1.ความหมายของจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรม
คำว่า “deontology”
ที่ปรากฏในงานเขียนของ เจเรมี เบนธัม (Jeremy
Bentham) มีความหมายกว้างๆ
เกี่ยวกับการศึกษาเรื่องหน้าที่ คำว่า
“deontology” มีที่มาจากคำในภาษากรีก
2 คำคือ คำว่า “deon”
(หรือ dei)
ที่หมายถึงหน้าที่ (duty)
หรือสิ่งที่ต้องกระทำ และคำว่า “logos”
หมายถึงปัญญาหรือความรู้ ดังนั้นคำว่า
“deontology” จึงหมายถึง
ความรู้หรือปัญญาเกี่ยวกับเรื่องหน้าที่ ภายหลังคำๆ
นี้ใช้ในความหมายเฉพาะเพื่อบ่งถึงทฤษฎีจริยศาสตร์หรือกฎจริยธรรมที่มีรากฐานอยู่บนมโนทัศน์เรื่อง
“หน้าที่” (Richardson, 2006:
713)
ความหมายของคำว่าหน้าที่ในทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมจะหมายถึง
การกระทำที่ควรกระทำ มีลักษณะจำเป็น
หรือต้องกระทำโดยปราศจากเงื่อนไข (Richardson,
2006: 713) เช่น
การอธิบายถึงการกระทำที่ถูกหรือผิดว่ามีลักษณะเป็นกฎคำสั่งแบบเด็ดขาด
(categorical imperative)
ในทฤษฎีจริยศาสตร์ของค้านต์ เป็นต้น
การอธิบายความหมายของจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมอีกวิธีหนึ่งคือ
การอธิบายโดยเปรียบเทียบกับทัศนะแบบที่เน้นพิจารณาผลการกระทำ
(consequentialism)
เช่น ทฤษฎีประโยชน์นิยม (utilitarianism)
เป็นต้น
เนื่องจากจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมเป็นแนวคิดที่ปฎิเสธทัศนะแบบที่เน้นพิจารณาผลการกระทำ
ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างทั้ง 2
ทฤษฎีคือ
จริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมปฏิเสธการตัดสินความถูกต้องของการกระทำโดยพิจารณาที่ผลของการกระทำ
ทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมจะพิจารณาความถูกต้องจากลักษณะบางอย่างของตัวการกระทำเอง
เช่น
ทฤษฎีอันทรงอิทธิพลของค้านต์เห็นว่าความถูกต้องของการกระทำจะต้องพิจารณาจากเจตนาของการกระทำ
นั่นคือ คุณค่าของการกระทำจะไม่ขึ้นกับสิ่งอื่น
หรือไม่มีเจตนาจะกระทำเพื่อผลลัพธ์ใดๆ
คุณค่าทางจริยธรรมตามทฤษฎีนี้จึงไม่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์
บุคคล สถานการณ์
หรือไม่สามารถนำเอาเงื่อนไขของแต่ละบุคคลมาใช้ในการตัดสินคุณค่าทางจริยธรรมได้
จึงกล่าวได้ว่าจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมของค้านต์ต้องการให้หลักการตัดสินคุณค่าทางจริยธรรมมีลักษณะเป็นภววิสัย
(objective)
หรือมีการตัดสินคุณค่าทางจริยธรรมแยกออกจากผู้กระทำ
โดยการตัดสินคุณค่าของการกระทำจะอาศัยกฎจริยธรรมที่เป็นกฎสากล
ซึ่งหมายถึงกฎจริยธรรมเป็นกฎที่สามารถใช้ได้กับมนุษย์ทุกคนในทุกสถานการณ์
โดยไม่ต้องคำนึงถึงลักษณะเฉพาะตัวของบุคคลหรือสถานการณ์นั้นๆ
แต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น
หากการกล่าวเท็จเป็นสิ่งที่ผิดกฎจริยธรรมในรูปแบบนี้
การกล่าวเท็จก็จะเป็นการกระทำที่ผิดเสมอไม่ว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำหรือกระทำในสถานการณ์ใด
2.
ทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมของ อิมมานูเอล ค้านต์ (Immanuel
Kant)
(ก)
จงกระทำในสิ่งที่สามารถทำให้เป็นกฎสากลได้
เขาอธิบายว่าการกระทำที่ถูกต้องคือการกระทำตามคติ
(maxim)
ที่ผู้กระทำสามารถทำให้เป็นกฎสากลได้
(universalizable)
นั่นคือเป็นการกระทำที่ทุกคนสามารถปรารถนาอย่างมีเหตุผลให้ผู้อื่นเลือกกระทำได้
ตัวอย่างเช่น
การขอยืมเงินผู้อื่นโดยให้สัญญาว่าเราจะคืนเงินที่ยืมให้เขา
โดยผู้ที่ยืมรู้ดีว่าไม่สามารถคืนเงินนั้นได้
หากพิจารณาการกระทำดังกล่าวตามหลักการของค้านต์
การผิดสัญญาเป็นการกระทำที่ไม่สามารถทำให้เป็นกฎสากลได้
เนื่องจากเป็นการกระทำที่ทุกคนไม่สามารถจงใจอย่างมีเหตุผลให้ผู้อื่นเลือกกระทำได้
หากการกระทำนี้เป็นกฎสากล คือทุกคนเลือกที่จะผิดสัญญา
การทำสัญญาก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากจะไม่มีใครยอมทำสัญญากับใคร
เพราะทุกคนจะตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่ว่าหากทำสัญญาก็จะถูกละเมิดสัญญา
เหมือนกับที่ตนเองตั้งใจจะผิดสัญญา
การกระทำดังกล่าวจึงเกิดปัญหาความขัดแย้งในตัวเองขึ้น
ดังนั้น
การจงใจผิดสัญญาจึงเป็นการกระทำที่ผู้กระทำต้องการให้ตนเองทำได้เพียงคนเดียว
หรือต้องการให้ตนเป็นผู้ได้รับการยกเว้นจากการทำตามคำสั่งทางจริยธรรม
เป้าหมายของค้านต์ในการยืนยันหลักการข้อนี้คือเพื่อหลีกเลี่ยงอคติในการตัดสินเลือกกระทำ
และเพื่อที่กฎจริยธรรมจะมีลักษณะเป็นกฎสากล
(ข)
จงปฏิบัติต่อผู้อื่นในฐานะที่เขาเป็นจุดหมายในตัวเอง
และไม่ใช่เป็นวิถีไปสู่เป้าหมายใดๆ
กฎคำสั่งในข้อแรกกำหนดหลักการพื้นฐานของจริยศาสตร์ของค้านต์
ส่วนกฎข้อที่สองนี้เป็นหลักการในเชิงปฏิบัติที่กำหนดให้ปฏิบัติต่อมนุษย์ผู้อื่นในฐานะมนุษย์ที่มีเกียรติศักดิ์ศรี
และมีคุณค่าในตัวเอง ต่างจากวัตถุสิ่งของต่างๆ
และไม่ปฏิบัติต่อมนุษย์ในฐานะเป็นเครื่องมือไปสู่เป้าหมายใดๆ
การปฏิบัติต่อมนุษย์ในฐานะผู้ที่มีคุณค่าในตัวเองในที่นี้รวมถึงการที่ตัวผู้กระทำเองมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติต่อตัวเองในฐานะจุดหมายด้วย
ค้านต์อธิบายว่ามนุษย์ทุกคนมีคุณค่าในตัวเองเนื่องจากมนุษย์มีเหตุผลในการตัดสินเลือกกระทำและมีเป้าหมายเป็นของตนเอง
อลัน โดเนแกน
(Alan Donagan)
อธิบายถึงความสำคัญของคำสั่งเด็ดขาดในรูปแบบที่ 2
ว่าช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาแบบที่ตามมาจากการยอมรับจริยศาสตร์ที่เน้นพิจารณาผลการกระทำ
กล่าวคือ สำหรับจริยศาสตร์ที่เน้นพิจารณาผลการกระทำ
การลงมือฆ่าคนบริสุทธิ์ 1
คนเพื่อความอยู่รอดของคนอีก 100
คนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ (Davis,
1971: 17)
หรือสำหรับจริยศาสตร์ที่เน้นพิจารณาผลการกระทำ
ยอมให้ใช้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ของคนส่วนใหญ่มาเป็นเงื่อนไขในการทำร้ายและรังแกคนส่วนน้อยได้
ในทางตรงข้าม
สิ่งเหล่านี้ถือว่าผิดจริยธรรมหากพิจารณาว่ามนุษย์ไม่ใช่เป็นวิถีไปสู่เป้าหมายของใคร
หากแต่เป็นจุดหมายในตัวเองที่ต้องเคารพ
จากลักษณะต่างๆ
ของกฎจริยธรรมของค้านต์ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น
ทำให้มีการอธิบายว่ากฎจริยธรรมของค้านต์มีลักษณะเป็นกฎสัมบูรณ์
(absolute law) คือ
เป็นกฎไม่ผันแปรหรือขึ้นกับสิ่งอื่น เช่น
การตัดสินว่าการกล่าวเท็จเป็นสิ่งที่ไม่ดีในทุกสถานการณ์
เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
บางคนเห็นว่าความไม่ยืดหยุ่นนี้อาจมีปัญหาด้านการประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง
ตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องการทำแท้ง
ซึ่งทฤษฎีจริยศาสตร์ของค้านต์อาจเห็นว่าเป็นการฆ่าคนบริสุทธิ์และเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
เนื่องจากเป็นการกระทำที่ขัดกับกฎ (ก) นั่นคือ
ไม่สามารถทำให้คติที่ว่า “จงฆ่าผู้บริสุทธิ์”
เป็นกฎสากลได้
หรือไม่สามารถยอมรับให้ผู้ที่อยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกันกระทำได้เหมือนกันอย่างเป็นสากล
และเป็นการกระทำที่ขัดกับกฎ (ข) นั่นคือ
ผู้เป็นแม่ใช้ชีวิตของทารกในครรภ์เป็นเครื่องมือไปสู่เป้าหมายในการรักษาชีวิตของตนเอง
หรือเพื่อผลประโยชน์ด้านอื่นๆ ของตัวเอง
แต่สาเหตุของการทำแท้งก็อาจเกิดได้จากสถานการณ์ที่หลากหลาย
อาทิเช่น การทำแท้งเนื่องจากถูกข่มขืน
หรือการทำแท้งเนื่องจากปัญหาสุขภาพ
หากตัดสินการทำแท้งว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในทุกกรณีก็อาจทำให้ทฤษฎี
ตลอดจนคุณค่าด้านจริยศาสตร์แบบของค้านต์ก็ไม่สามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำแท้งได้
ในกรณีตัวอย่างอื่นๆ เช่น
การฆ่าผู้บริสุทธิ์หนึ่งคนเพื่อช่วยชีวิตของคนทั้งโลก
ทฤษฎีจริยศาสตร์ของค้านต์ก็ไม่สามารถยอมให้ฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยพิจารณาจากผลของการกระทำได้
หรือในกรณีที่มีความขัดแย้งระหว่างหน้าที่สองหน้าที่
เช่นในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างการกระทำที่ถูกต้องตามทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมสองการกระทำ
หรือที่เรียกว่าเป็นปฎิทรรศน์ของจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรม
(paradox of deontology) ตัวอย่างเช่น
มีรถบรรทุกคันหนึ่งเบรกไม่ทำงาน
คนขับรถต้องตัดสินใจเลือกระหว่างการบังคับรถบรรทุกไปชนคนหนึ่งคน
หรือหักหลบคนๆ นั้นแต่จะมีผลทำให้คนอีก 5
คนเสียชีวิตแทน ในกรณีนี้
การจะตัดสินว่าทางเลือกใดถูกต้อง
ต้องกระทำโดยไม่นำผลของการกระทำมาพิจารณา
และจะต้องคำนึงว่ามีหน้าที่ปฏิบัติกับมนุษย์เสมือนเป็นจุดหมายในตนเอง
เห็นได้ว่ากรณีเหล่านี้ทฤษฎีจริยศาสตร์ของค้านต์จะไม่มีคำตอบเพื่อคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งทางจริยธรรมได้
ดับเบิลยู.
ดี. รอส
พยายามอธิบายวิธีแก้ปัญหาที่เกิดจากการอธิบายหน้าที่ในลักษณะที่เป็นกฎสัมบูรณ์ในทฤษฎีจริยศาสตร์ของค้านต์
โดยการจำแนกหน้าที่เป็นสองชนิด คือ หน้าที่ชั้นต้น
(prima facie duty)
กับหน้าที่แท้จริง (actual duty)
หน้าที่ชั้นต้นหมายถึงหลักการทั่วไปที่ใช้ชี้นำการกระทำ
โดยปกติหากไม่มีความขัดแย้งกับหน้าที่ชั้นต้นอื่นๆ
ก็จะกลายเป็นหน้าที่แท้จริง
แต่หากเผชิญกับสถานการณ์เฉพาะที่เป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างสองหน้าที่
เช่น กรณีรถบรรทุกเบรกแตกข้างต้น
รอสเสนอว่าหน้าที่ที่มีความสำคัญมากกว่าคือหน้าที่แท้จริง
ส่วนหน้าที่ชั้นต้นอีกหน้าที่หนึ่งถือว่าไม่ใช่หน้าที่แท้จริงในสถานการณ์นี้
รอสเสนอว่าหน้าที่ในชั้นต้นที่ผู้กระทำควรยึดถือมีอยู่
7 ข้อ คือ (1)
ความซื่อสัตย์ (fidelity) (2)
การชดเชยความผิด (reparation) (3)
การรู้คุณ (gratitude) (4)
ความเที่ยงธรรม (justice) (5)
การทำประโยชน์แก่ผู้อื่น (beneficence) (6)
การพัฒนาตนเอง (self-improvement)
(7) การไม่ทำร้ายผู้อื่น
(nonmalficence)โดยไม่ได้กำหนดให้หน้าที่ใดเป็นหน้าที่สูงสุด
ข้อเสนอของรอสถูกโจมตีว่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักการของจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรม
เนื่องจากจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมอธิบายว่าหน้าที่มีลักษณะเป็นกฎสัมบูรณ์มิอาจยกเว้นได้
แต่รอสอธิบายว่าบางกรณียกเว้นการทำหน้าที่ชั้นต้นได้
3.
ทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมของนักจริยศาสตร์ร่วมสมัย
นอกจากทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมของค้านต์ที่ทรงอิทธิพลแล้ว
นักจริยศาสตร์ร่วมสมัยได้พัฒนา อธิบาย ตีความ
และขยายความลักษณะของจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรม
ซึ่งส่วนใหญ่จะดำเนินตามรอส คือ
พยายามหลีกเลี่ยงลักษณะของกฎสัมบูรณ์
เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากการอธิบายกฎจริยธรรมในลักษณะไม่ยืดหยุ่น
ในส่วนนี้จะนำเสนอการอธิบายจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมของนักจริยศาสตร์ร่วมสมัยในบางทัศนะ
นักจริยศาสตร์ร่วมสมัยส่วนหนึ่งอธิบายกฎจริยธรรมแบบจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมว่าเป็นกฎกำหนดล่วงหน้า
(prerogatives)
เพื่อใช้ควบคุมระงับการกระทำผิดก่อนที่บุคคลจะกระทำ
กฎเหล่านี้มีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์ กฎหมาย หรือบรรทัดฐาน
(norms) ต่างๆ ฟรานเซส แคมม์
(Frances Kamm)
อธิบายว่ากฎกำหนดล่วงหน้าประกอบด้วยสองลักษณะ คือ (1)
การกระทำที่ไม่ได้กระทำเพื่อให้เกิดผลดีสูงสุด และ (2)
การกระทำที่เลือกกระทำบนพื้นฐานของเหตุผลที่มีลักษณะเป็นสากล
แคมม์อธิบายว่ากฎกำหนดล่วงหน้าเป็นการคาดการณ์ถึงการกระทำที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น
มีไว้เพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกกระทำตามกฎจริยธรรม (Kamm,
2000: 207)
นักจริยศาสตร์ร่วมสมัยจึงอธิบายกฎจริยธรรมของจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมในลักษณะของการเป็นกฎที่ใช้ควบคุม
(constrain) การกระทำ
หรือมีลักษณะที่เป็นข้อห้าม (prohibition)
ไม่ให้กระทำสิ่งที่เห็นว่าไม่ถูกต้องขณะที่การกระทำนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้น
มากกว่าเป็นกฎที่กำหนดให้กระทำสิ่งใด
แนนซี แอน เดวิส
(Nancy Ann Davis)
นักจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมร่วมสมัยอีกท่านหนึ่งสรุปว่ากฎคำสั่งของจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมมีลักษณะสำคัญ
3 ประการ (Davis,
1971: 208)
คือ
(2)
นอกจากกฎจริยธรรมแบบจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมจะมีลักษณะในเชิงปฎิเสธแล้ว
เดวิสอธิบายเพิ่มเติมถึงกฎจริยธรรมแบบจริยศาสตร์เชิงหน้าที่ว่ามีขอบเขตแคบและจำกัด
(narrowly framed and bounded)
กล่าวคือจำกัดเฉพาะการควบคุมทางจริยธรรมที่มีเฉพาะผลต่อพันธกรณีทางจริยธรรมในเชิงสังคม
อันเป็นการกระทำที่มีผลกระทบต่อผู้อื่นในวงกว้าง
หรือเฉพาะการกระทำที่เป็นข้อห้ามที่เชื่อมโยงกับลักษณะของกฎคำสั่งในข้ออื่นๆ
เช่น การห้ามกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องในข้อ (1)
ซึ่งจำกัดเฉพาะกฎในเชิงปฏิเสธ
หรือป้องกันการมีความจงใจที่มุ่งหวังผลของการกระทำ
หรือเป็นความจงใจที่จะกระทำผิดกฎ (ดูข้อต่อไป)
เป็นต้น
ขอบเขตเฉพาะในที่นี้จึงหมายถึงการห้ามไม่ให้ตัดสินเลือกกระทำการกระทำ
เช่น การไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ การไม่กล่าวเท็จ
มากกว่าจะเป็นกฎคำสั่งเพื่อกำหนดให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
(3)
กฎคำสั่งของจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมจะระบุถึงความจงใจในขอบเขตแคบๆ
(narrowly directed)
เดวิสอธิบายว่า
กฎจริยธรรมของจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมกำหนดให้ผู้กระทำตั้งใจที่จะไม่กระทำสิ่งที่ผิด
มากกว่าที่จะกำหนดให้ครอบคลุมว่ามีสิ่งใดที่ต้องเลือกกระทำ
ในกรณีที่เป็นปัญหา เช่น การไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ 1 คน
ซึ่งส่งผลให้ผู้บริสุทธิ์อีก 5
คนต้องเสียชีวิตแทนนั้น
การทำตามกฎในลักษณะนี้จะหมายความว่าผู้กระทำควรตัดสินเลือกที่จะไม่ทำร้ายผู้ใด
ไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลใดๆ ก็ตาม
กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าการกระทำตามกฎแบบจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมจะระบุถึงความจงใจที่จะไม่มุ่งหวังผลของการกระทำ
และความจงใจที่จะไม่กระทำผิดกฎจริยธรรมเท่านั้น
ลักษณะในข้อที่ (3)
นี้
เป็นการระบุถึงความจงใจที่แตกต่างจากการอธิบายของแนวคิดแบบที่เน้นพิจารณาผลการกระทำ
กล่าวคือ ทฤษฎีที่เน้นพิจารณาผลการกระทำ
เน้นการความจงใจในแง่ของการหวังผลที่จะตามมาจากการกระทำ
แต่ความจงใจในความหมายของจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมเป็นความจงใจที่จะไม่กระทำผิดกฎจริยธรรม
และไม่มุ่งหวังถึงผลของการกระทำ
จริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมอธิบายว่ามีความแตกต่างระหว่างการกล่าวเท็จกับการไม่กล่าวความจริง
นั่นคือ
การกล่าวเท็จเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยความจงใจในการกระทำผิดกฎจริยธรรม
แต่การไม่กล่าวความจริงผู้ที่กระทำไม่ได้มีความจงใจที่จะละเมิดกฎจริยธรรม
หรือในกรณีการเลือกฆ่าคนบริสุทธิ์ 1
คน เพื่อช่วยชีวิตคนอีก 5
คน
ย่อมมีความจงใจที่แตกต่างจากการเลือกไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์แล้วมีผลทำให้อีก
5 คนเสียชีวิต
เนื่องจากผู้ที่กระทำไม่มีความจงใจที่จะทำผิดกฎจริยธรรม
เดวิสอธิบายว่า
การกระทำนี้ตัดสินว่าเป็นเพียงความล้มเหลวที่จะรักษาชีวิตคนอีก
5 คนเท่านั้น
4.
ปัญหาและข้อโต้แย้งที่สำคัญ
(1)
จริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมจะมีปัญหาในการอธิบายถึงชนิดของการกระทำที่ผิด
ปัญหานี้เกิดกับนักจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมบางส่วนที่ปฏิเสธการคิดเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับเหตุผลว่าทำไมการกระทำหนึ่งๆ
จึงเป็นหน้าที่
แต่นักจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมบางส่วนที่มีการเสนอทฤษฎี
เช่น ค้านต์ และรอส จะไม่ประสบปัญหานี้
นักจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมที่ไม่เสนอคำอธิบายความถูกผิดของการกระทำ
เห็นว่าหน้าที่ต่างๆ
ปรากฎในกฎจริยธรรมขั้นพื้นฐานที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
หรือเป็นการกระทำที่โดยทั่วไปยอมรับว่าเป็นสิ่งผิด เช่น
การไม่กล่าวเท็จ การไม่ฆ่าหรือไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์
เป็นต้น ผลที่ตามมาคือปัญหาการจำแนกชนิดของการกระทำที่ผิด
และปราศจากเหตุผลสนับสนุน ตัวอย่างเช่น หากตั้งคำถามว่า
ทำไมการกล่าวเท็จหรือการฆ่าผู้บริสุทธิ์จึงเป็นสิ่งผิด
จริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมก็จะไม่สามารถยกเหตุผลใดมาสนับสนุนกฎเหล่านี้ได้
โธมัส เนเกิล
(Thomas Nagel)
อธิบายว่าการระบุว่าการกระทำใดผิด
ควรพิจารณาจากการกระทำที่โดยทั่วไปยอมรับว่าผิดมาเป็นเวลานาน
เช่น หลักคำสอนในศาสนายูดาย ในศาสนาคริสต์
ข้อเสนอของเนเกิลก็สามารถตั้งคำถามต่อไปได้ว่าทำไมการกระทำเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ผิด
อีกทั้งการอธิบายโดยอ้างว่าเป็นการกระทำที่โดยทั่วไปยอมรับหรือเป็นหลักการทางศาสนา
ก็ยิ่งลดความน่าเชื่อถือของจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรม
เนื่องจากในท้ายสุด
จริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมจะกลายเป็นส่วนเกิน
เนื่องจากสามารถใช้กฎจริยธรรมในสังคมหรือศาสนาโดยไม่ต้องอาศัยจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมได้
(Davis, 1971:
211-212)
นอกจากนี้ ความพยายามแก้ปัญหาของจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรม
ดังที่ปรากฎในหัวข้อที่ผ่านมาก็ยังประสบกับความไม่ชัดเจน
ยังมีคำถามว่าเพราะเหตุใดเพียงมุ่งไม่กระทำผิด
ก็ถือว่าทำถูกต้องแล้ว ทำไมการเลือกจะไม่ละเมิดคนๆ หนึ่ง
แล้วมีผลร้ายต่อคนอีก
5 คนแทน
จึงถือเป็นความล้มเหลวที่จะช่วยชีวิตของคนอีก 5
คน แทนที่จะถือว่าเป็นความผิดทางจริยธรรม
ทำไมเพียงการไม่กล่าวเท็จ ถือว่าไม่ผิดจริยธรรม
ทำไมไม่กล่าวว่าผิดทางจริยธรรมเพราะเก็นการเก็บงำความจริงเอาไว้
หากจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมไม่มีทฤษฎีสำหรับอธิบายว่าทำไมการกระทำหนึ่งๆ
จึงไม่ถูกต้อง คำถามเหล่านี้ย่อมตอบไม่ได้ ในท้ายที่สุด
ทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมอาจเป็นเพียงกฎจริยธรรมที่กำหนดไม่ให้กระทำผิดในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ยอมรับร่วมกันเท่านั้น
เช่น การไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ไม่กล่าวเท็จ
เป็นได้แต่เพียงหลักประกันขั้นต่ำสุดของการมีจริยธรรมทางสังคม
ที่ไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้
(2)
จริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมเห็นว่าคุณค่าของการกระทำมีคุณค่าในตัวเองโดยไม่ขึ้นกับสิ่งอื่นในทุกกรณี
และห้ามไม่ให้ผู้กระทำตัดสินเลือกกระทำสิ่งต่างๆ
โดยพิจารณาจากผลที่จะได้
ถึงแม้จะรู้ดีว่าการกระทำนั้นก่อให้เกิดผลดีหรือผลร้ายก็ตาม
ท่าทีเช่นนี้ทำให้บางครั้งจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมดูจะให้คำตอบที่ไม่เหมาะสม
เช่น ถ้ากล่าวเท็จ และจะทำให้คนจำนวนมากปลอดภัย
จริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมจะเสนอแนะให้เลี่ยงการทำผิดกฎจริยธรรม
แม้ว่าจะต้องปล่อยให้คนจำนวนมากต้องเสียชีวิตก็ตาม
นอกจากนี้
ยังมีปัญหาว่าในกรณีที่ผู้กระทำรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดผลอะไรจากการกระทำของตนแล้วไม่ได้นำมาพิจารณา
จะถือว่ามีความจงใจที่จะก่อให้เกิดผลร้ายหรือไม่
ตัวอย่างเช่น ในกรณีของรถบรรทุกที่กำลังพุ่งเข้าชนคนๆ
หนึ่ง การตัดสินใจที่จะไม่ฆ่าโดยการหักหลบทั้งๆ
ที่รู้ดีอยู่แล้วว่า การหักหลบจะทำให้คนอีก 5
คนเสียชีวิตแทน
ในกรณีเช่นนี้จะอธิบายว่าผู้ที่กระทำไม่มีความจงใจทำในสิ่งที่ผิดได้อย่างไร
(Davis, 1971:
215)
ถึงการอธิบายจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมมีปัญหาและข้อโต้แย้งในการอธิบาย
แต่จริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมก็เป็นทฤษฎีที่มีความน่าสนใจหลายประการในทางจริยศาสตร์
เดวิด แมคนัฟตัน
(David McNaughton)
สรุปถึงประเด็นที่น่าสนใจทางจริยศาสตร์หลายประเด็น
อาทิเช่น
จริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมเป็นความพยายามแสวงหาคุณค่าของการกระทำจากตัวการกระทำเอง
มากกว่าจะพยายามแสวงหาคุณค่าทางจริยธรรมจากสิ่งอื่น
เช่น ผลที่เกิดขึ้นของการกระทำนั้นเอง
รวมถึงอิทธิพลของทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงกรณียธรรมได้ส่งผลต่อความคิดในเรื่องความยุติธรรมในทฤษฎีจริยศาสตร์แบบพันธสัญญาของ
จอห์น รอลส์ (John Rawls) เป็นต้น
วรเทพ ว่องสรรพการ
(ผู้เรียบเรียง)
เรียบเรียงจาก
· |
เนื่องน้อย บุณยเนตร.
2539. จริยศาสตร์ตะวันตก:
ค้านท์ มิลล์ ฮอบส์ รอลส์ ซาร์ทร์.
กรุงเทพฯ:
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. |
· |
Davis, Nancy (Ann). Contemporary Deontology. In
Peter Singer (ed.). A Companion to Ethics,
pp. 205-218 Oxford: Blackwell. |
· |
Hill, Thomas E., Jr. 2000. Kantianism. In Hugh
LaFollette (ed.). The Blackwell Guide to
Ethical Theory, pp. 227-246.
Massachusetts: Blackwell. |
· |
Johnson, Robert. 2008.
Kant’s Moral Philosophy.
In Edward N. Zalta (ed.).
Stanford Encyclopedia of Philosophy.
<URL=http://plato.stanford.edu/entries/kant-moral> |
· |
Kamm, F. M. 2000. Nonconsequentialism. In Hugh
LaFollette (ed.). The Blackwell Guide to
Ethical Theory, pp. 205-226.
Massachusetts: Blackwell. |
· |
Kant, Immanuel.
1969.
Groundwork of the Metaphysic of Morals.
H.J. Paton
(trans,
analysed).
London: Hutchinson University Library. |
· |
McNaughton, David. 1998. Deontological Ethics.
In Edward Craig (ed.). Routledge
Encyclopedia of Philosophy [CD-Rom
Version 1.0]. |
· |
Richardson, Henry S. 2006. Deontological Ethics.
In Donald M. Borchert (ed.). Encyclopedia
of Philosophy. Second edition. New York:
Macmillan, Vol. 2: 712-715. |
เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม
· |
Darwall, Stephen L.
2002.
Deontology.
Oxford:
Basil Blackwell Publishers.
(มีเนื้อหารวบรวมคำอธิบายหลักการพื้นฐานของทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงหน้าที่แบบดั้งเดิมและร่วมสมัย) |
· |
Kant, Immanuel.
1969.
Groundwork of the Metaphysic
of Morals.
H.J. Paton
(trans,
analysed).
London: Hutchinson University
Library.
(สำหรับทำความเข้าใจทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงหน้าที่ของอิมมานูเอล
คานต์เกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานทางอภิปรัชญาและญาณวิทยา) |
· |
Ross, W. D. 1930.
The Right and the Good.
Oxford: The University Press.
(ทัศนะจริยศาสตร์เชิงหน้าที่ของ ดับบลิว ดี รอส นักจริยศาสตร์เชิงหน้าที่ร่วมสมัย) |
แหล่งข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต
คำที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มทฤษฎีจริยศาสตร์ที่เน้นพิจารณาผลการกระทำ / อันตวิทยา
/
จริยศาสตร์เชิงคุณธรรม /
อัตนิยมและปรัตถนิยม
Consequentialism / Teleology
/
Virtue Ethics
/
Egoism
and Altruism
|