ แล้ว”
หลักการทางจริยธรรมมีลักษณะสัมพัทธ์จริงหรือไม่นั้น
เป็นเรื่องของอภิจริยศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่น
นักมานุษยวิทยาอาจพรรณนาว่ามีบางวัฒนธรรมที่ตัดสินว่าการมีภรรยาหลายคนไม่ใช่การกระทำที่ผิด
แต่ขณะเดียวกันก็มีบางวัฒนธรรมอาจที่ตัดสินว่าเป็นการกระทำที่ผิด
เมื่อเห็นข้อเท็จจริงอันหลากหลายเช่นนี้
เราอาจจะสงสัยและตั้งคำถามตามมาได้ว่าในบรรดาเกณฑ์ตัดสินที่พบเหล่านี้
เราจะตัดสินได้หรือไม่ว่า
“จริงๆ
แล้ว”
การมีภรรยาหลายคนเป็นการกระทำที่ผิดหรือไม่
เราตัดสินได้หรือไม่ว่ามีบางเกณฑ์ที่ถูกต้อง
ขณะที่เกณฑ์อื่นๆ ผิด
หรือเราต้องยอมรับว่าทุกเกณฑ์ถูกต้องหมด
ในอันที่จะตอบคำถามนี้
เราไม่อาจอาศัยข้อมูลจากการพรรณนาของนักมานุษยวิทยาได้
หากแต่ต้องอาศัยการพิจารณาระดับอภิจริยศาสตร์เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับสถานะของคุณค่าทางจริยธรรมว่ามีความเป็นสากล
หรือขึ้นอยู่กับสังคมวัฒนธรรมหรือแม้แต่กับแต่ละบุคคล
ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับแรงจูงใจทางจริยธรรมก็เป็นที่ถกเถียงกัน
นั่นคือ มีคำถามว่าถ้าบุคคลรู้ว่า
x
เป็นสิ่งที่ถูก คนจะมีแรงจูงใจที่จะทำ x
ไปพร้อมกันด้วยหรือไม่ มีทัศนะ 2
ประการต่อคำถามนี้ ทัศนะแรกเห็นว่าแรงจูงใจทางจริยธรรม
“อยู่ภายนอก”
(external)
ความรู้ว่าอะไรถูกหรือผิด ดังนั้น
แม้บุคคลจะรู้ว่าอะไรถูกหรือผิด
เขาก็จะไม่มีแรงจูงใจที่จะกระทำหรือหลีกเลี่ยงที่จะกระทำสิ่งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น
เป็นไปได้ที่บุคคลจะมีแรงจูงใจขัดแย้งกับความรู้ เช่น
ไม่มีแรงจูงใจจะกระทำสิ่งที่รู้ว่าดี เรียกทัศนะนี้ว่า
externalism อีกทัศนะนั้นตรงข้าม
คือเห็นว่าแรงจูงใจทางจริยธรรม “อยู่ภายใน”
(internal)
ความรู้ทางจริยธรรม ดังนั้น
การมีความรู้ก็เป็นการเพียงพอที่จะจูงใจให้บุคคลกระทำหรือหลีกเลี่ยงที่จะกระทำสิ่งนั้น
เรียกทัศนะนี้ว่า
internalism
สัจนิยมเชิงจริยธรรม (moral
realism)
ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่อภิจริยศาสตร์สนใจ
สัจนิยมมีความซ้อนทับกับประเด็นข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
พุทธิปัญญานิยมและปรนัยนิยม กล่าวคือ
สัจนิยมเห็นว่าจริยธรรมมีลักษณะเฉพาะต่างจากกฎเกณฑ์อื่นๆ
ข้อความทางจริยธรรมมีค่าความจริงและอ้างถึงข้อเท็จจริงทางจริยธรรมบางอย่าง
โดยข้อเท็จจริงเหล่านี้ดำรงอยู่อย่างเป็นปรนัย
ไม่ขึ้นกับบุคคลหรือบริบทใดๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ดำรงอยู่ไม่ว่ามนุษย์จะรู้หรือเชื่อหรือไม่
ซึ่งประเด็นนี้มีนัยว่าความรู้ว่าอะไรถูกผิดไม่สัมพันธ์กับแรงจูงใจทางจริยธรรม
อีกองค์ประกอบเพิ่มเติมก็คือความคิดที่ว่ามนุษย์อาจเข้าไม่ถึงหรือเข้าถึงข้อเท็จจริงทางจริยธรรมเหล่านี้ไม่ได้ทั้งหมด
จะเห็นได้ว่าสัจนิยมใช้แม่แบบจากวิทยาศาสตร์ที่เห็นว่าสิ่งที่รู้อยู่เป็นเอกเทศต่างหากไปจากผู้รู้
โดยผู้รู้อาจจะไม่สามารถค้นพบสิ่งเหล่านั้นได้ อติสัจนิยม(anti-realism)
จะปฏิเสธอย่างน้อยองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง เช่น
เห็นว่าข้อความทางจริยธรรมไม่มีค่าจริงเท็จ
เห็นว่าความจริงเท็จของข้อความทางจริยธรรมขึ้นอยู่กับบุคคล
เห็นว่าความรู้ทางจริยธรรมนำสู่แรงจูงใจทางจริยธรรมเสมอ
หรือเห็นว่าเราสามารถยืนยันความจริงเท็จทั้งหมดของข้อความทางจริยธรรมได้
นอกจากประเด็นเหล่านี้แล้ว
ยังพบการถกเถียงประเด็นทางอภิจริยศาสตร์ได้จากการถกเถียงทางจริยธรรม
หรือในการพัฒนาทฤษฎีจริยศาสตร์ในจริยศาสตร์ประยุกต์ เช่น
ในการถกเถียงเกี่ยวกับการทำแท้งนั้น
แม้จะยอมรับหลักการทางจริยธรรมบางอย่างร่วมกัน ได้แก่
“การฆ่าคนบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิด”
แต่ก็ยังต้องอาศัยอภิจริยศาสตร์เพื่อพิจารณาว่าการทำแท้งจัดเป็นการฆ่าคนบริสุทธิ์หรือไม่
เช่น
มีการตั้งคำถามที่ว่าด้วยสถานะความเป็นคนของตัวอ่อนในครรภ์
หรืออาจจะรวมถึงคำถามว่าการทำแท้งใช่การฆ่าหรือไม่
ส่วนในจริยศาสตร์ประยุกต์นั้น
ก็สามารถพบประเด็นทางอภิจริยศาสตร์ได้เช่นกัน
ในจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อม มีประเด็นสำคัญประการหนึ่ง คือ
การพิจารณาว่าอะไรคือพื้นฐานที่ช่วยให้กล่าวได้ว่าเราทำผิดจริยธรรมต่อสิ่งธรรมชาติเช่น
ป่าไม้ น้ำตก ภูเขา
หรือมีการถกเถียงเกี่ยวกับสิทธิสัตว์ว่าสัตว์มีสถานะทางจริยธรรม
(moral status)
อันจะทำให้ละเมิดมิได้หรือไม่ เป็นต้น
อีกตัวอย่างคือจริยศาสตร์ธุรกิจ
ซึ่งคำถามทางอภิจริยศาสตร์ที่สำคัญประการหนึ่งคือธุรกิจมีความสัมพันธ์กับจริยธรรมหรือไม่
เหล่านี้ก็คือตัวอย่างที่แสดงขอบเขตอันกว้างขวางของอภิจริยศาสตร์
และในปัจจุบัน
เนื่องจากจริยศาสตร์ประยุกต์มีความเคลื่อนไหวกันมาก
อภิจริยศาสตร์จึงเป็นสาขาที่มีความเคลื่อนไหวสำคัญตามไปด้วย
ปกรณ์ สิงห์สุริยา (ผู้เรียบเรียง)
เรียบเรียงจาก
· |
Copp, D. 1992. Metaethics. In L. C. Becker and
C. B. Becker (eds.). Encyclopedia of
Ethics. New York: Garland Publishing
Inc., Vol. II: 790-798. |
· |
Dancy, J. 1998. Moral Realism.
In Edward Craig (ed.).
Routledge Encyclopedia of Philosophy. [CD-Rom
Version
1.0].
|
· |
Deigh, J. 1995. Ethics. In Robert Audi (ed.).
The Cambridge Dictionary of Philosophy.
Cambridge: Cambridge University Press, pp.
244-249. |
· |
Fieser, J. 2006. Ethics. In James Fieser and
Bradley Dowden (eds.). Internet
Encyclopedia of Philosophy. [Online].
Available:
http://www.iep.utm.edu/e/ethics.htm. (Accessed
date: 2/3/2008). |
· |
Geivett, R. D. 1995. Metaethics. In J. K. Roth
(ed.).
International Encyclopedia of Ethics. London:
Fitzroy Dearborn Publishers, pp. 554-555. |
· |
Nielsen, K. 1967. Problems of Ethics. In Paul
Edwards. (ed.).
The Encyclopedia of Philosophy. New York:
Macmillan Publishing Co., Inc. & The Free Press,
Vol. III: 117-134. |
· |
Pojman, L. P. 1997.
Ethical Theories: Classical and Contemporary Readings.
3rd Edition.
Belmont, CA: Wadsworth Publishing Company.
|
· |
Railton, P.
1998. Analytic Ethics. In
Edward Craig (ed.).
Routledge Encyclopedia of
Philosophy
[CD-Rom Version
1.0].
|
· |
Taylor, P. W. 1975. Principles of Ethics.
Belmont, CA: Wadsworth Publishing Company. |
เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม
· |
วิทย์ วิศทเวทย์.
2538. จริยศาสตร์เบื้องต้น:
มนุษย์กับปัญหาจริยธรรม.
กรุงเทพฯ:
อักษรเจริญทัศน์.
(มีเนื้อหาส่วนที่ว่าด้วยอภิจริยศาสตร์โดยตรง
สามารถให้ความเข้าใจพื้นฐานได้ดี) |
· |
Moore, G. E. 1903.
Principia Ethica.
Cambridge: Cambridge University
Press.
(มีแนววิเคราะห์ที่ต่อมาทำให้เกิดเป็นสาขาอภิจริยศาสตร์ขึ้น) |
· |
Rachels, J. 1986. The Elements of Moral Philosophy.
New York: Random House.
(มีการยกตัวอย่างประกอบมาก
สามารถให้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับอภิจริยศาสตร์) |
· |
Singer, P. (ed.). 1991. A Companion to Ethics.
Oxford: Blackwell. (รวมบทความต่างๆ
ด้านจริยศาสตร์ไว้ รวมถึงที่เป็นเรื่องของอภิจริยศาสตร์) |
คำที่เกี่ยวข้อง
อัตนิยมและปรัตถนิยม /
อัชฌัตติกญาณนิยมเชิงจริยศาสตร์
Egoism and Altruism /
Ethical Intuitionism
|