“ศาสนา”
เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับความเป็นจริงที่
“อยู่พ้นออกไป”
(transcendent) เช่น นิพพาน พระเป็นเจ้า
ปรมาตมัน ในขณะที่ “จริยธรรม”
เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง
ไม่ว่าจะในระดับปัจเจกบุคคลหรือในระดับกลุ่มคน คำว่า
"ศาสนา” และ “จริยธรรม"
ดูเหมือนจะไปกันได้ดี แต่อันที่จริง
ทั้งสองเป็นประเด็นที่มีแรงเสียดทานบางอย่างในตนเอง
ในทางหนึ่ง
คนบางกลุ่มก็มองไม่เห็นว่าศาสนาจะสามารถแยกออกจากจริยธรรมได้
แต่ในอีกทางหนึ่ง
คนอีกกลุ่มก็เห็นว่าทั้งสองไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คนกลุ่มหลังนี้จะเห็นว่าเราสามารถมีจริยธรรมได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยศาสนา
และนี่ก็คือกรอบสำคัญสำหรับการพิจารณาประเด็นนี้
ในปัจจุบันโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ปัจจัยจากความเคลื่อนไหวทางจริยธรรมในสังคม
รวมถึงความตระหนักในลักษณะพหุลักษณ์
ซึ่งต่างก็ส่งผลกระทบต่อทัศนะที่ไม่เห็นว่าศาสนาและจริยธรรมแยกจากกัน
ก่อนที่จะพิจารณาแนวทางการตอบคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและจริยธรรม
จึงควรพิจารณาเกี่ยวกับบริบทสังคมปัจจุบันเป็นเบื้องต้นก่อน
2. ศาสนากับจริยธรรมในสังคม
บทสนทนาของเปลโตเรื่อง
"ยูไธโฟร" (Euthyphro)
เป็นตัวอย่างที่ดีของแรงเสียดทานที่มีในประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและจริยธรรม
ในบทสนทนานี้ โสกราตีสทำให้ยูไธโฟรงุนงงด้วยการถามว่า
"x
เป็นการกระทำที่ดีเพราะพระเป็นเจ้าทรงรัก x"
หรือ "พระเป็นเจ้าทรงรัก
x เพราะ x
เป็นการกระทำที่ดี"
เหตุหนึ่งที่ทำให้ยูไธโฟรต้องงุนงงก็เนื่องจากเขามีฐานคติว่า
"การเป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงรัก"
กับ "การเป็นการกระทำที่ดี"
นั้น เป็นเรื่องเดียวกัน
มิอาจแยกออกจากกันได้
ฐานคตินี้ถูกโสกราตีสท้าทายด้วยการแยกทั้งสองออกจากกันและนำมาจัดวางบนความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล
ทั้งนี้ แม้ “ยูไธโฟร” จะเป็นงานที่มีมานานนับศตวรรษแล้ว
แต่ก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าการไม่แยกจริยธรรมออกจากศาสนานี้
มักเป็นมุมมองของคนที่มีแนวคิดก่อนยุคสมัยใหม่
ในขณะที่การแยกทั้งสองออกจากกัน
มักเป็นมุมมองของคนแบบสมัยใหม่
การแยกจริยธรรมออกจากศาสนานี้สามารถสืบสาวย้อนไปได้ไกลถึงยุคความรุ่งโรจน์ทางปัญญา
(the Enlightenment)
คนมักยกโลกทัศน์แบบ “secular”
มาเป็นเครื่องมือบรรยายคนสมัยใหม่นี้
โลกทัศน์ดังกล่าวอาจอธิบายได้คร่าวๆ
ว่าเป็นการให้ความหมายและจัดการสิ่งต่างๆ
ในโลกรวมถึงมิติทางจริยธรรม
โดยไม่อาศัยความเชื่อในความเป็นจริงที่อยู่พ้นออกไป
ข้อสังเกตที่ว่านี้เป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาในสังคมไทยที่มีมุมมองซ้อนทับกันอยู่
ทั้งมุมมองที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดแบบสมัยใหม่และมุมมองแบบสมัยใหม่
ทั้งนี้ เวลาที่กล่าวถึงแนวคิดก่อนยุคสมัยใหม่นั้น
ก็อาศัยบริบทอารยธรรมตะวันตกเป็นสำคัญ
คือมุ่งหมายถึงยุคกลางซึ่งศาสนามีอิทธิพลสูงต่อการมองโลก
แต่ข้อสังเกตดังกล่าวก็ยังนำมาใช้ทำความเข้าใจศาสนาในบริบทอื่นๆ
ที่ศาสนามีอิทธิพลสูงต่อการมองโลกได้
ในกรณีที่ศาสนาเหล่านั้นเป็นศาสนาที่ไม่ใช่แบบปฐมบรรพ์
(non-primal) เช่น พุทธศาสนา ศาสนาอิสลาม
ศาสนายูดาย เป็นต้น
ศาสนาเหล่านี้ยึดโยงระบบจริยธรรมของตนเข้ากับคำสอนเกี่ยวกับความเป็นจริงทางศาสนา
เช่น พระประสงค์ของพระเป็นเจ้า หรือ “กฎธรรมชาติ”
เหตุที่ต้องเป็นศาสนาที่ไม่ใช่แบบปฐมบรรพ์
(non-primal)
ก็เนื่องจากว่าการแยกศาสนาจากจริยธรรมนั้นมิใช่เป็นเรื่องเฉพาะของยุคสมัยใหม่
แต่เคยมีมาก่อนนานแล้วใน “ศาสนาปฐมบรรพ์” (primal
religion) เช่น ศาสนาของเผ่าอบอริจิน
(Aborigin) อย่างไรก็ตาม “ศาสนา”
ที่พิจารณาในที่นี้เน้นศาสนาที่ไม่ใช่แบบปฐมบรรพ์เป็นหลัก
เนื่องจากเป็นสิ่งที่คนคิดถึงเวลาที่กล่าวถึง “ศาสนา”
และเห็นกันว่ามีบทบาทและอิทธิพลอยู่ในปัจจุบัน
อาจมีแนวคิดว่าเราสามารถหาคำตอบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและจริยธรรมได้โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจที่ทันสมัยจากวิชาการสาขาที่ศึกษาศาสนาในปัจจุบัน
กล่าวคือ เราสามารถทำความเข้าใจ “ศาสนา”
ได้โดยอาศัยงานทางปรากฏการณ์วิทยาทางศาสนา
ซึ่งมีอิทธิพลในการศึกษาศาสนามาตั้งแต่สมัยแรกๆ
ที่เพิ่งมีการศึกษาศาสนาอย่างเป็นวิชาการดังที่เห็นกันในปัจจุบันและยังคงอิทธิพลอยู่แม้ถูกท้าทายด้วยกระแสความคิดหลังสมัยใหม่
ทฤษฎีปรากฏการณ์ทางศาสนาที่มีอิทธิพลสูงในปัจจุบันเป็นของ
นิเนียน สมาร์ท
(Ninian Smart)
ซึ่งเสนอว่าศาสนาประกอบด้วยมิติต่างๆ 7
ประการ ได้แก่ (1)
มิติเชิงการปฏิบัติและพิธีกรรม (2)
มิติเชิงประสบการณ์และอารมณ์ความรู้สึก (3)
มิติเชิงเรื่องเล่าและเทพปกรณัม
(4) มิติเชิงแนวคิดคำสอนและปรัชญา
(5) มิติเชิงจริยธรรมและกฎหมาย (6)
มิติเชิงสังคมและสถาบัน และ (7)
มิติเชิงวัตถุสถาน
หากพิจารณาตามกรอบทฤษฎีนี้
ก็ดูเหมือนว่าจะได้คำตอบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและจริยธรรมแล้ว
นั่นคือ จริยธรรมเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา
เนื่องจากเป็นหนึ่งในเจ็ดมิติดังว่านั้น อย่างไรก็ตาม
“จริยธรรม” ที่ว่านี้คือจริยธรรมของศาสนาเฉพาะหนึ่งๆ
ดังนั้น ตามนัยยะนี้
จริยธรรมก็จะมีหลากหลายไปตามแต่ละศาสนา
กล่าวได้ว่ามุมมองเช่นนี้เองที่ทำให้มีข้อวิจารณ์ว่าทำให้เกิดความคิดแบบสัมพัทธนิยมเชิงจริยศาสตร์ได้โดยง่าย
เนื่องจากทำให้เห็นว่ามิได้มีจริยธรรมอยู่อย่างเป็นเอกเทศ
มีแต่จริยธรรมที่ขึ้นแก่ศาสนาอันหลากหลายผันแปรไป
ซึ่งมิใช่เพียงแต่จะผันแปรแตกต่างระหว่างศาสนาเท่านั้น
แต่ยังผันแปรไปในหมู่ศาสนาเดียวกันที่อยู่ในต่างวัฒนธรรมอีกด้วย
กระนั้นก็ดี
ยังมีคำถามว่ามีเหตุผลใดที่ทำให้ควรคิดว่ามีจริยธรรมที่เป็นเอกเทศไปจากศาสนา
การพิจารณาความหมายอันซับซ้อนของ “จริยธรรม”
น่าจะให้คำตอบได้ระดับหนึ่ง
“จริยธรรม” ในที่นี้แปลจากคำภาษาอังกฤษว่า
“morality”
ในสังคมไทยซึ่งพุทธศาสนามีอิทธิพล
มักมีแรงกดดันจากฝ่ายศาสนาให้ใช้คำว่า “ศีลธรรม”
อย่างไรก็ตาม คำนี้ไม่เหมาะสม
เนื่องจากเป็นการดึงหรือจำกัดความคิดให้อยู่ในกรอบความคิดด้านศีลธรรมของพุทธศาสนาซึ่งมีกำหนดไว้อย่างชัดเจน
เช่น ศีล 5
สิ่งนี้นี้จึงขัดขวางมุมมองที่พิจารณาจริยธรรมในฐานะที่มีความเป็นเอกเทศ
ทั้งนี้แม้ว่าจะเห็นกันว่าจริยธรรมในสังคมไทยได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา
แต่ก็มีทัศนะที่แสดงให้เห็นว่าความเป็นเอกเทศของจริยธรรมนี้จำเป็น
นั่นคือ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อและประสบการณ์ที่สังคมมีอยู่
รวมถึงความเชื่อและประสบการณ์ด้านจริยธรรม
นับเป็นฐานสำคัญที่ศาสนาต้องอาศัยในการเผยแผ่คำสอน ดังนั้น
หากสังคมมิได้มีจริยธรรมเองอยู่ก่อนที่ศาสนาจะเข้ามามีอิทธิพลแล้ว
ก็จะเป็นเรื่องยากยิ่งที่ระบบจริยธรรมของศาสนาจะเข้าเชื่อมโยงสู่สังคมได้
อันที่จริง ระบบจริยธรรมของศาสนานั้น
จะแทรกซึมสู่สังคมได้ก็ผ่านทางจริยธรรมที่สังคมมีอยู่แต่เดิม
ยิ่งไปกว่านั้น
จริยธรรมของสังคมนี้เองก็มีความเข้มแข็งมิใช่น้อย
มีแรงพอที่จะคัดสรร กดดัน และ จัดรูปคำสอนทางศาสนา
ร่องรอยที่เห็นได้ชัดก็คือการนำศาสนามาสนับสนุนความคิดเรื่องคุณค่าในสังคมที่มีอยู่ก่อน
เช่น
การใช้คำสอนเรื่องกรรมเพื่อสนับสนุนระบบการประเมินค่าของสังคมที่อิงอยู่กับระบบชนชั้น
นอกจากนี้
ระบบประเมินค่าของสังคมก็แทรกซึมเข้าสู่สถาบันทางศาสนาพร้อมๆ
ไปกับระบบความคิดของสังคมนั้น
ดังปรากฏให้เห็นในสิ่งที่เรียกว่า “ขุนนางพระ” หรือ
ในปรากฏการณ์ที่แนวคิดชาตินิยมมีความเป็นหนึ่งเดียวกับสถาบันทางพุทธศาสนาในไทย
เป็นต้น
ความล้มเหลวในการมองเห็นจริยธรรมของสังคมที่ดำรงอยู่ต่างหากและมีวิถีการดำเนินไปของตัวมันเองนี้
เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายศาสนาซึ่งติดอยู่กับกรอบความคิดของตน
ไม่อาจตามทันประเด็นทางจริยธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมแต่ไม่อาจจัดให้เข้ากับเกณฑ์และประเภททางจริยธรรมที่มีสอนในศาสนาได้
อีกทั้งยังทำให้ฝ่ายศาสนาปฏิบัติตนเป็นผู้ปกป้องระบบของสังคมที่มีอยู่โดยไม่รู้ตัวในหลายๆ
กรณี
อีกคำหนึ่งที่ควรพิจารณาเมื่อกล่าวถึง “จริยธรรม”
(morality) ก็คือคำว่า “จริยศาสตร์”
(ethics)
โดยรากศัพท์แล้วทั้งสองคำนี้คล้ายคลึงกัน นั่นคือ หมายถึง
“character” โดย “morality
” มาจากภาษาลาติน (“mores”)
และ “ethics ”
มาจากภาษากรีก (“ethos”) (ทั้งนี้
“mores” ยังหมายถึง “custom”
และ “habit” ด้วย)
แต่ปกติในปรัชญา
ทั้งสองคำมีความหมายแตกต่างกัน
จริยธรรมเป็นเรื่องของการตัดสินประเมินค่าประเภทหนึ่ง
ซึ่งครอบคลุมถึงการตัดสินค่าการกระทำว่าถูกหรือผิด
และการตัดสินค่าเป้าหมายชีวิตและบุคคลว่าดีหรือเลว
หากกล่าวจากมุมมองพื้นฐานแล้ว
จริยธรรมคือการตัดสินประเมินค่าที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันหรือในสังคม
ในขณะที่จริยศาสตร์คือการใช้เหตุผลไตร่ตรองเกี่ยวกับจริยธรรม
จัดเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาโดยเรียกได้อีกอย่างว่า
“จริยปรัชญา” (moral philosophy)
ทั้งนี้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมอีกประการหนึ่งที่เกี่ยวข้อง
นั่นคือ
จริยศาสตร์กระแสหลักปัจจุบันเน้นไตร่ตรองเกี่ยวกับการประเมินค่าการกระทำ
นักปรัชญาบางส่วนจึงนิยมใช้คำว่า “morals”
มากกว่าคำว่า “morality”
เนื่องจากคำหลังนี้อาจหมายถึง “ความมีจริยธรรม” หรือ
“ความดี” (goodness) ก็ได้
ทำให้ความหมายจะโน้มเอียงไปทาง “คุณธรรม” (virtue)
อันเป็นเรื่องลักษณะของบุคคลมากกว่าจะเป็นเรื่องการตัดสินประเมินค่าการกระทำ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังใช้คำว่า “จริยศาสตร์”
ในความหมายของ “จริยปรัชญา” อยู่เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่คำว่า “ethics
” ควรแปลว่า “จริยธรรม”
การพิจารณาประเด็นนี้จะช่วยให้เห็นความเป็นเอกเทศของระบบการตัดสินคุณค่าที่มีใช้อยู่ในสังคมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
กรณียกเว้นมีในบริบทของปรัชญาเอง เช่น
ในความเคลื่อนไหวของนักปรัชญาที่ฟื้นคืนจริยศาสตร์เชิงคุณธรรม
(virtue ethics) ในปัจจุบัน
มีการใช้คำว่า “ethics ”
ในระนาบเดียวกับ “morality” คือ
มิได้ใช้ “ethics ”
ในฐานะบทวิเคราะห์ไตร่ตรองเกี่ยวกับ “morality”
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้มิใช่จุดสนใจ ณ
ที่นี้
กรณีที่จะพิจารณาเกี่ยวพันกับความเคลื่อนไหวในบริบทสังคมปัจจุบัน
มีลักษณะพิเศษหนึ่งที่สังเกตได้ในเวลานี้ กล่าวคือ
ปกติจริยธรรมในสังคมจะเกิดขึ้นเอง
แต่ขณะนี้มีการสร้างระบบจริยธรรมเพื่อบังคับใช้อย่างจงใจ
อาจเรียกได้ ณ ที่นี้ว่าเป็น “จริยธรรมประดิษฐ์” เช่น
จริยธรรมของวิชาชีพต่างๆ หรือ
ข้อบัญญัติอย่างเป็นทางการต่างๆ เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
จะเห็นได้ว่าในสมัยปัจจุบัน
การปฏิบัติงานด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญพิเศษ เช่น แพทย์
พยาบาล วิศวกร นักกฎหมาย ต่างก็มีบทบาทมากในสังคม
จึงมีผลกระทบต่อสังคมมากตามไปด้วย
จึงจำเป็นต้องกำหนดและบังคับใช้หลักปฏิบัติทางจริยธรรมร่วมกัน
อีกทั้ง ยังมีความเคลื่อนไหวที่จะทำให้ทั้งโลก
“เคารพสิทธิมนุษยชน”
ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นหลักจริยธรรมที่อาจมิได้มีอยู่อย่างชัดเจน
(หรือมิได้มีอยู่ในรูปภาษาแห่ง “สิทธิ”)
ในหลายๆ สังคมเท่านั้น
แต่ในสังคมที่มีแนวคิดนี้ปรากฏชัดก็มิได้มีความเข้าใจที่ตรงกันด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงมีการกำหนดกรอบและแนวทางการปฏิบัติต่างๆ
ขึ้นมาอย่างจงใจเพื่อเป็นแนวทางร่วมกัน
สิ่งเหล่านี้ต่างแสดงความเคลื่อนไหวทางจริยธรรมที่กล่าวได้ว่าเป็นเอกเทศจากศาสนา
อนึ่ง ที่กล่าวว่า “ethics
” ควรแปลว่า “จริยธรรม”
นี้ยังมิได้เป็นที่สิ้นสุด ยังคงมีความไม่ลงรอยกันอยู่
กล่าวคือ บางส่วนเห็นว่าในกรณีนี้ก็ยังควรแปล “ethics
” ว่า “จริยศาสตร์” อยู่
เนื่องจากการสร้างระบบอย่างจงใจน่าจะแสดงถึงองค์ประกอบของการไตร่ตรองเกี่ยวกับจริยธรรม
(morality) ได้ชัดเจน
แต่บางส่วนก็เห็นว่าควรแปลว่า “จริยธรรม”
เนื่องจากกลุ่มบุคคลหลายกลุ่มใช้ระบบที่สร้างขึ้นนี้จนกระทั่งมีลักษณะใกล้เคียงจริยธรรม
(morality) ในสังคมแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่ของการมีอิทธิพลต่อทัศนคติ
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเรื่อง “สิทธิมนุษยชน”
ที่มีหลายคนรับไว้ใช้โดยหลีกเลี่ยงการไตร่ตรองความหมายให้ชัดเจน
มุ่งใช้ตามความรู้สึกของตนและใช้ด้วยความศรัทธาแรงกล้า
อีกตัวอย่างที่แสดงความไม่ลงรอยก็คือ ในสังคมไทย
มีบางกลุ่มที่แปล “ethics ” ว่า
“จรรยา” (เช่น “จรรยาข้าราชการ”)
โดยแปลอย่างสอดคล้องกันไปว่า “code
of ethics” ก็คือ “จรรยาบรรณ” (นั่นก็คือ
“จรรยา” ที่มีการเขียนบัญญัติเพื่อบังคับใช้ ทั้งนี้คำว่า
“บรรณ” มีความหมายเกี่ยวกับหนังสือนั่นเอง เช่นที่ปรากฏใน
“สารบรรณ” “บรรณานุกรม”)
อย่างไรก็ตาม มีบางกลุ่มไม่เห็นด้วยเนื่องจากเห็นว่าคำว่า
“จรรยาบรรณ”
ควรมีความหมายถึงจริยธรรมวิชาชีพของผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับ
“หนังสือ” เช่น นักหนังสือพิมพ์ กระนั้นก็ดี
ไม่ว่าจะมีข้อถกเถียงอย่างไร
ตัวอย่างเหล่านี้ก็ช่วยแสดงถึงความเคลื่อนไหวในสังคมได้เป็นอย่างดี
ที่กล่าวมาข้างต้น
แสดงให้เห็นได้ว่าศาสนาเองก็มีระบบจริยธรรมของตน
และในขณะเดียวกันสังคมเองก็มีระบบจริยธรรมของตนเช่นกัน
ข้อนี้จริงโดยทั่วไปแม้ว่าจะดูไม่ชัดในสังคมไทยซึ่งยังคงมีลักษณะมุมมองก่อนสมัยใหม่อยู่
ดังจะเห็นได้จากการที่มีคนกลุ่มใหญ่ไม่อาจแยก “ถูก/ผิด”
ออกจาก “บุญ/บาป” ได้
แต่ก็ยังคงต้องยืนยันว่าสังคมไทยมีระบบจริยธรรมของตนเอง
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว คือ (ก)
มีร่องรอยชัดเจนของการนำคำสอนทางศาสนามารับใช้ระบบการประเมินค่าของสังคม
รวมถึงการแทรกซึมของระบบประเมินค่านั้นเข้าสู่สถาบันทางศาสนา
และ (ข)
มีความเคลื่อนไหวของ “จริยธรรมประดิษฐ์” ในสังคม
3.
แนวการพิจารณาเชิงประจักษ์
แนวทางหนึ่งที่นิยมใช้ในการตอบปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและจริยธรรมก็คือการยกตัวอย่างแย้ง
(counterexample)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อข้อสรุปที่ว่าศาสนาและจริยธรรมแยกจากกันไม่ได้
ตัวอย่างแย้งที่ว่าอยู่ในรูปข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์
ข้อโต้แย้งต่อข้อสรุปที่ว่าศาสนาและจริยธรรมแยกจากกันไม่ได้นั้น
มี
3 ประการที่สำคัญ ได้แก่ (1)
ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและจริยธรรมดูจะขึ้นอยู่กับขนบ
(convention)
หรือแม้กระทั่งภูมิหลังของศาสนิกมากกว่า
ศาสนิกบางส่วนเห็นว่าจริยธรรมนั้นจะแยกจากศาสนาไม่ได้
ยกตัวอย่าง เช่น
บางคนเห็นว่าการยืนยันว่าสิ่งใดดีเลวนั้นจำเป็นต้องอ้างถึงพระประสงค์ของพระเป็นเจ้าเสมอ
ในขณะที่ศาสนิกอีกส่วนหนึ่งเห็นว่าแม้จะศรัทธาในพระเป็นเจ้า
แต่บุคคลก็จำเป็นที่จะต้องสามารถตัดสินว่าสิ่งใดดีเลวได้ด้วยตนเอง
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ศรัทธานั้นไม่มืดบอด
ในศาสนาคริสต์ ศาสนายูดาย หรือศาสนาอิสลาม
แม้มีกรณีที่คนมักสนับสนุนความเชื่อที่ว่าการกระทำบางอย่างนั้นเรียกว่าดี
ด้วยเหตุผลที่ว่าการกระทำนั้นเป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงบัญญัติ
แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่ามีศาสนิกที่ตระหนักว่าเป็นการไม่เพียงพอที่จะตอบคำถามที่อาจจะถามต่อไปได้ว่า
“ทำไมจึงควรเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเป็นเจ้า”
ด้วยคำตอบว่า “เพราะพระองค์ทรงไว้ซึ่งความดี”
เนื่องจากเห็นว่าคำตอบนี้เป็นการทวนคำถาม นั่นคือ
ยังทำให้ถามซ้ำได้อีกว่า
“แล้วความดีของพระเป็นเจ้าที่ว่านั้น ทำไมจึงเรียกว่าดี”
การจะตอบคำถามนี้ได้จำเป็นต้องอาศัยสิ่งอื่นนอกเหนือจากการอ้างถึงพระเป็นเจ้า
ซึ่งศาสนิกเหล่านี้เชื่อว่าต้องอาศัยเหตุผลหรือมโนธรรมของตนเอง
ทั้งนี้
ความเชื่อในเหตุผลหรือมโนธรรมของตนเองนี้ไม่จำเป็นต้องขัดกับศรัทธา
เนื่องจากศาสนิกเหล่านี้อาจอธิบายว่าสมรรถนะดังกล่าวเป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงประทาน
แม้ในพุทธศาสนาเองก็มีปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
เป็นที่ชัดเจนว่าพุทธศาสนาสอนว่าพระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิ่งต่างๆ
ตามที่มันเป็น
ตรงข้ามกับศาสนาเทวนิยมข้างต้นที่มีความเชื่อว่าสิ่งต่างๆ
เป็นเช่นที่เป็นอยู่ก็ด้วยพระเป็นเจ้าทรงบัญญัติ
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงเมื่อมีคำถามว่าการกระทำหนึ่งๆ
ควรหรือไม่ควร ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของพระภิกษุหรือฆราวาส
ฝ่ายศาสนาก็มักอ้างพระพุทธพจน์ พระวินัย
หรือไม่ก็อ้างเรื่องราวต่างๆ ในพระสูตร
ในขณะที่มีศาสนิกชนหลายคนเห็นว่าการตัดสินกระทำหลายกรณีไม่จำเป็นต้องอ้างพระพุทธองค์
บุคคลต่างๆ สามารถเห็นได้เองว่าควรหรือไม่
ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดคือกรณีของพระภิกษุ
มีปรากฏการณ์ที่ทำให้เกิดคำถามว่า
“พระควรทำงานสังคมสงเคราะห์หรือไม่” หรือ
“พระสมควรเดินขบวนเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่”
ศาสนิกบางส่วนเห็นว่าควรที่จะศึกษาหาคำตอบจากพระวินัย
ในขณะที่ศาสนิกบางส่วนก็เห็นว่าสามารถตัดสินได้เองว่าควรหรือไม่ควร
(เช่น อาศัยเหตุผลเกี่ยวกับเป้าหมายการบวช
หรือหน้าที่สถาบันทางศาสนาในสังคม)
(2)
ข้อโต้แย้งต่อข้อสรุปที่ว่าศาสนาและจริยธรรมแยกจากกันไม่ได้ประการต่อไปก็คือข้อสังเกตที่ว่า
แม้ว่าศาสนาต่างๆ จะมีคำสอนแตกต่างกันออกไป
แต่ไม่ว่าศาสนาใดก็จะมีบทบัญญัติทางจริยธรรมพื้นฐานร่วมกัน
เช่น ห้ามฆ่า ห้ามทำร้าย ห้ามขโมย ห้ามโกหก
ห้ามประพฤติผิดทางเพศ
ข้อนี้น่าจะแสดงว่ามีจริยธรรมพื้นฐานสากลบางอย่างที่ไม่ขึ้นกับศาสนาที่แตกต่างกันไป
(3)
ในอีกทางหนึ่งมีข้อสังเกตว่าศาสนาต่างๆ มีความหยุ่นตัว
สามารถปรับเปลี่ยนไปตามบริบท
มาตรฐานทางจริยธรรมของศาสนานั้นก็ปรับเปลี่ยนไปตามบริบทและยุคสมัยเช่นกัน
เช่น ศาสนาคริสต์ก็เคยเป็นศาสนาของชนเผ่าฮีบรู
(Hebraic tribalism) อมาตยาธิปไตยของกรีก
(Hellenistic aristocracy)
จักรพรรดิโรมัน (Roman imperial monarchy)
ระบบราชการของคอนสแตนติน
(Constantinian bureaucracy)
อาณาจักรไรค์ที่สาม (the Third Reich)
หรือแม้กระทั่งระบบทุนนิยมสาธารณรัฐแบบอเมริกัน
(American republican capitalism)
ระบบเหล่านี้ก็มีมุมมองด้านจริยธรรมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แต่ศาสนาคริสต์ก็เข้ากลมกลืนและมีบทบาทได้เป็นอย่างดี
ประเด็นในข้อ
(3)
นี้สามารถขยายความต่อเพื่อแสดงความแยกจากกันระหว่างศาสนาและจริยธรรม
นั่นคือ
แม้จริยธรรมพื้นฐานจะค่อนข้างคงที่ดังที่กล่าวในข้อ
(2)
แต่หลายกรณีก็มีการนำศาสนามาบิดเบือนจริยธรรมนั้น
ตัวอย่างเช่น
การที่อาณาจักรไรค์ที่สามสังหารหมู่ชาวยิวโดยชี้ว่าไม่ผิดข้อห้ามฆ่าคนเนื่องจากยิวไม่ใช่คน
หรือในประเทศไทยเอง ก็เคยมีพระสอนว่า
“ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”
ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษาในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในปีพ.ศ. 2519 เป็นต้น
ลักษณะเช่นนี้ของศาสนาทำให้เกิดข้อวิจารณ์ว่าศาสนานั้นมีบทบาทในการรับใช้ฝ่ายที่มีอำนาจในสังคม
ผู้วิจารณ์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้คือ คาร์ล มาร์ก
(Karl Marx) นั่นเอง
ข้อความอมตะของมาร์กก็คือ
“ศาสนาคือกัญชาของมวลชน”
(“Religion is the opium of the people.”)
เขาเห็นว่าสังคมสร้างศาสนาขึ้นมาเพื่อรักษาโครงสร้างเดิมไว้
อันเป็นโครงสร้างที่อำนวยให้ชนชั้นบนสามารถแสวงหาประโยชน์และกดขี่ชนชั้นล่างได้
มาร์กเห็นว่าศาสนาเป็นภาพกลับหัวของสภาพความเป็นจริง
สวรรค์ในอนาคตที่ศาสนาสัญญาก็คือภาพด้านกลับของความทุกข์ยากที่ต้องเผชิญในปัจจุบัน
คนที่เชื่อในคำสัญญาของศาสนาจึงมัวแต่มุ่งหวังวันหน้า
ทำให้มองข้ามความเป็นจริงวันนี้
อีกทั้งความหวังนั้นก็เป็นทางออกกลายๆ
ต่อความหมดหวังในชีวิตปัจจุบัน ด้วยเหตุทั้งสองนี้
พวกเขาจึงไม่สนใจที่จะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมที่ไม่เป็นธรรม
ศาสนาจึงมีบทบาทในการสร้างความเข้าใจผิดแก่ประชาชน
ทำให้ประชาชนยอมรับสภาพสังคมที่เป็นอยู่
ทั้งนี้
มีประเด็นหนึ่งที่เกี่ยวข้องกันและนำมาใช้เพื่อชี้ว่าศาสนาจำเป็นต่อจริยธรรม
นั่นคือ ศาสนามีอิทธิพลในการจูงใจคนมาก
สามารถกำหนดความเชื่อและพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้คนได้
ดังจะเห็นได้ว่าสามารถแม้กระทั่งทำให้คนเชื่อมั่นได้ว่าการฆ่าผู้อื่นเป็นเรื่องไม่ผิด
หรือแม้กระทั่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ดังนั้น
บนฐานคติที่ว่าสังคม
(หรือรัฐ)
มีแนวคิดทางจริยธรรมที่ถูกต้อง
สังคมก็ควรที่จะใช้ศาสนาเพื่อช่วยส่งเสริมให้สมาชิกมีจริยธรรม
แม้เปลโตเองก็เสนอประเด็นนี้ไว้ในบทสนทนา “อุตมรัฐ”
(Republic)
ศาสนาของกรีกสมัยนั้นอยู่ในเรื่องเล่าและบทกวีของโฮเมอร์
(Homer) และฮีซอยด์
(Hesoid) เป็นต้น
เปลโตเห็นว่าเรื่องราวเหล่านี้ไม่เหมาะสมสำหรับให้การศึกษาแก่เยาวชนในอุตมรัฐ
เนื่องจากเล่าถึงเทพเจ้าที่เอาแต่ใจ ไร้จริยธรรม
หรือแม้กระทั่งเหี้ยมโหด
เปลโตเห็นว่าเทพเจ้าควรมีธรรมชาติที่ทรงไว้ซึ่งความดี
นอกจากนี้ เปลโตยังเสนอเรื่องเล่าใหม่มาแทน
โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการที่ผู้ปกครอง (ruler)
ทหาร(guardian)
และคนงาน (worker)
ต่างก็เกิดมาจากแม่ธรณี (mother earth)
ซึ่งคอยค้ำจุน สร้างสรรค์
และให้การศึกษาแก่คนเหล่านี้
เป้าหมายในการเล่าเรื่องนี้ก็เพื่อผูกพันคนทั้งหลายไว้กับผืนแผ่นดินและผูกพันคนทั้งหลายไว้ด้วยกัน
ดังนั้น
จึงเห็นได้ว่าเปลโตเชื่อว่าเรื่องราวทางศาสนาเกี่ยวกับการกำเนิดของสรรพสิ่งจะช่วยยึดโยงมนุษย์ไว้ด้วยกันเป็นชุมชนและจูงใจให้เขาเหล่านั้นปฏิบัติตามหลักจริยธรรม
กระนั้นก็ดี
จะเห็นได้ว่าความสามารถของศาสนาในการจูงใจนี้ก็มีคนนำมาใช้วิจารณ์ว่าศาสนาทำลายจริยธรรมเช่นกัน
ดังตัวอย่างเรื่องการใช้ศาสนาสนับสนุนการฆ่าคนข้างต้น
หรืออาจยกตัวอย่างอื่นๆ เช่น
การก่อการร้ายหรือการกดขี่กลุ่มคนในนามของศาสนา
แต่คำวิจารณ์ทำนองนี้ไปไกลกว่านั้น ซิกมุนด์ ฟรอยด์
(Sigmund Freud)
เป็นนักจิตวิทยาที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเสนอความคิดว่าศาสนาขัดขวางพัฒนาการทางจริยธรรมของผู้คนในสังคม
ศาสนาทำให้ผู้คนขาดความรับผิดชอบทางจริยธรรม
เนื่องจากทำให้คนทำตามจริยธรรมด้วยความกลัวการถูกลงโทษ
หรือความคาดหวังจะได้รางวัลจากพระเป็นเจ้า (หรือตามกฎแห่งกรรม)
ฟรอยด์เห็นว่าบุคคลที่มีจริยธรรมเพียงเพราะว่ากลัวหรือโลภนั้นไว้ใจไม่ได้
เนื่องจากหากความกลัวหรือความโลภนี้หมดกำลังไปเสียแล้ว
คนเหล่านี้พร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นคนไร้จริยธรรมทุกเมื่อ
นอกจากนี้
คำสัญญาของฝ่ายศาสนาเกี่ยวกับการไถ่บาปก็ทำให้บุคคลขาดความรับผิดชอบทางจริยธรรม
ประเด็นนี้มองได้ว่าครอบคลุมถึงพุทธศาสนาในสังคมไทยได้
เพราะแม้มิได้มีเป็นพุทธพจน์สอนไว้
แต่ก็มีกรณีที่บุคคลหลายคนอาศัยการทำบุญทำสังฆทาน
สร้างวัดสร้างโบสถ์ หรือแม้กระทั่งบวช
หลังจากทำบาปอย่างจงใจ เช่น เจ้าพ่อที่สั่งฆ่าคน
ด้วยเหตุผลเหล่านี้
ฟรอยด์จึงเสนอให้คนละทิ้งความเชื่อในศาสนาและทำความเข้าใจจริยธรรมด้วยเหตุผลเพื่อที่จะพัฒนาสู่สังคมใหม่อันเป็นสังคมของผู้ที่มีวุฒิภาวะทางจริยธรรม
รู้ผิดรู้ชอบด้วยเหตุผลของตนเอง หรืออีกนัยหนึ่ง
มีความเป็นตัวของตัวเองทางจริยธรรม (moral
autonomy)
4.
แนวการพิจารณาเชิงทฤษฎี
แนวทางการตอบคำถามข้างต้นเป็นแนวทางเชิงประจักษ์ นั่นคือ
มีพื้นฐานอยู่บนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปรากฏการณ์อันเกี่ยวเนื่องกับศาสนาต่างๆ
เราอาจแสวงหาแนวทางการตอบคำถามในระดับที่เป็นนามธรรมมากกว่านี้
วิธีการนี้จะมีจุดยืนแบบการทำงานเชิงทฤษฎี
มากกว่าที่จะมุ่งตอบคำถามว่าศาสนาและจริยธรรมสัมพันธ์กันหรือไม่
หรืออีกนัยหนึ่ง
เป็นแนวทางที่มุ่งพิจารณาว่าศาสนาจะเข้าสัมพันธ์กับจริยธรรมได้อย่างไร
กล่าวได้ว่าแนวทางนี้เป็นงานหนึ่งของจริยศาสตร์ศาสนา
(religious ethics)
จุดสำคัญของวิธีการนี้คือการแยกแยะองค์ประกอบเชิงสถาบันออกมาให้ชัดเจน
ซึ่งในที่นี้จะเริ่มต้นด้วยการอาศัยทฤษฎีของฟรีดริค
เฮเลอร์ (Friedrich Heiler, 1892-1967)
ในบรรดานักปรากฏการณ์วิทยาทางศาสนาทั้งหลาย
เฮเลอร์มีความโดดเด่นตรงที่นำความคิดของ รูดอล์ฟ ออตโต
(Rudolf Otto)
มาสังเคราะห์เข้ากับงานของนักปรากฏการณ์วิทยาทางศาสนาอีกแนวหนึ่งที่ต่างไปจากออตโต
นั้นคือ แนวที่เน้นการวิเคราะห์โครงสร้างของศาสนา (เช่น
นิเนียน สมาร์ท ข้างต้น)
ออตโตเห็นว่าหัวใจของศาสนาก็คือ
“สิ่งที่อยู่นอกเหนือเหตุผล” (the non-rational)
เป็นประสบการณ์เฉพาะต่อบางสิ่งที่ที่อยู่พ้นออกไป
อาจเรียกสิ่งนี้ว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” (the holy)
ประสบการณ์ทางศาสนานี้เป็นสิ่งที่มีมาก่อนคำสอนที่ซับซ้อนเป็นเหตุเป็นผลอันเกิดจากความพยายามอธิบายประสบการณ์นั้น
เฮเลอร์เห็นว่าโครงสร้างของศาสนาต่างๆ
นั้นมีประสบการณ์ทางศาสนานี้เป็นหัวใจ
เขาเสนอโครงสร้างเป็นวงแหวน
2 ชั้นล้อมรอบสิ่งนี้
วงแหวนรอบแรกซึ่งอยู่ติดกับประสบการณ์ทางศาสนาที่สุดประกอบด้วย
5 องค์ประกอบ คือ
ความคิดเกี่ยวกับพระเป็นเจ้า (concept of deity)
ความคิดเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง
(idea of creation) การวิวรณ์
(revelation) ความรอดพ้น
(salvation) และ สิ่งสุดท้ายทั้งปวง
(the last things)
วงแหวนรอบถัดมาประกอบด้วย 7
องค์ประกอบ ได้แก่ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ (sacred
object) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
(sacred space) เวลาศักดิ์สิทธิ์
(sacred time) การกระทำที่ศักดิ์สิทธิ์
(sacred action)
คำศักดิ์สิทธิ์หรือจารีตที่สืบต่อมาด้วยการเล่า
(sacred word or oral tradition)
บุคคลศักดิ์สิทธิ์ (sacred person)
และชุมชนศักดิ์สิทธิ์ (sacred community)
จะเห็นได้ว่าโครงสร้างนี้มีสิ่งที่เป็นนามธรรมที่สุดอยู่ตรงกลาง
ซึ่งค่อยๆ
เพิ่มความเป็นรูปธรรมเมื่อผ่านวงแหวนรอบแรกและมีความเป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุดเมื่อมาถึงวงแหวนรอบที่สองอันอยู่นอกสุด
ทฤษฎีของเฮเลอร์จึงมีข้อดีกว่าของสมาร์ทตรงที่ทำให้เห็นตำแหน่งความสำคัญขององค์ประกอบต่างๆ
อย่างไรก็ตาม
สำหรับมิติทางจริยธรรมในทฤษฎีของเฮเลอร์นั้นจะไม่ชัดเจนเท่าของสมาร์ท
เนื่องจากมีอยู่กระจายไปในองค์ประกอบต่างๆ เช่น
“การวิวรณ์” ความรอดพ้น” “คำศักดิ์สิทธิ์” หรือ
“ชุมชนศักดิ์สิทธิ์”
อนึ่ง ทฤษฎีของเฮเลอร์นี้ดูเหมือนไม่ครอบคลุมทุกศาสนา
แต่ในอันที่จริงไม่ใช่เช่นนั้น เช่น ในส่วนของ
“ความคิดเกี่ยวกับพระเป็นเจ้า” ดูเหมือนจะไม่มีในพุทธศาสนา
แต่สำหรับการนำทฤษฎีไปใช้นั้น
จะครอบคลุมถึงการปฏิเสธองค์ประกอบด้วย ดังนั้น
พุทธศาสนาที่ปฏิเสธความสำคัญของพระเป็นเจ้า
ก็นับได้ว่ามีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับพระเป็นเจ้า
นอกจากนี้ คำต่างๆ แม้ดูจะมีกลิ่นอายของศาสนาคริสต์ เช่น
“วิวรณ์” หรือ “รอดพ้น”
แต่คงต้องไม่ลืมว่าทฤษฎีนี้มีไว้สำหรับศึกษาศาสนาอย่างเป็นวิชาการ
คำที่ใช้จึงเป็น
“ศัพท์เทคนิค”
ที่มีความหมายเฉพาะ
ไม่ได้มีความหมายคงเดิมอย่างที่เคยมีในบริบทของศาสนาที่นับถือพระเป็นเจ้า
ดังนั้น “วิวรณ์”
จึงครอบคลุมถึงการสั่งสอนธรรมของพระพุทธองค์ได้ เป็นต้น
การขัดเกลาเพื่อไม่ให้มีกลิ่นอายเช่นนี้ปรากฏชัดแล้วในทฤษฎีของสมาร์ทซึ่งเป็นนักปรากฏการณ์วิทยาทางศาสนาในยุคหลัง
คือ ยุคร่วมสมัยนี้
โครงสร้างที่เฮเลอร์เสนอนี้ช่วยให้เห็นว่าศาสนามีส่วนที่เป็นแก่นแท้
อันได้แก่ ประสบการณ์ทางศาสนา
หากจะกล่าวในภาษาเฉพาะของศาสนาต่างๆ
ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นการเข้าถึงพระเป็นเจ้า
หรือการบรรลุธรรม เป็นต้น ความพยายามที่จะ “จัดการ”
กับประสบการณ์เช่นนี้ปรากฏเป็นคำสอนต่างๆ
อันเป็นวงแหวนรอบแรกและความพยายามที่จะรักษาความเชื่อมโยงกับความเป็นจริงที่เคยมีประสบการณ์และจัดระบบเป็นคำสอนนี้
ก็ปรากฏเป็นวงแหวนรอบสองซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสถาบันหรือองค์กร
ศาสนาในฐานะแก่นแท้และศาสนาในฐานะองค์กรจึงมองได้ว่าเป็นคนละส่วนกัน
ส่วนของคำสอนอันเป็นวงแหวนอยู่ตรงกลางนั้นอยู่ท่ามกลางแรงดึงระหว่างการเข้าถึงความเป็นจริงทางศาสนาอันเชื่อว่าเป็นสากลและองค์กรทางศาสนาอันยึดโยงอยู่กับบริบทของเวลาและสถานที่
ความติดกับบริบทนี้เห็นได้ง่ายจากองค์ประกอบ
“วัตถุศักดิ์สิทธิ์” หรือ ศาสนวัตถุ ตัวอย่างเช่น
พระพุทธรูปซึ่งมีรูปแบบแตกต่างกันไปตามยุคสมัยและถิ่นที่
ข้อวิจารณ์ที่ว่าศาสนาบั่นทอนจริยธรรมในรูปแบบต่างๆ
ไม่ว่าจะชักจูงให้คนทำผิดจริยธรรมหรือขัดขวางพัฒนาการทางจริยธรรมของบุคคล
ก็ล้วนมองได้ว่ามีเป้าหมายอยู่ที่ศาสนาในฐานะองค์กรเป็นสำคัญ
ดังนั้น
การเพ่งพิจารณาศาสนาในฐานะองค์กรในความสัมพันธ์กับส่วนแก่นแท้และคำสอนในศาสนาของตนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ทั้งนี้เนื่องจากศาสนาในฐานะองค์กรนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
ได้รับอิทธิพลต่างๆ จากสังคม
หรือแม้กระทั่งถูกสังคมเข้าแทรกซึมเพื่อใช้อำนาจจากฝ่ายศาสนา
การก่อรูปองค์กรจึงย่อมบิดผันจากหลักคำสอนดั้งเดิมไปได้ด้วยอำนาจการเมือง
เศรษฐกิจและสังคมนี้
การเพ่งพิจารณานี้ไม่อาจทำได้อย่างสมบูรณ์
จึงต้องอาศัยท่าทีเชิงวิพากษ์ตรวจสอบตนเองอย่างต่อเนื่อง
การวิพากษ์ตนเองนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในศาสนาแต่มีปรากฏอยู่ในสถาบันศาสนามาตลอด
อาจกล่าวได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่ทำให้สถาบันศาสนาดำรงอยู่และมีพัฒนาการ
และการวิพากษ์ตนเองนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
นอกจากแรงกดดันจากสังคมและการเมืองที่เข้ามาใช้ประโยชน์จากศาสนาแล้ว
ก็ยังมีแรงต้านจากผู้ที่อยู่ในสถาบันศาสนาเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักบวชหรือพระสงฆ์
ที่ได้รับประโยชน์จากโครงสร้างองค์กรในเวลานั้น
อย่างไรก็ตาม
การศึกษาการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบริบททางสังคมและวัฒนธรรมกับศาสนานี้
ไม่จำเป็นต้องมองในแง่การตรวจสอบตนเองเสมอไป ในหลายกรณี
การศึกษาการปฏิสัมพันธ์ดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาเชิงข้ามวัฒนธรรม
(cross-culture)
ก็ช่วยให้เข้าใจศักยภาพเชิงความหมายของคำสอนที่ปรากฏเป็นจริงในลักษณะต่างๆ
ในบริบทที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะในเชิงเวลาหรือสถานที่
เป็นมุมมองที่ช่วยให้เห็นว่าการปฏิสัมพันธ์กับบริบททางสังคมวัฒนธรรมนั้นก็มีบทบาทช่วยให้ศาสนางอกงามเช่นกัน
หากมองศาสนาในฐานะคำสอนเป็นสำคัญ
ก็จะได้แนวทางการพิจารณาอีกแบบซึ่งมุ่งในเชิงทฤษฎีมากกว่าเรื่องข้อเท็จจริง
อนึ่ง
แนวทางนี้จำเป็นต้องดำเนินไปพร้อมกับการเพ่งพิจารณาตนเองของฝ่ายศาสนาดังกล่าวข้างต้น
มิฉะนั้น
ก็จะเกิดความสับสนปนเปว่าอิทธิพลทางสังคมที่เข้ามาแทรกซึมอยู่คือความคิดของศาสนาเสียเอง
ศาสนาจะเข้าสัมพันธ์กับจริยธรรมได้อย่างไร ประการแรก
แม้จะยอมรับว่าศาสนาบอกมนุษย์เกี่ยวกับความถูกผิดทางจริยธรรม
แต่คงยืนยันไม่ได้ว่าศาสนาบอกให้มนุษย์รู้เกี่ยวกับความถูกผิดทางจริยธรรมทั้งหมดทุกประเภท
มีคุณค่าทางจริยธรรมบางอย่างเท่านั้นที่ศาสนาสั่งสอนและตรงกับที่มีอยู่ในสังคม
จุดที่ทั้งสองซ้อนทับกันนี้เองที่อาจเป็นโอกาสที่จะพิจารณาว่าศาสนาจะให้ความลุ่มลึก
ขยายความเข้าใจ
ให้จุดเน้นหรือลำดับความสำคัญแก่คุณค่าทางจริยธรรมที่มีบทบาทอยู่ในสังคมอย่างไร
คำอธิบายที่ศาสนาให้แก่คุณค่าทางจริยธรรมนั้นย่อมมีความชัดเจนและเป็นระบบในระดับหนึ่ง
อีกทั้งยังสามารถสืบสาวสู่ความคิดทางศาสนาในฝ่ายอภิปรัชญาหรือญาณวิทยาได้
ประการต่อไป จริยธรรมส่วนที่มิได้ซ้อนทับกันนั้น
ศาสนาจะนำเสนอคำสอนของตนเพื่อตอบสนองสถานการณ์ทางสังคมอย่างไร
(เช่น
กรณีของสังคมที่เห็นความรุนแรงเป็นวิถีปฏิบัติ
ในขณะที่ศาสนาในสังคมมีแนวคิดเรื่องอหิงสา)
และศาสนาจะเข้าสัมพันธ์กับแนวคิดทางจริยธรรมที่ไม่ปรากฏในศาสนาอย่างไร
(เช่น เรื่อง “สิทธิมนุษยชน”)
แน่นอนพื้นที่การทำงานของศาสนาอีกแห่งหนึ่งก็คือการร่วมสร้างคุณูปการในการค้นหาความเข้าใจหรือทางออกทางจริยธรรมที่สังคมเผชิญ
(เช่น
เรื่องความตายและการตายที่เป็นประเด็นทางการแพทย์ ในปัจจุบัน)
หากกระทำเช่นนี้ได้
ศาสนาก็จะมีพลังสามารถตอบข้อวิจารณ์ที่ตั้งมาก่อนได้เกี่ยวกับ
“ความเป็นตัวของตัวเองทางจริยธรรม”
การนำคำสอนทางศาสนาเข้ามามีส่วนร่วมกับความเคลื่อนไหวทางจริยธรรมของสังคมมีข้อดีประการหนึ่งตรงที่ช่วยให้ศาสนิกซึ่งคุ้นเคยกับระบบคิดของศาสนา
มากกว่าที่จะเป็นระบบคิดแบบจริยศาสตร์ตะวันตกนั้น
สามารถไตร่ตรองเกี่ยวกับประเด็นทางจริยธรรมต่างๆ
ได้อย่างเข้าอกเข้าใจ มีความมั่นใจและมีส่วนร่วมมากขึ้น
การมีพื้นฐานสำหรับไตร่ตรองได้เองนี้
ก็เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ส่งเสริมความเป็นตัวของตัวเองทางจริยธรรม
นอกจากนี้ ศาสนายังมีเรื่องเล่าต่างๆ
มีตัวอย่างมากมายเกี่ยวกับการรับมือสถานการณ์ทางจริยธรรม
เรื่องเล่ามีอำนาจในการสื่อความหมายและกระตุ้นการไตร่ตรองทางจริยธรรมเป็นอย่างดี
การใช้เรื่องเล่าควบคู่กับการไตร่ตรองบนพื้นฐานคำสอนทางศาสนาตามกรอบการเข้าสัมพันธ์กับจริยธรรมที่มีชีวิตอยู่ในสังคมตามที่เสนอข้างต้น
จึงเป็นอีกทางหนึ่งในการปฏิสัมพันธ์กับความเข้าใจทางจริยธรรมของผู้คนในสังคม
จุดแข็งของแนวทางนี้ก็คือช่วยให้ความมั่นใจว่าจริยธรรมมีรากฐานอยู่บนความเป็นจริงบางอย่างที่เป็นสากล
เช่น พระประสงค์ของพระเป็นเจ้า หรือกฎแห่งกรรม
แต่จุดแข็งนี้ก็เป็นจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่มีความตระหนักสูงในเรื่องความเป็นพหุลักษณ์ของสังคม
ทั้งนี้เพราะว่าแม้ศาสนาต่างๆ จะกล่าวอ้างถึงความเป็นสากล
แต่เมื่อศาสนาต่างๆ มาอยู่ร่วมกัน
ก็จะเห็นได้ชัดว่าจริยธรรมที่มีรากฐานมาจากคำสอนของศาสนาหนึ่งก็จะมี
“ป้ายชื่อ” ติดไว้ชัดว่าเป็นของศาสนานั้น มิใช่ศาสนาอื่น
จริยธรรมที่ทำให้ลุ่มลึกแล้วหรือแง่มุมใหม่ทางจริยธรรมที่เสนอโดยอาศัยคำสอนของศาสนานี้จึงดูจะมีความหมายก็เฉพาะกับศาสนิกเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม
มิใช่จะเป็นเรื่องของการปิดกั้นตนเองไปจากศาสนาอื่นทั้งหมด
เนื่องจากศาสนาต่างๆ ในสังคมเดียวกัน
อาจใช้การเข้าสัมพันธ์กับจริยธรรมในสังคมเดียวกันนี้เพื่อเป็นตัวกลางสำหรับส่งเสริมการเสวนาระหว่างกัน
อันจะเพิ่มความเข้าใจศาสนาอื่น ความเข้าใจตนเอง
รวมถึงความตื่นตัวทางจริยธรรมในสังคม
ปกรณ์ สิงห์สุริยา (ผู้เรียบเรียง)
เรียบเรียงจาก
· |
Annas, J. 1992. Ethics and Morality. In L. C.
Becker and C. B. Becker (eds).
Encyclopedia of Ethics. New York:
Garland Publishing Inc., Vol. I: 329-331. |
· |
Green, R. M. 1987. Religion and
Morality. In M. Eliade (ed.).
The Encyclopedia of Religion. New York:
Macmillan Publishing Company,
Vol. 10: 92-106. |
· |
Helm, P. 1992. Religion. In L. C. Becker and C.
B. Becker (eds). Encyclopedia of Ethics.
New York: Garland Publishing Inc., Vol. II:
1080-1083. |
· |
Jones III, J. F. 1995. Religion.
In J. K. Roth (ed.). International
Encyclopedia of Ethics. London: Fitzroy
Dearborn Publishers, 734-738. |
· |
MacKenzie, P. R. 1994. Otto, Wach and Heiler:
Towards a Systematic Phenomenology of Religion.
Diskus 2
(1): 29-24. |
· |
Michael, R. 1998. Marx, Karl (1818-83). In
Edward Craig (ed.). Routledge Encyclopedia
of Philosophy. [CD-Rom Version 1.0]. |
· |
Mouw, R. J. 1998. Religion and Morality. In Edward Craig
(ed.). Routledge Encyclopedia of Philosophy.
[CD-Rom Version 1.0].
|
เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม
·
สุวรรณา สถาอานันท์.
2536.
ปรัชญาพุทธทาสภิกขุกับมหายานธรรม.
กรุงเทพฯ :
โครงการเผยแพร่ผลงานวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (มีกรอบแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับการแบ่งแยกระหว่าง
“พุทธธรรม” และ “พุทธวัฒนธรรม”
เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับนักวิชาการชาวพุทธ)
·
สมภาร พรมทา. 2541.
พุทธศาสนากับปัญหาจริยศาสตร์:
โสเภณี ทำแท้ง และการุณยฆาต.
กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (เป็นแบบอย่างที่ดีของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับประเด็นจริยธรรมต่างๆ
ในสังคม)
·
Cogley, J. 1968. Religion in the Secular Age.
New York: New American Library. (ว่าด้วยสถานะโดยรวมของศาสนาในยุคสมัยใหม่
ช่วยให้เห็นบริบทของมุมมองแบบ “secular ”
ได้ชัดเจน)
·
Hauerwas, S. and MacIntyre, A. (eds.). 1983.
Revisions: Changing Perspectives in Moral Philosophy.
Notre Dame, IN: University of Notre Dame Press. (รวมบทความสำคัญๆ
ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและจริยธรรมในบริบทร่วมสมัย
ซึ่งครอบคลุมถึงภาวะหลังสมัยใหม่)
·
Niebuhr, H. R. 1951. Christ and Culture.
New York: Harper. (ว่าด้วยแม่แบบต่างๆ
ของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวัฒนธรรม
แม้จะมุ่งศึกษาคริสต์ศาสนาและมิได้เจาะจงที่เรื่องจริยธรรม
แต่สามารถช่วยให้กรอบความคิดได้ดี)
·
Otto, R. 1936. The Idea of the Holy: An Inquiry
into the Idea of the Divine and its Relation to the
Rational. Translated by John W. Harvey. Oxford:
Oxford University Press. (เป็นงานดั้งเดิมที่มีความริเริ่มและยังเป็นที่กล่าวถึง
ว่าด้วยบทบาทของประสบการณ์ทางศาสนาที่ถูกบดบังไว้ด้วยระบบคำสอนที่พัฒนาด้วยหลักเหตุผล)
·
Plato. 1963. Collected Dialogues. Edith
Hamilton and Huntington Cairns (eds.). Princeton:
Princeton University Press. (มีบทสนทนาของเปลโตเรื่อง
“Euthyphro” และ “The
Republic”
ซึ่งเป็นงานดั้งเดิมและยังคงให้แนวพิจารณาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและจริยธรรม)
·
Smart, N. 1995. Worldviews:
Crosscultural Explorations of Human Beliefs.
Englewood Cliffs, N.J.: Prentice Hall. (เป็นบทนำที่ดีสู่การทำความเข้าใจศาสนาในมิติต่างๆ
ตามทฤษฎีของสมาร์ท
รวมถึงการทำความเข้าใจศาสนาในบริบทสังคมวัฒนธรรม)
คำที่เกี่ยวข้อง
อภิจริยศาสตร์
Metaethics
|