1. บทนำ
ประเด็นหนึ่งที่ถกเถียงกันในสาขาอภิจริยศาสตร์ได้แก่ความจริงของการตัดสินทางจริยธรรม
(moral
judgement)
ในภาพกว้างมีกลุ่มทฤษฎีเกี่ยวกับประเด็นนี้สองกลุ่ม ได้แก่
กลุ่มที่เห็นว่าการตัดสินทางจริยธรรมว่าการกระทำหนึ่งๆ
ถูกหรือผิดนั้นให้ความรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับโลกและกลุ่มที่เห็นต่างโดยเชื่อว่าการตัดสินทางจริยธรรมเป็นเพียงการแสดงออกทางอารมณ์หรือความปรารถนาเท่านั้น
กลุ่มแรกเรียกว่า “พุทธิปัญญานิยม”
(cognitivism) และกลุ่มหลังเรียกว่า
“อพุทธิปัญญานิยม”
(non-cognitivism)
ทฤษฎีที่เป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มหลัง ได้แก่ “อารมณ์นิยม”
(emotivism)
ซึ่งเห็นว่าการตัดสินทางจริยธรรมเป็นเพียงการแสดงอารมณ์ชอบใจหรือขุ่นเคือง
(ทัศนคติเชิงจริยธรรม) และ “บัญญัตินิยม”
(prescriptivism)
ซึ่งเห็นว่าการตัดสินทางจริยธรรมเป็น “การออกคำสั่ง”
(สร้างอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้อื่น)
ว่าให้ทำหรือไม่ให้ทำอะไร
ทฤษฎีกลุ่มพุทธิปัญญานิยมยังแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มย่อย
ได้แก่ กลุ่มธรรมชาตินิยม (naturalism)
และ กลุ่มอธรรมชาตินิยม (non-naturalism)
กลุ่มแรกเห็นว่าคำว่า “ถูก”
“ผิด” “ดี”
“เลว” อันเป็น
“ภาคแสดง” (predicate)
ที่ใช้แสดงคุณสมบัติของการกระทำหลังกระบวนการตัดสินนั้นอ้างถึงสิ่งที่มีอยู่จริงในโลกธรรมชาติซึ่งเข้าถึงได้ด้วยประสาทสัมผัส
สิ่งเหล่านั้นอาจจะเป็นทัศนคติส่วนบุคคล ความเชื่อของสังคม
หรือความรู้สึกสุขทุกข์
จะเห็นได้ว่าการตัดสินทางจริยธรรมบนพื้นฐานของสิ่งเหล่านี้ให้ความรู้บางอย่างเกี่ยวกับโลกและสามารถยืนยันความจริงได้ด้วยประสาทสัมผัส(empirically
verifiable) เช่น ถ้าเชื่อว่า “ถูก”
คือ “ฉันชอบ”
(ทัศนคติส่วนบุคคล) และตัดสินว่า “การรักษาสัญญาเป็นการกระทำที่ถูก”
เราก็จะรู้ได้ว่า (ก)
ผู้ตัดสินชอบการกระทำที่เรียกว่า “รักษาสัญญา”
และ (ข)
วิธีตรวจสอบว่าการตัดสินนี้ถูกต้องหรือไม่กระทำด้วยการตรวจสอบว่าผู้ตัดสินมีทัศนคติเช่นนั้นจริงหรือไม่
เช่น สังเกตพฤติกรรม หรือถ้าเชื่อว่า “ดี”
คือ “สุข”
และตัดสินว่า “การทำทานเป็นสิ่งที่ดี”
เราก็จะรู้ได้ว่า (ก)
ผู้ตัดสินเห็นว่าการกระทำที่เรียกว่า “ทำทาน”
นำมาซึ่งความสุข และ (ข)
วิธีตรวจสอบว่าการตัดสินนี้ถูกต้องหรือไม่กระทำด้วยการพิจารณาว่า
“การทำทาน”
นำมาซึ่งความสุขหรือไม่
ทั้งนี้มีการจำแนกว่าทฤษฎีที่อยู่กลุ่มซึ่งเห็นว่าคุณสมบัติทางจริยธรรมอ้างถึงทัศนคติส่วนบุคคลหรือความเชื่อของสังคม
จะจัดเป็นประเภท
“อัตวิสัย” (subjective)
เนื่องจากความจริงของการตัดสินจะผันแปรไปตามบุคคลและสังคม
แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มที่เห็นว่าคุณสมบัติทางจริยธรรมอ้างถึงความสุขทุกข์
จะจัดเป็นประเภท “ภววิสัย”
(objective)
เนื่องจากความจริงขึ้นอยู่กับความสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นในฐานะข้อเท็จจริง
ทฤษฎีในกลุ่มอธรรมชาตินิยมเห็นว่าคุณสมบัติที่ใช้ตัดสินการกระทำนั้นไม่ได้อ้างถึงสิ่งที่มีในธรรมชาติ
แต่อ้างถึงคุณสมบัตินามธรรมที่ต้องใช้อินทรีย์ (faculty)
พิเศษบางอย่างเพื่อเข้าถึง เช่น
ผัสสะทางจริยธรรม (moral sense)
หรือ มโนธรรม โดยคุณสมบัติเหล่านี้มีอยู่อย่างภววิสัย
ตามทฤษฎีนี้ “ดี”
อ้างถึง “ความดี”
“ถูก” อ้างถึง
“ความถูกต้อง”
เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเราตัดสินว่า “การรักษาสัญญาเป็นการกระทำที่ถูก”
ก็จะหมายความว่าในตัวของการกระทำที่เรียกว่า “รักษาสัญญา”
นั้น มีคุณสมบัติทางจริยธรรมที่เรียกว่า
“ความถูกต้อง”
อยู่ด้วย
ทฤษฎีหนึ่งในกลุ่มนี้เชื่อว่าคุณสมบัติเหล่านี้สามารถรับรู้ได้โดยตรงเฉกเช่นการใช้ตารับรู้สีของวัตถุ
ใช้ลิ้นรับรู้รสผลไม้ บ้างก็ว่าคุณสมบัติเหล่านี้ “หยั่งรู้”
ได้เหมือนกับที่เรารู้ได้ทันทีว่า
“วงกลมไม่มีเหลี่ยม”
ความสามารถในการรับรู้หรือหยั่งรู้สิ่งนามธรรมอันเป็นภววิสัยได้โดยตรงเช่นนี้เรียกว่า
“อัชฌัตติกญาณ”
จึงเรียกทฤษฎีนี้ว่า “อัชฌัตติกญาณนิยม”
ทั้งนี้บางทีจะอธิบาย “อธรรมชาตินิยม”
ว่าหมายถึงทฤษฎีที่เห็นว่าคุณสมบัติทางจริยธรรมไม่อาจทอนลงเป็นคุณสมบัติทางธรรมชาติได้
เช่น ไม่อาจทอน “ดี”
ลงเป็น “สุข”
ได้
อย่างไรก็ตาม
บางทัศนะไม่เห็นด้วยที่จะเรียกทฤษฎีข้างต้นว่า
“ อัชฌัตติกญาณนิยม”
โดยให้เรียกเพียงว่า “อธรรมชาตินิยม”
เนื่องจากยังมีทฤษฎีที่เรียกว่า “อัชฌัตติกญาณนิยม”
มาก่อนในจริยศาสตร์ อาจเรียกทฤษฎีนี้ว่า
“อัชฌัตติกญาณนิยมแบบจารีต”
(traditional intuitionism)
ซึ่งเป็นเรื่องของการให้หลักฐานสนับสนุน (justification-ทั้งนี้ปกติคำนี้แปลว่า
“การให้เหตุผลสนับสนุน”
แต่ในที่นี้แปลว่า “การให้หลักฐานสนับสนุน”
เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน)
แก่ความเชื่อทางจริยธรรม
มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของการรับรู้ “สิ่ง”
ทางจริยธรรม
ทฤษฎีนี้เห็นว่าการให้หลักฐานสนับสนุนความเชื่อทางจริยธรรมไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการอนุมาน
แต่สามารถอ้างถึงอัชฌัตติกญาณเพื่อสนับสนุนได้ นั่นคือ
ความเชื่อทางจริยธรรมเป็นที่เชื่อถือได้ทันที
ถ้าความเชื่อนั้นได้มาจากอัชฌัตติกญาณ
ทั้งนี้มีข้อสังเกตอยู่สองสามประการ (ก)
บางทัศนะไม่เห็นด้วยกับการเรียก
“อัชฌัตติกญาณนิยม”
แบบแรกว่า “อธรรมชาตินิยม”
เนื่องจากทฤษฎีในกลุ่มอธรรมชาตินิยมมีมากไปกว่า “อัชฌัตติกญาณนิยม”
เช่น
บางทัศนะเห็นว่าการวิเคราะห์ในระดับอภิจริยศาสตร์จะจัดทฤษฎีของค้านท์อยู่ในกลุ่มอธรรมชาตินิยมได้
(ข) แม้อัชฌัตติกญาณนิยมแบบแรกและแบบที่สองจะคล้ายคลึงกัน
แต่อันที่จริงผู้ที่ยอมรับอัชฌัตติกญาณนิยมที่เกี่ยวกับการเข้าถึงสิ่งทางจริยธรรม
ไม่จำเป็นต้องยอมรับอัชฌัตติกญาณนิยมแบบจารีต เช่น
คนเหล่านี้อาจเห็นว่าแม้คุณสมบัติทางจริยธรรมจะเข้าถึงได้โดยตรงผ่านอัชฌัตติกญาณ
แต่การจะให้หลักฐานสนับสนุนแก่ความเชื่อทางจริยธรรมนั้น
การอ้างถึงคุณสมบัติดังกล่าวไม่นับว่าเพียงพอ
บุคคลต้องอาศัยการอนุมานเพื่อแสดงเหตุผลประกอบด้วย (ค)
ในทางตรงข้าม ผู้ที่ยอมรับ “อัชฌัตติกญาณนิยมแบบจารีต”
ต้องยอมรับอัชฌัตติกญาณนิยมแบบแรก นั่นคือ
ต้องยอมรับว่าสามารถเข้าถึงสิ่งทางจริยธรรมที่ไม่อาจทอนเป็นสิ่งธรรมชาติได้
ความคาบเกี่ยวอย่างเช่นที่กล่าวในข้อ (ค)
นี้ทำให้การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอัชฌัตติกญาณนิยมมีความซับซ้อน
2.
อัชฌัตติกญาณนิยมแบบจารีต
อัชฌัตติกญาณนิยมแบบจารีตเห็นว่ามีความเชื่อทางจริยธรรมที่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว
จึงมิได้มุ่งที่จะแสดงว่ามีสิ่งดังกล่าว
แต่พยายามแสดงว่าเราให้หลักฐานสนับสนุนความเชื่อทางจริยธรรมเหล่านี้กันอย่างไร
ทั้งนี้มีฐานคติสำคัญสามประการที่นักอัชฌัตติกญาณนิยมแบบจารีตใช้
ได้แก่ สัจนิยมเชิงจริยศาสตร์ (moral
realism) ความเป็นเอกเทศของจริยศาสตร์ และ
มูลฐานนิยม (foundationalism)
สัจนิยมเชิงจริยศาสตร์เชื่อว่ามีข้อเท็จจริงหรือคุณสมบัติทางจริยธรรมที่ดำรงอยู่เองแบบภววิสัย
เป็นอิสระจากความคิดของมนุษย์
ความเป็นเอกเทศของจริยศาสตร์คือทัศนะที่ว่าจริยศาสตร์ศึกษาข้อเท็จจริงทางจริยธรรมที่ไม่สามารถลดทอนลงเป็นข้อเท็จจริงอื่นที่ไม่ใช่จริยธรรม
เช่น "ดี" ไม่สามารถทอนลงเป็น "เป็นที่ปรารถนา" ได้
และมูลฐานนิยมเป็นทฤษฎีเชิงญาณวิทยาเกี่ยวกับการให้หลักฐานสนับสนุนความเชื่อ
ทฤษฎีนี้เห็นว่าความเชื่อประกอบด้วยสองประเภทคือ
ที่เป็นมูลฐานและที่สร้างขึ้นจากความเชื่อมูลฐานนั้น
ความเชื่อประเภทแรกไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานสนับสนุน
หรือนัยหนึ่งความเชื่อเหล่านี้เป็นหลักฐานให้แก่ตนเอง
ในขณะที่ความเชื่ออื่นที่สร้างจากความเชื่อมูลฐานต้องอาศัยความเชื่อมูลฐานเหล่านี้เป็นหลักฐานสนับสนุน
ถ้าเราเชื่อว่ามีความเชื่อทางจริยธรรมที่น่าเชื่อถือและเชื่อว่าความเชื่อทางจริยธรรมนั้นแสดงถึงสิ่งที่ดำรงอยู่จริงในโลก
อันเป็นสิ่งทางจริยธรรมโดยเฉพาะ
ไม่อาจทอนเป็นสิ่งธรรมชาติอื่นได้
ในที่สุดเราก็จะต้องเชื่อในมูลฐานนิยม นั่นคือ
เมื่อเราอธิบายให้หลักฐานสนับสนุนความเชื่อทางจริยธรรมเหล่านี้
ในที่สุดเราก็น่าจะไปถึงจุดสิ้นสุดบางอย่าง
อันได้แก่ความเชื่อทางจริยธรรมมูลฐาน มิฉะนั้น
การอธิบายก็จะถดถอยไปอย่างไม่มีสิ้นสุด (infinite
regress)
ถ้าเราต้องยอมรับการมีอยู่ของความเชื่อทางจริยธรรมมูลฐาน
ก็หมายความว่าต้องมีความเชื่อทางจริยธรรมบางอย่างที่เป็นหลักฐานให้ตนเอง
และความเชื่อทางจริยธรรมที่มีความแน่ชัดโดยไม่ต้องสงสัยนี้ก็มีทางเข้าถึงได้วิธีเดียว
คือ ผ่านอัชฌัตติกญาณ
อย่าลืมว่าความเชื่อทางจริยธรรมนี้เกี่ยวกับสิ่งที่ไม่อาจลดทอนลงเป็นสิ่งธรรมชาติอื่นๆ
ได้ ดังนั้น
จึงไม่อาจแสวงหาความเชื่อมูลฐานด้วยประสาทสัมผัสซึ่งเป็นอินทรีย์ที่ใช้รับรู้สิ่งธรรมชาติ
การโต้แย้งอัชฌัตติกญาณนิยมแบบจารีตกระทำได้โดยโจมตีที่หนึ่งในสามฐานคติ
ยกตัวอย่างเช่น
อาจโต้แย้งสัจนิยมเชิงจริยศาสตร์โดยชี้ว่าความเข้าใจโลกในปัจจุบันอันมีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญนั้นไม่มีที่อยู่ให้แก่
“คุณค่า”
ในฐานะสิ่งที่ดำรงอยู่แบบภววิสัย
ทั้งนี้การปฏิเสธฐานคตินี้ไม่จำเป็นต้องนำสู่การปฏิเสธฐานคติเรื่องความเป็นเอกเทศของจริยศาสตร์
ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีอารมณ์นิยม
ซึ่งเชื่อในความเข้าใจโลกในลักษณะดังกล่าว
แต่ยังยอมรับว่ามีบางสิ่งที่เป็นวัตถุแห่งการพิจารณาของจริยศาสตร์โดยเฉพาะ
ได้แก่ การแสดงออกซึ่งทัศนคติเฉพาะประเภทหนึ่ง เรียกว่า
“ทัศนคติเชิงจริยธรรม”
ในขณะเดียวกัน
มีทฤษฎีที่ยอมรับสัจนิยมเชิงจริยศาสตร์แต่ปฏิเสธความเป็นเอกเทศของจริยศาสตร์
นั่นก็คือ ทฤษฎีกลุ่มธรรมชาตินิยม
แม้จะไปด้วยกันได้ดีกับการมองโลก
“แบบวิทยาศาสตร์”
แต่ทฤษฎีกลุ่มนี้ก็ไม่เชิงจะปฏิเสธสัจนิยมเชิงจริยศาสตร์
ความไปด้วยกันได้ของการมองโลกและสัจนิยมนี้เป็นไปได้ก็เพราะทฤษฎีกลุ่มธรรมชาตินิยมปฏิเสธความเป็นเอกเทศของจริยศาสตร์
โดยทอนคุณสมบัติทางจริยธรรมลงเป็นคุณสมบัติทางธรรมชาติ
ทำให้กล่าวได้ว่ามี “คุณค่าทางจริยธรรม”
ดำรงอยู่
เนื่องจากคุณสมบัติทางธรรมชาติที่คุณค่าทางจริยธรรมทอนมาสู่นั้นเชื่อได้ไม่ยากว่าดำรงอยู่จริง
เช่น ความสุข หรืออีกนัยหนึ่ง
เรายังกล่าวได้ว่าทฤษฎีกลุ่มธรรมชาตินิยมยึดถือสัจนิยมเชิงจริยศาสตร์เนื่องจากทฤษฎีเหล่านี้ยืนยันว่าคุณค่าทางจริยธรรมอ้างถึงคุณสมบัติทางธรรมชาติที่ดำรงอยู่จริงในโลก
อันที่จริง
กล่าวได้ว่าความได้เปรียบจากความเข้ากันได้กับโลกทัศน์
“แบบวิทยาศาสตร์”
ของทฤษฎีกลุ่มอพุทธิปัญญานิยมและธรรมชาตินิยมนี้
ทำให้ทฤษฎีทั้งสองกลุ่มมีอิทธิพลอย่างมากในสมัยหนึ่ง
จนกระทั่ง จี. อี. มัวร์ (G. E. Moore)
ลุกขึ้นมาโต้แย้ง ทำให้เกิดเป็น “อัชฌัตติกญาณนิยม”
อีกแบบหนึ่งที่ซ้อนกับอัชฌัตติกญาณนิยมแบบจารีต
ในบริบทนี้อาจมองได้ว่าอัชฌัตติกญาณนิยมอีกแบบนี้เป็นผลของการปกป้องบางฐานคติของอัชฌัตติกญาณนิยมแบบจารีต
3.
ทุตรรกบทแบบธรรมชาตินิยม
ปัญหาที่มัวร์สนใจจริงๆ คือ
“อะไรคือความดี”
ไม่ใช่ในความหมายที่ว่า “ดี”
บ่งถึงอะไร แต่ในความหมายที่ว่า “ดี”
นิยามได้อย่างไร มัวร์เห็นว่า “ดี”
นี้เป็นคำพื้นฐานที่นิยามไม่ได้
เหมือนกับคำว่า “แดง”
เป็นต้น และในเมื่อคำนี้เป็นคำทางจริยธรรม
จึงหมายความว่าไม่สามารถทอนคำนี้ลงเป็นคำในประเภทอื่นได้
นอกจากนี้ เขายังย้ำว่า “ดี”
เป็นคำคุณศัพท์
หรืออีกนัยหนึ่งเป็นคุณสมบัติ ซึ่งใช้พรรณนาของบางสิ่ง
นี่หมายความว่าต้องแยก “ดี”
ออกจาก “สิ่งที่ดี”
(the good) เช่น ความสุข ความสวยงาม
ความฉลาด ซึ่งต่างก็พรรณนาได้ว่าเป็นสิ่งที่ดี
แต่ก็ไม่ใช่ตัว “ดี”
เอง
บนพื้นฐานความคิดเหล่านี้ มัวร์แสดงสิ่งที่เรียกว่า
“ทุตรรกบทเชิงธรรมชาตินิยม”
(naturalistic fallacy)
ซึ่งใช้วิจารณ์ความพยายามของนักธรรมชาตินิยมที่จะนิยาม
“ดี”
ด้วยคุณสมบัติในธรรมชาติ เช่น “สุข”
หรือ “สิ่งที่คนปรารถนา”
เป็นต้น
มัวร์เห็นว่าการนิยามแบบธรรมชาตินิยมเช่นนี้มิอาจทำได้
เนื่องจากเป็นการทอนคำทางจริยธรรมเป็นคำประเภทอื่น
นอกจากนี้ ถ้าเรายอมรับการทอน เช่น “ดีคือสิ่งที่คนปรารถนา”
ผลที่ได้ก็จะเป็นการทำลายการแบ่งแยกระหว่าง “ดี”
และ “สิ่งที่ดี”
ทำให้ข้อความทางจริยธรรมที่ได้เป็นประพจน์ซ้ำความ (tautology)
ยกตัวอย่าง “ดีคือสิ่งที่คนปรารถนา”
ในกรณีนี้ถ้าความดีเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่คนปรารถนา
เราก็จะสามารถนำ “สิ่งที่คนปรารถนา”
มาแทนที่ “ดี”
ได้ ซึ่งจะทำให้ได้ข้อความว่า “สิ่งที่คนปรารถนาคือสิ่งที่คนปรารถนา”
ข้อความนี้ไม่ได้บอกอะไรให้เรารู้เพิ่มเติม
นับว่าไม่ตอบสนองเป้าหมายของการนิยาม
แต่ถ้าเราต้องการหลีกเลี่ยงปัญหานี้และยืนยันความแตกต่างระหว่าง
“ดี” และ
“สิ่งที่ดี”
เราก็จะพบปัญหาจากการอ้างเหตุผลที่สำคัญอีกอย่างที่รู้จักกันดีของมัวร์
นั่นคือ เราสามารถตั้งคำถามได้ทุกครั้งว่าสิ่งที่นำมานิยาม
“ดี”
นั้นดีจริงหรือ ยกตัวอย่างนิยามเดิมว่า “ดีคือสิ่งที่คนปรารถนา”
แต่จากคำนิยามนี้
เราก็ยังถามได้เสมอว่าสิ่งที่คนปรารถนานี้ดีจริงหรือ
ถ้า
“ดี”
เป็นคุณสมบัติเชิงเดี่ยวที่ไม่สามารถทอนลงเป็นสิ่งธรรมชาติอื่นๆ
ได้ และในขณะเดียวกันเราก็เข้าใจว่า “ดี”
หมายถึงอะไร
ก็ต้องหมายความว่าเรามีวิธีเข้าถึงคุณสมบัตินี้ด้วยวิธีนอกเหนือจากที่ใช้เข้าถึงคุณสมบัติทางธรรมชาติอื่นๆ
นั่นก็คือ ผ่านอัชฌัตติกญาณ
ข้อนี้เองที่ทำให้มัวร์เป็นนักอัชฌัตติกญาณนิยม
ที่ยืนยันสัจนิยมเชิงจริยศาสตร์และความเป็นเอกเทศของจริยศาสตร์
4.
ความหลากหลายของอัชฌัตติกญาณนิยม
มีตัวแปรหลายอย่างที่กำหนดความแตกต่างในหมู่นักอัชฌัตติกญาณนิยม
( 2
ตัวแปรสุดท้ายเป็นเรื่องของอัชฌัตติกญาณแบบจารีตโดยเฉพาะ)
4.1 เนื้อหา
บ้างก็เห็นว่าสิ่งที่อัชฌัตติกญาณบอกแก่เราก็คือเรื่องที่ว่าอะไรคือสิ่งที่ดี
และบนพื้นฐานนี้ เราจึงอนุมานว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง
คนสำคัญที่คิดเช่นนี้ได้แก่มัวร์นั่นเอง
แต่ก็มีที่เห็นว่าสิ่งที่ถูกต้องคือสิ่งที่เรารู้จากอัชฌัตติกญาณด้วยเช่นกัน
หรือไม่ก็เห็นว่าอัชฌัตติกญาณบอกเราแต่ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง
เช่น เอช. เอ. พริชาร์ด (H.
A. Prichard) และ ดับเบิ้ลยู. ดี. รอส (W.
D. Ross)
4.2 ขอบเขต
บ้างก็เห็นว่าสิ่งที่อัชฌัตติกญาณบอกแก่เราเป็นเรื่องเฉพาะ
เช่น
การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นในสถานการณ์นี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
(แต่ในสถานการณ์อื่นจากเห็นว่าไม่ถูกต้องก็ได้)
กลุ่มนี้เรียกว่า
“อัชฌัตติกญาณแบบเฉพาะ”
(particular intuitionism) หรือ “อัชฌัตติกญาณแบบปัจเจก”
(individual intuitionism)
บ้างก็เห็นว่าสิ่งที่บอกคือคุณสมบัติของการกระทำประเภทต่างๆ
เช่น “การฆ่าเป็นการกระทำที่ผิด”
(หรือไม่ก็คุณสมบัติของสิ่งในประเภทต่างๆ
เช่น “ความจริงเป็นสิ่งที่ดี”)
กลุ่มนี้เรียกว่า “อัชฌัตติกญาณทั่วไป”
(general intuitionism)
แต่บ้างก็เห็นว่าสิ่งที่บอกคือความจริงของหลักการทางจริยธรรม
ซึ่งมีขอบเขตกว้างกว่าการกระทำเฉพาะและประเภทของการกระทำ
เช่น “จงอย่าใช้ผู้อื่นเป็นเครื่องมือ”
หรือ “การทำดีมีค่าเสมอ”
กลุ่มนี้เรียกว่า “อัชฌัตติกญาณสากล”
(universal intuitionism)
สองกลุ่มหลังอาจคาบเกี่ยวกันได้ เช่น
ทฤษฎีจริยศาสตร์ของรอสส์ กล่าวถึงประเภทของการกระทำ
(ได้แก่ การพูดความจริง เป็นต้น) และหลักการทางจริยธรรม
(เช่น
“จงตอบแทนความดี”)
ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ รอสส์
ยังแสดงความผันแปรอีกประการหนึ่งในทฤษฎีกลุ่มหลังนี้ คือ
เขาเห็นว่าคุณสมบัติของการกระทำแต่ละประเภทหรือหลักการทางจริยธรรมที่อัชฌัตติกญาณบอกแก่เรานี้มีความถูกผิด
“เบื้องต้น” (prima facie)
เท่านั้น
เมื่อพิจารณารายละเอียดของสถานการณ์จึงจะรู้ค่าทางจริยธรรมที่แท้จริง
(actual)
เหตุที่มีเงื่อนไขนี้ก็เพราะรอสส์ตระหนักว่าสิ่งที่มีลักษณะทั่วไปไม่อาจตอบสนองสถานการณ์เฉพาะได้เสมอไป
ยกตัวอย่างการพูดความจริง
ที่แม้จะอยู่ในประเภทของการกระทำที่ถูกต้อง
แต่ก็มิได้หมายความว่าการพูดความจริงจะเป็นการกระทำที่ถูกต้องในทุกสถานการณ์
(เช่น เมื่อพูดแล้วมีผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต)
4.3
ลักษณะของอัชฌัตติกญาณ
บ้างก็ว่าอัชฌัตติกญาณมีลักษณะคล้ายอวัยวะในการรับรู้(เช่น
ตา) เรียกว่า
“อัชฌัตติกญาณแบบการรับรู้”
(perceptual intuition)
หรืออีกชื่อที่นักปรัชญาเช่น พริชาร์ด และ โธมัส เรด (Thomas
Reid) ใช้เรียกจนเป็นที่รู้จักกันดีคือ
“ผัสสะทางจริยธรรม” (moral
sense)
ในขณะที่บ้างก็ว่าอัชฌัตติกญาณมีลักษณะแบบสติปัญญาที่
“หยั่งรู้”
ความจริงบางอย่างได้ เรียกว่า “อัชฌัตติกญาณแบบสติปัญญา”
(intellectual) นักปรัชญากลุ่มนี้มีเช่น
มัวร์ และ ริชาร์ด ไพรซ์ (Richard Price)
กลุ่มที่มีทัศนะแบบแรกเห็นว่าสิ่งที่อัชฌัตติกญาณบอกจะเป็นเรื่องของความถูกผิดในสถานการณ์เฉพาะ
ในขณะที่กลุ่มที่มีทัศนะแบบหลังเห็นว่าสิ่งที่อัชฌัตติกญาณบอกเป็นเรื่องทั่วไปมากกว่า
(ได้แก่ ประเภท หรือ หลักการ) หากเป็นเช่นนี้
กลุ่มแรกก็จะอุปนัยประเภทหรือหลักการทางจริยธรรมจากการกระทำเฉพาะ
ในขณะที่กลุ่มหลังจะนิรนัยตัดสินคุณสมบัติของการกระทำเฉพาะบนพื้นฐานประเภทหรือหลักการทั่วไป
ความแตกต่างอีกประการคือกลุ่มหลังจะกล่าวว่าคำตอบจากอัชฌัตติกญาณเป็นที่สิ้นสุด
ไม่สามารถนำมาพิจารณาด้วยเหตุผลได้
ในขณะที่กลุ่มแรกเห็นว่าคำตอบดังกล่าวสามารถนำมาพิจารณาด้วยเหตุผลได้
อย่างไรก็ตาม
ข้อนี้ไม่น่าแปลกใจถ้าพิจารณาเห็นว่ากลุ่มแรกอุปนัยประเภทหรือหลักการทั่วไปมาจากการกระทำเฉพาะอันเป็นสิ่งที่รับรู้ผ่านอัชฌัตติกญาณ
ในขณะที่กลุ่มหลังต้องใช้ประเภทหรือหลักการที่หยั่งรู้จากอัชฌัตติกญาณเป็นฐานคล้าย
“มูลบท”
สำหรับการนิรนัย
4.4
เงื่อนไขการเป็นหลักฐานสนับสนุน
ดังกล่าวแล้วว่าการตัดสินว่าอะไรถูกผิดหรือดีเลวที่ได้จากอัชฌัตติกญาณจะเป็นความเชื่อที่มีหลักฐานสนับสนุนในตัวเอง
นั่นคือ ไม่ต้องอาศัยการอนุมาน
ในประเด็นนี้มีความเห็นแตกต่างกันว่าอะไรคือเงื่อนไขที่จะทำให้สิ่งที่ได้จากอัชฌัตติกญาณนี้เป็นความเชื่อที่มีหลักฐานสนับสนุนในลักษณะดังกล่าว
บ้างเห็นว่าการตัดสินทางจริยธรรมที่อัชฌัตติกญาณบอกแก่เราจะเป็นหลักฐานสนับสนุนตนเองในฐานะความเชื่อได้ในกรณีที่บุคคลรู้สึกว่าการตัดสินนั้นมิอาจสงสัยได้
(indubitable)
ในความหมายที่ว่าเขาไม่อาจหาเหตุผลเพื่อมาตั้งข้อสงสัยข้อตัดสินนั้นได้
หรือที่เข้มงวดน้อยกว่าก็เห็นว่าบุคคลจะเชื่อในการตัดสินทางจริยธรรมที่อัชฌัตติกญาณบอกได้อย่างมีหลักฐานสนับสนุนในกรณีที่เขาเห็นว่าการตัดสินนั้นยากที่จะตั้งข้อสงสัย
หรือมีความรู้สึกว่าการตัดสินนั้นมีความน่าเชื่อถือมาก
กลุ่มแรกนี้ให้ความสำคัญกับเงื่อนไขเชิงอัตวิสัย
ในขณะเดียวกัน
มีอีกกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเงื่อนไขเชิงภววิสัย นั่นคือ
เห็นว่าการตัดสินนั้นต้องผิดไม่ได้เชิงภววิสัย (objectively
infallible)
หรือที่เข้มงวดน้อยกว่าก็เห็นว่าการตัดสินนั้นควรมีความน่าจะเป็นสูงว่าจะถูก
นอกจากนี้
ยังมีอีกกลุ่มที่เรียกร้องทั้งเงื่อนไขเชิงอัตวิสัยและภววิสัย
เช่น
เห็นว่าการตัดสินทางจริยธรรมที่ได้จากอัชฌัตติกญาณจะเป็นความเชื่อที่มีหลักฐานสนับสนุนในกรณีที่บุคคลไม่อาจสงสัยการตัดสินนั้นได้และในขณะเดียวกันการตัดสินนั้นก็ผิดไม่ได้เชิงภววิสัย
4.5
ระดับน้ำหนักของหลักฐานสนับสนุน
อัชฌัตติกญาณนิยมรุ่นเก่ามักจะเห็นว่าเพียงเป็นสิ่งที่ได้จากอัชฌัตติกญาณก็ให้หลักฐานสนับสนุนที่มีน้ำหนักเพียงพอแล้วที่ทำให้กล่าวได้ว่าบุคคล
“รู้”
ว่าการตัดสินทางจริยธรรมนั้นจริง แต่ในสมัยหลัง
มีนักอัชฌัตติกญาณนิยมที่เห็นว่าแค่นั้นยังไม่ให้น้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้กล่าวได้ว่าบุคคลมีความรู้เกี่ยวกับความถูกผิดของการกระทำหนึ่งๆ
โดยเห็นว่าความรู้จะมีได้ในกรณีที่การตัดสินทางจริยธรรมที่อัชฌัตติกญาณบอกนั้น
มี “สหนัย” (coherence)
กับการตัดสินอื่นๆ ที่ได้จากอัชฌัตติกญาณ
อย่างไรก็ตาม
ในกรณีนี้นักอัชฌัตติกญาณเพียงแต่ยืนยันว่าสหนัยทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับการตัดสินทางจริยธรรมมีหลักฐานสนับสนุนมากขึ้น
แต่ไม่ได้ยืนยันว่าสหนัยเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นต่อการมีหลักฐานสนับสนุนของความเชื่อ
หาไม่แล้วก็จะเป็นการเพิ่มองค์ประกอบเรื่องการไตร่ตรองด้วยเหตุผลเข้ามาในกระบวนการให้หลักฐานสนับสนุนความเชื่อ
อันจะเป็นการปฏิเสธอัชฌัตติกญาณนิยม (แบบจารีต)
ที่เกิดขึ้นมาได้ก็ด้วยยืนยันว่าเหตุผลไม่มีบทบาทในกระบวนการดังกล่าว
5. ข้อวิจารณ์
นอกจากจะวิจารณ์อัชฌัตติกญาณนิยมแบบจารีตโดยโจมตีที่หนึ่งในสามฐานคติ
(ได้แก่ สัจนิยมเชิงจริยศาสตร์
ความเป็นเอกเทศของจริยศาสตร์ และ มูลฐานนิยม) แล้ว
ยังมีข้อวิจารณ์อื่นๆ
ต่ออัชฌัตติกญาณนิยมที่เป็นที่รู้จักกันดี
ข้อวิจารณ์แรกก็คือความเห็นต่างทางจริยธรรมที่มีมาทุกยุคทุกสมัยและพบได้ในทุกสังคม
ถ้าอัชฌัตติกญาณมีจริง ก็ไม่น่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้
คำโต้แย้งที่คล้ายกันคือแม้ในตัวคนๆ เดียวกัน
ก็ยังพบว่าอัชฌัตติกญาณดูจะให้คำตอบขัดแย้งกัน เช่น
มีกรณีที่เราพบว่าการกระทำในสถานการณ์หนึ่งที่เคยเห็นว่าถูกนั้น
ต่อมาเรากลับเห็นว่าผิด
นักอัชฌัตติกญาณนิยมตอบว่าแม้ทุกคนจะมีอัชฌัตติกญาณ
แต่อัชฌัตติกญาณก็เหมือนกับอินทรีย์การรับรู้อื่นๆ
หรือเหมือนกับสติปัญญา
ที่ต่างก็ต้องพัฒนาเพื่อให้ทำหน้าที่ได้ดี ดังนั้น
ถ้าบุคคลขาดประสบการณ์ ไม่ได้รับการศึกษา
มีการไตร่ตรองเกี่ยวกับจริยธรรมไม่มากพอ
หรือขาดความเข้มแข็งและความเป็นกลาง
อัชฌัตติกญาณของเขาก็จะทำงานได้ไม่ดี นอกจากนี้
ยังอาจมีบุคคลอีกส่วนหนึ่งที่มีอัชฌัตติกญาณที่ไม่อาจทำงานได้
เหมือนกับบุคคลที่ทุพลภาพทางสติปัญญาหรืออวัยวะการรับรู้
ดังนั้น
การตัดสินทางจริยธรรมที่น่าเชื่อถึงจึงควรเป็นที่มาจาก
“ผู้เชี่ยวชาญทางจริยธรรม” (moral
expert) หรือ “ผู้สังเกตการณ์ทางจริยธรรมที่ปกติ”
(normal moral observer) อย่างไรก็ตาม
มีปัญหาคือเราไม่สามารถแสวงหาได้ว่าบุคคลใดบ้างที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้
เพราะว่า การจะบอกว่าใครมีอัชฌัตติกญาณที่ใช้ได้
ต้องอาศัยอีกบุคคลมาช่วยตัดสิน
ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่มีอัชฌัตติกญาณที่ใช้ได้ ดังนั้น
การจะหาผู้ตัดสินได้ ก็ต้องหาอีกบุคคลมาเป็นผู้ตัดสิน
ซึ่งก็ต้องมีอัชฌัตติกญาณที่ใช้ได้อีก
จึงเกิดการถดถอยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สาเหตุสำคัญของปัญหานี้ก็คือเราไม่มีวิธีระบุตัวผู้ที่มีอัชฌัตติกญาณที่ใช้ได้
โดยไม่ต้องอาศัยอัชฌัตติกญาณ
นอกจากคำตอบข้างต้น
นักอัชฌัตติกญาณนิยมยังอาจตอบว่าความขัดแย้งทางจริยธรรมทั้งหลายที่พบเห็นกันนั้นไม่ใช่ความขัดแย้งทางจริยธรรมที่แท้จริง
แต่เป็นความขัดแย้งเรื่องอื่น เช่น ข้อเท็จจริง
ยกตัวอย่างเช่น ในบางวัฒนธรรม
คนนำคนเฒ่าคนแก่ไปปล่อยไว้ให้เสียชีวิตในความหนาวเย็น
ในขณะที่ในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง
คนส่งคนสูงอายุไปอยู่ในความดูแลของสถานพักฟื้น
คนในทั้งสองวัฒนธรรมนี้อาจจะมีความเห็นทางจริยธรรมร่วมกันว่าควรให้สิ่งที่ดีแก่ผู้สูงอายุ
แต่มีความเห็นแตกต่างกันว่าอะไรคือสิ่งที่ดีสำหรับผู้สูงอายุ
อย่างไรก็ตาม
ปัญหาของคำตอบนี้ก็คือมีความขัดแย้งทางจริยธรรมหลายอย่างที่บุคคลรับทราบข้อเท็จจริงเหมือนกัน
แต่มีการตัดสินทางจริยธรรมที่แตกต่างกัน เช่น
กรณีการทำแท้ง
ซึ่งทุกฝ่ายมีความเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกระบวนการทางชีววิทยาของการเจริญพันธุ์และวิธีการทำแท้ง
แต่ก็ยังเห็นต่างกันว่าการทำแท้งถูกหรือผิดจริยธรรม
ข้อวิจารณ์ที่สำคัญอีกประการมีต่อประเด็นเรื่องการมีหลักฐานสนับสนุนโดยไม่อาศัยการอนุมานของความเชื่อที่ได้จากอัชฌัตติกญาณ
โดยมีการโต้แย้งว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่อาศัยการอนุมาน
เมื่อบุคคลรู้ข้อตัดสินทางจริยธรรมเกี่ยวกับการกระทำบางอย่างจากอัชฌัตติกญาณ
เขาไม่ได้มีความเชื่อทันทีว่าการกระทำนั้นมีลักษณะตามที่อัชฌัตติกญาณบอก
แต่เขาต้องอาศัยการอนุมานจากข้ออ้างว่าสิ่งที่รู้จากอัชฌัตติกญาณเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ก่อน
จึงจะสามารถมีความเชื่อได้ว่าข้อตัดสินนั้นน่าเชื่อถือ
ดังนั้น
ทุกครั้งที่มีความเชื่อเกี่ยวกับการตัดสินทางจริยธรรมตามที่รู้ผ่านอัชฌัตติกญาณ
บุคคลก็ต้องมีการอนุมานมาก่อนเสมอ
นอกจากนี้ยังมีคำวิจารณ์คล้ายคลึงกัน นั่นคือ
ไม่ว่าใครก็ตามที่อ้างว่ารู้ว่าการกระทำหนึ่งถูกหรือผิดด้วยอัชฌัตติกญาณ
เขาก็มักจะให้คำอธิบายเพิ่มเติมว่าทำไมถูกหรือผิดเช่นนั้น
การให้เหตุผลเพิ่มเติมเช่นนี้
เป็นเครื่องแสดงอยู่ในตัวเองว่าอัชฌัตติกญาณอย่างเดียวไม่สามารถเป็นพื้นฐานที่เพียงพอได้
นักอัชฌัตติกญาณนิยมตอบว่าแม้อาจเป็นไปได้ที่บุคคลจะอนุมานจากความน่าเชื่อถือของอัชฌัตติกญาณก่อนจะมีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่อัชฌัตติกญาณบอก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความเชื่อจะมีหลักฐานสนับสนุนเฉพาะเมื่อผ่านการอนุมานนั้น
เหมือนกรณีความเชื่อที่ได้จากความจำ
ซึ่งมีหลักฐานสนับสนุนได้โดยไม่ต้องอนุมานเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของความจำ
เช่นเดียวกันแม้บุคคลอาจจะอธิบายความเพิ่มเติมหลังจากอ้างอัชฌัตติกญาณ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหากขาดเหตุผลเหล่านั้นแล้ว
สิ่งที่รู้ด้วยอัชฌัตติกญาณจะขาดความน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม
คำตอบทั้งสองนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเชื่อได้ว่าอัชฌัตติกญาณมีความน่าเชื่อถือ
แต่ข้อนี้ยังเป็นปัญหาอยู่ ดังปรากฏในข้อวิจารณ์ข้อแรก
ปกรณ์ สิงห์สุริยา (ผู้เรียบเรียง)
เรียบเรียงจาก
· |
Frazier, R. L. 1998. Intuitionism. In Edward
Craig (ed.).
Routledge Encyclopedia of Philosophy.
[CD-Rom Version 1.0]. |
· |
Lillie, W. (1948). An
Introduction to Ethics.
London : Methuen. |
· |
Pojman, L. P. 1997. Ethical Theories:
Classical and Contemporary Readings. 3rd
Edition. Belmont, CA: Wadsworth Publishing
Company. |
· |
Rich, G. P. 1995. Intuitionist Ethics. In J. K.
Roth (ed.). International Encyclopedia of
Ethics. London: Fitzroy Dearborn
Publishers, pp. 453-454. |
· |
Russell, B. 1995. Intuition. In Robert Audi
(ed.).
The Cambridge Dictionary of Philosophy.
Cambridge: Cambridge University Press, p. 382.
|
· |
Klemke, E. D. 1995. Moore, G(eorge) E(dward). In
Robert Audi (ed.). The Cambridge
Dictionary of Philosophy. Cambridge:
Cambridge University Press, pp. 506-508. |
· |
Sinnott-Armstrong, W. 1992. Intuitionism. In L. C.
Becker and C. B. Becker (eds.). Encyclopedia of
Ethics. New York: Garland Publishing Inc., Vol.
II: 628-630.
|
· |
Taylor, P. W. 1975.
Principles of Ethics.
Belmont, CA: Wadsworth
Publishing Company. |
เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม
· |
Brody, B. 1970. Intuitions and Objective Moral
Knowledge. Monist 62: 446-456. (เป็นการรื้อฟื้นอัชฌัตติกญาณนิยมโดยนำมาพัฒนาเพิ่มเติมด้วยแนวคิดเรื่องสหนัย) |
· |
Dancy, J. 1983. Ethical
Particularism and Morally
Relevant Properties. Mind
92: 530-547. (เป็นการรื้อฟื้นอัชฌัตติกญาณนิยม
โดยออกข้อถกเถียงปกป้อง) |
· |
Hudson, W. D. 1967. Ethical Intuitionism.
New York: St. Martin's Press. (เป็นงานที่วิพากษ์อัชฌัตติกญาณนิยม) |
· |
Moore, G. E. 1903. Principia Ethica.
Cambridge: Cambridge University Press. (ว่าด้วยแนวคิดแบบอธรรมชาตินิยม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อถกเถียงเกี่ยวกับทุตรรกบทแบบธรรมชาตินิยม) |
· |
Prichard, H. A. 1968. Moral Obligation.
Oxford: Oxford University Press. (เป็นงานดั้งเดิมที่ให้เหตุผลสนับสนุนอัชฌัตติกญาณนิยม) |
· |
Raphael, D. D. (ed.). 1969. British
Moralists: 1650-1800. Oxford: Oxford
University Press. (รวมผลงานดั้งเดิมของนักปรัชญาคนสำคัญต่างๆ
ครอบคลุมถึงผู้สนับสนุนอัชฌัตติกญาณนิยม) |
· |
Ross. W. D. 1939. The Foundations of Ethics.
Oxford: Oxford University Press.
|
· |
Ross. W. D. 1988. The
Right and the Good.
Indianapolis: Hackett. (
งานของ
Ross
เป็นงานดั้งเดิมที่ให้เหตุผลสนับสนุนอัชฌัตติกญาณนิยม) |
คำที่เกี่ยวข้อง
อภิจริยศาสตร์
Metaethics
|