1.
บทนำ
การจะเข้าใจว่าปรัชญาประวัติศาสตร์คืออะไรได้
คงจะต้องทำความรู้จักกับความหมายของคำว่า
“ประวัติศาสตร์”
เสียก่อน คำว่า “ประวัติศาสตร์”
มีความหมายอย่างกว้างๆ สองนัยด้วยกัน
นัยแรกบ่งถึงชุดของเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในอดีต
ซึ่งอาจจะถอยกลับไปได้ถึงเมื่อครั้งแรกมีสังคมมนุษย์
ส่วนนัยที่สองบ่งถึงกิจกรรมทางวิชาการของสาขาวิชาใหญ่สาขาหนึ่งในทางมนุษยศาสตร์
(บางคนจัดประวัติศาสตร์ว่าเป็นสังคมศาสตร์ก็มี)
ซึ่งมีจุดหมายอยู่ที่การพยายามเข้าใจอดีตของมนุษย์
สาขาวิชาดังกล่าวพยายามสร้างหรือหาระเบียบวิธีการศึกษาเพื่อตอบคำถามที่ว่า
ในอดีตนั้นอะไรเกิดขึ้นบ้าง
สภาพแวดล้อมทางกายและทางความคิดในช่วงเวลาหนึ่งๆ
มีลักษณะอย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร
และเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เราอาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า
“ประวัติศาสตร์”
ในนัยแรกนั้น
ในแง่หนึ่งก็คือชุดของเหตุการณ์ซึ่งเป็นเป้าหมายแห่งการเข้าใจของบรรดานักประวัติศาสตร์
ส่วน “ประวัติศาสตร์”
นัยที่สองก็คือกิจกรรมทางวิชาการต่างๆ
ที่นักประวัติศาสตร์กระทำอยู่นั่นเอง
หรือหากจะลองเข้าใจความหมายของ “ประวัติศาสตร์”
โดยเชื่อมโยงกับคำว่า “อดีต”
เราก็อาจจะกล่าวได้ว่า “ประวัติศาสตร์”
นัยแรกคือตัว “อดีต” เอง ส่วนนัยที่สองคือ
“การศึกษาอดีต”
“ปรัชญาประวัติศาสตร์”
คือสาขาหนึ่งของวิชาปรัชญาที่นำวิธีการเชิงปรัชญามาศึกษา
“ประวัติศาสตร์”
ทั้งสองนัยดังที่กล่าว ดังนั้น
เราจึงสามารถจำแนกปรัชญาประวัติศาสตร์ออกได้อย่างกว้างที่สุดเป็นสองแนวด้วยกัน
ต่อไปเราจะเห็นว่าปรัชญาประวัติศาสตร์สองแนวดังกล่าว
มีความแตกต่างในหลายเรื่องและหลายระดับ
แต่ความแตกต่างอันเป็นพื้นฐานที่สุดนั้น
ก็คือความต่างกันของเป้าหมายของการศึกษา
เบื้องต้น
เราอาจอธิบายปรัชญาประวัติศาสตร์ทั้งสองแนวทางได้ดังนี้
ในแนวทางแรก
ปรัชญาประวัติศาสตร์พยายามศึกษาประวัติศาสตร์ในภาพรวมว่า
ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนั้นมีเป้าหมายหรือความหมายอันสำคัญอยู่เบื้องหลังหรือไม่
หรือมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์หรือไม่
เป็นต้น ในแนวทางที่สอง
ปรัชญาประวัติศาสตร์มุ่งวิเคราะห์ในเชิงตรรกะ เชิงมโนทัศน์
และเชิงญาณวิทยา เกี่ยวกับการเขียนประวัติศาสตร์
หรือประวัติศาสตร์นิพนธ์ (historiography)
เราอาจเปรียบเทียบลักษณะความแตกต่างของแนวทางทั้งสองว่าเหมือนกับความแตกต่างระหว่าง
“ปรัชญาธรรมชาติ”
(philosophy of nature) กับ
“ปรัชญาวิทยาศาสตร์” (philosophy
of science) กล่าวคือ
ปรัชญาธรรมชาติมุ่งศึกษา ตัว
ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ อย่างที่ปรากฏต่อเรา
ส่วนปรัชญาวิทยาศาสตร์นั้นสนใจพิจารณาศึกษา การศึกษา
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ซึ่งก็คือกิจกรรมที่นักวิทยาศาสตร์ทำกันอยู่
ในวงวิชาการมักจะเรียกการค้นคว้าเชิงปรัชญาประวัติศาสตร์ในแนวทางแรกว่า
“ปรัชญาประวัติศาสตร์เชิงคาดคะแน
หรือเชิงสาระ” (speculative
หรือ substantive philosophy of
history) และ เรียกแนวทางที่สอง“ปรัชญาประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์
หรือเชิงวิพากษ์”
(analytical หรือ critical
philosophy of history)
อย่างไรก็ตาม
การแบ่งปรัชญาประวัติศาสตร์ออกเป็นสองแนวอย่างชัดเจนนั้น
อาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าใจสภาพของปรัชญาประวัติศาสตร์อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ไม่น้อย
เนื่องจากในหลายๆ กรณี
นักปรัชญาประวัติศาสตร์ในปัจจุบันไม่ได้จำกัดความสนใจของตนไว้เพียงเฉพาะเรื่องของเป้าหมายหรือความหมายเบื้องหลังของกระบวนการทางประวัติศาสตร์โดยรวม
หรือเฉพาะเรื่องการเขียนประวัติศาสตร์อีกแล้ว
แต่ยังได้ขยับขยายความสนใจของตนออกไป
กระทั่งเชื่อมโยงกับประเด็นหรือความคิดจากสาขาอื่นๆ
ในมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เช่น ประเด็นเรื่อง
“ธรรมชาติแห่งการกระทำของมนุษย์”
ที่ศึกษาใน “เฮอร์เมนูติกส์” (hermeneutics)
หรือ “ศาสตร์แห่งการตีความ”
ตามแนวที่พัฒนาโดย วิลเฮล์ม ดิลไทย์ (Wilhelm
Dilthey)
ปัจจัยดังกล่าวได้ทำให้การถกเถียงของนักปรัชญาประวัติศาสตร์ในสิบถึงยี่สิบปีหลังมานี้
มีความซับซ้อนเกินกว่าจะแบ่งออกเป็นสองแนวทางได้อย่างเด็ดขาด
กระนั้นการการแบ่งแยกเป็นสองแนวดังกล่าวก็อาจจะมีประโยชน์อยู่ในการทำความเข้าใจปรัชญาประวัติศาสตร์ในเชิงพัฒนาการ
กล่าวคือ
ในยุคแรกเริ่มปรัชญาประวัติศาสตร์เดินตามแนวทางแบบ
“ปรัชญาประวัติศาสตร์เชิงทฤษฎี”
ในยุคต่อมาแนวทางศึกษา “ปรัชญาประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์”
จึงเกิดขึ้น
และในปัจจุบันเป็นยุคที่มีขอบข่ายของความสนใจกว้างขวางและซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม
จากนี้จะได้นำเสนอรายละเอียดของปรัชญาประวัติศาสตร์แต่ละแนวทางตามลำดับไป
2.
ปรัชญาประวัติศาสตร์เชิงทฤษฎี
บทบาทของนักประวัติศาสตร์ในยุคโบราณอาจแบ่งได้เป็นสองแนวกว้างๆ
คือ แนวทางแรกคือนักประวัติศาสตร์ที่ทำงานแบบเฮโรโดตัส (Herodotus)
นักประวัติศาสตร์เอกของกรีก
หรือซือหม่าเฉียน (Su-ma Chi’en)
นักประวัติศาสตร์เอกของจีน
นักประวัติศาสตร์ดูเหมือนกำลังบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
โดยถือว่าผู้บันทึกสามารถแยกตัวเองออกมาจากเหตุการณ์ที่บันทึกได้
ผู้บันทึกเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม
ในสมัยโบราณ การบันทึกประวัติศาสตร์มักเป็นอีกแนวทางหนึ่ง
ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มีการบันทึกเนื่องจากเล็งเห็นประโยชน์บางอย่างที่อาจมีต่อความเข้าใจตนเองของชนชาติของผู้บันทึก
การกล่าวถึงอดีตก็เพื่อให้ความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
หรือคาดคะเนสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
การเขียนประวัติศาสตร์ในลักษณะนี้ปรากฏออกมาในรูปของตำนานเกี่ยวกับการกำเนิดและความเป็นมาของชนชาติตนเสียเป็นส่วนใหญ่
ถึงแม้การบันทึกประวัติศาสตร์แบบหลังนี้จะมองว่าประวัติศาสตร์มีความหมายบางอย่าง
แต่ก็เป็นความหมายเฉพาะสำหรับชนชาติตนเท่านั้น หาใช่
“ความหมายโดยรวม”
ของประวัติศาสตร์ทั้งมวลอย่างที่นักปรัชญาประวัติศาสตร์เชิงทฤษฎีแสวงหา
รูปแบบที่เก่าแก่ที่สุดของปรัชญาประวัติศาสตร์เชิงทฤษฎี
ก็คือความเข้าใจที่ว่าบรรดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด
และที่จะเกิดขึ้นต่อไปนั้น
มีความหมายและเป้าประสงค์ที่อธิบายได้ด้วยศรัทธาทางศาสนา
นักประวัติศาสตร์ที่ทำงานบนฐานศาสนาแบบนี้ ได้แก่
บรรดานักประวัติศาสตร์ในศาสนายิวและคริสต์ในยุคโบราณ
ซึ่งมักจะอธิบายกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดว่าดำเนินไปในทิศทางที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์
ประวัติศาสตร์ของมนุษย์จึงไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
แต่เป็นสิ่งที่ผู้อื่นสร้างขึ้นเพื่อเป็นหนทางให้มนุษย์ดำเนินไปสู่ความรอดพ้น
ประวัติศาสตร์นี้อธิบายผ่านความสัมพันธ์ระหว่างพระเป็นเจ้ากับมนุษย์
ซึ่งเป็นสิ่งสร้างของพระองค์
และความหมายของประวัติศาสตร์สามารถค้นพบได้ด้วยศรัทธาและการศึกษาตีความคัมภีร์ทางศาสนา
เราอาจเรียก “ประวัติศาสตร์”
ตามแนวคิดทางศาสนานี้ได้โดยรวมๆ ว่า
“ประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์”
(sacred history)
ดังมีแนวคิดทางประวัติศาสตร์ของนักบุญออกัสติน (St.
Augustine) เป็นตัวอย่างสำคัญ
ในสมัยต่อมา
ด้วยอิทธิพลของแนวคิดมนุษย์นิยมหลังยุคกลางและความเชื่อมั่นในเหตุผลของมนุษย์ในยุคแห่งความรุ่งโรจน์
(the
Enlightenment)
การอธิบายประวัติศาสตร์แบบที่เป็นของนักปรัชญาจริงๆ
(ไม่ใช่นักบวชหรือนักการศาสนา)
เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น อย่างไรก็ดี
ปรัชญาประวัติศาสตร์ตามแนวทางแบบนักปรัชญาดังกล่าวนี้
แม้จะผูกพันกับธรรมเนียมทางปรัชญาที่เกิดขึ้นในภาคพื้นทวีปยุโรป
(Continental European philosophy)
โดยเฉพาะกับความคิดของพวกนักปรัชญาชาวเยอรมัน
แต่ก็อาจจะปฏิเสธไม่ได้ว่ายังคงได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์กับยิวอยู่ไม่น้อย
กล่าวคือ เช่นเดียวกับนักปรัชญาประวัติศาสตร์แนวศาสนา
นักปรัชญาสมัยใหม่เองก็มองประวัติศาสตร์ในฐานะของชุดของเหตุการณ์ต่างๆ
ตามลำดับเวลานับแต่อดีต
โดยชุดของเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหรือดำเนินไปในลักษณะเป็นกระบวนการ
คือ มีเป้าหมายและระเบียบแบบแผนบางอย่างอยู่เบื้องหลัง
แต่ที่ต่างออกไปคือ
ระเบียบแบบแผนเหล่านี้ไม่ในแผนการซึ่งตระเตรียมไว้โดยพระผู้เป็นเจ้า
และเป้าประสงค์นั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นความรอดพ้นทางศาสนา
อย่างไรก็ดี
นักปรัชญาที่ยังสนับสนุนศรัทธาทางศาสนาอยู่
พยายามเสนอคำตอบใหม่ที่ดูตรงตามตัวคัมภีร์น้อยลง
ขณะที่ดูเป็นเรื่องของความมีเหตุมีผลมากขึ้น เช่น
สิ่งที่ไลบ์นิซ (Leibniz)
พยายามนำเสนอไว้ในหนังสือเล่มสำคัญของเขาที่ชื่อ
Theodicy เมี่อปี ค.ศ. 1709
โดยเขาได้เสนอการตีความประวัติศาสตร์ผ่านมโนทัศน์สำคัญเรื่อง
“ความชั่วร้าย”
(evil)
และเจตจำนงของพระเป็นเจ้าที่จะจัดการกับความชั่วร้ายอย่างเป็นเหตุเป็นผล
ความพยายามที่จะเสนอการตีความประวัติศาสตร์จากพื้นฐานทางความคิดแบบเทวนิยมที่เป็นระบบมากขึ้น
มีอยู่เสมอมาแม้กระทั่งในศตวรรษที่ 20
แต่โดยรวมแล้วเราจะต้องถือว่ากระแสปรัชญาประวัติศาสตร์ในยุโรปนับแต่ยุคแห่งความรุ่งโรจน์เป็นต้นมานั้น
เกิดขึ้นจากนักคิดนอกวงการศาสนา
ดังที่กล่าวไปแล้วนักคิดเหล่านี้เชื่อว่ากระบวนการทางประวัติศาสตร์มีการขับเคลื่อนไปในทิศทางที่แน่ชัด
แต่ทิศทางดังกล่าวนั้นไม่ใช่พระประสงค์ใดๆ ของพระเป็นเจ้า
พวกเขาบางคนเชื่อว่ามนุษยชาติกำลังเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
สมบูรณ์แบบมากขึ้น กล่าวคือมี “ความก้าวหน้า”
(progress)
ซึ่งเราสามารถพบได้ผ่านการศึกษาประวัติศาสตร์
นักคิดศตวรรษที่ 18 อย่างรุสโซ (Rousseau)
และ คานต์ (Kant)
อาศัยสมมติฐานบางอย่างในเรื่องความก้าวหน้าและความมีเหตุมีผลของประวัติศาสตร์มาใช้ในการนำเสนอความคิดทางปรัชญาการเมืองของตน
แม้แต่ในงานเขียนทางเศรษฐศาสตร์ของอดัม สมิธ (Adam
Smith)
ก็ยังส่อให้เห็นความเชื่อในทิศทางแบบก้าวหน้าของมนุษย์
สิ่งที่ควรตระหนักไว้อีกเรื่องหนึ่งก็คือ
เวลาที่นักปรัชญาประวัติศาสตร์เชิงทฤษฎีศึกษาเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เหตุการณ์ใดก็ตาม
เขาย่อมมองด้วยว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ย่อยในกระบวนการใหญ่
และสามารถเข้าใจหรือมีความหมายได้ภายในกรอบแห่งกระบวนการนั้นด้วย
นักคิดคนสำคัญในกระแสปรัชญาประวัติศาสตร์แบบนี้ก็คือ วิโก้
(Vico) แฮร์เดอร์ (Herder)
และ เฮเกล (Hegel)
รวมถึงนักปรัชญาประวัติศาสตร์ยุคหลังๆ อีกจำนวนหนึ่ง
โดยจะขอให้รายละเอียดไปตามลำดับสมัยดังนี้
2.1 ปรัชญาประวัติศาสตร์ของวิโก้และแฮร์เดอร์
ภายหลังจากยุค
“ประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์”
นักปรัชญาประวัติศาสตร์ในยุคใหม่หันมาเชื่อว่าประวัติศาสตร์นั้นเป็นเรื่องของมนุษย์เอง
โดยมีประเด็นสำคัญอยู่ที่การถกเถียงว่าจริงๆ
แล้วมนุษย์เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์
หรือประวัติศาสตร์ต่างหากที่สร้างมนุษย์
นักปรัชญาที่เห็นว่ามนุษย์เองเป็นผู้กำหนดความเป็นไปของประวัติศาสตร์
อาจจะคิดว่าการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ไม่จำเป็นต้องมีแบบแผนตายตัว
ทั้งหมดขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมเฉพาะกรณี
ทั้งที่เกิดกับมนุษย์เองและมนุษย์เองเป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม
มีนักปรัชญาบางคนที่คิดว่าถึงแม้มนุษย์เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์
แต่ถ้ามนุษย์นั้นมีธรรมชาติพื้นฐานแบบเดียวกัน
การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ที่คิดว่าเป็นเรื่องเฉพาะกรณีและเป็นไปได้อย่างหลากหลายนั้น
ก็ดูจะเป็นภาพลวงตาเสียมากกว่า งานเขียนชิ้นสำคัญของ
จัมบัตติสต้า วิโก้ (Giambattista Vico)
นักคิดชาวอิตาเลียนเมื่อปี ค.ศ. 1725
ที่ชื่อ New Science
เสนอว่าเราสามารถได้ข้อสรุปเกี่ยวกับธรรมชาติที่เป็นหนึ่งเดียวของมนุษย์ได้จากการศึกษาประวัติศาสตร์
เขาคิดว่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้นแม้ว่าจะมีรายละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละอารยธรรม
หรือในแต่ละยุคสมัย
แต่ก็มีรูปแบบพื้นฐานอันเป็นสากลบางอย่างปรากฏอยู่
รูปแบบดังกล่าวเชื่อมโยงกับธรรมชาติพื้นฐานอันเป็นสากลของมนุษย์
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อสภาวการณ์หรือปัญหาที่พวกเขาเผชิญเหมือนๆ
กัน
(ดูความคล้ายคลึงกับแนวคิดที่เชื่อว่ามีกฎทั่วไปเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในหัวข้อที่
3.1)
สำหรับวิโก้แล้ว
คำอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ภายใต้สถานการณ์ที่ดูเหมือนแตกต่างกันทั้งหลายนั้น
จริงๆ แล้วเป็นคำอธิบายชุดเดียวกัน
ธรรมชาติมนุษย์ซึ่งเป็นสากลทำให้เกิดลำดับขั้นของพัฒนาการที่ตายตัวขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นที่เกี่ยวกับสังคม กฎหมาย การพาณิชย์
หรือการปกครอง
มนุษยชาติต่างต้องเผชิญกับข้อท้าทายทางอารยธรรมที่เหมือนๆ
กัน และตอบสนองต่อข้อท้าทายดังกล่าวในทำนองเดียวกัน
กล่าวโดยสรุปคือ
สำหรับวิโก้แล้วประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็คือภาพสะท้อนแห่งธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ผ่านช่วงเวลาต่างๆ
นั่นเอง
บางคนเห็นว่าสิ่งที่วิโก้พยายามทำนั้นคือการให้คำอธิบายทางประวัติศาสตร์ที่เรียบง่ายขึ้น
ผ่านการอธิบายเกี่ยวกับสภาวะอันเป็นสากลเกี่ยวกับตัวมนุษย์เอง
ปรัชญาประวัติศาสตร์ของวิโก้สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของกระแสความคิดแห่งยุคแห่งความรุ่งโรจน์ได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องความเป็นสากลแห่งธรรมชาติของมนุษย์
ในทางตรงกันข้าม
นักคิดชาวเยอรมันในยุคหลังจากวิโก้ชื่อ โจฮันน์ ก็อตต์ฟรีด
แฮร์เดอร์ (Johann
Gottfried Herder) ได้เขียนหนังสือชื่อ
Ideas for the Philosophy History of Humanity
ไว้เมื่อปี 1791
โดยเสนอปรัชญาประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างจะเป็นแนวตรงกันข้ามกับวิโก้
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากกระแสนิยมทางความคิดแบบโรแมนติกซึ่งไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเรื่องลักษณะอันเป็นสากลของมนุษย์
แต่ให้ความสำคัญกับปัจเจกภาพและความหลากหลายของมนุษย์แทน
แฮร์เดอร์ไม่คิดว่าประวัติศาสตร์มาจากธรรมชาติแท้จริงที่มนุษย์มีร่วมกัน
ตรงกันข้าม
ธรรมชาติของมนุษย์ต่างหากที่เป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงสมัย
ประวัติศาสตร์ของแต่ละยุคหรือแต่ละสังคมมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน
ทำให้มนุษย์ในแต่ละยุคแต่ละถิ่นกระทำการในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
และความแตกต่างดังกล่าวก็จะมีผลต่อพัฒนาการของ “ความเป็นมนุษย์”
ในแต่ละสังคมในแบบแตกต่างกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การที่มนุษย์ไม่ได้มีธรรมชาติเป็นสากล
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมนุษย์ไม่ได้มีประวัติศาสตร์ที่เป็นสากล
และการที่ไม่มีประวัติศาสตร์มนุษย์ที่เป็นสากล
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมนุษย์ไม่ได้มีธรรมชาติที่เป็นสากล
หากจะถามว่าสำหรับแฮร์เดอร์นั้นจริงๆ
แล้วประวัติศาสตร์เป็นผลผลิตของสิ่งใดกันแน่
คำตอบที่จะได้ก็คือ
ประวัติศาสตร์นั้นเป็นผลของพลังผลักดันสองประเภทที่มีบทบาทเกี่ยวพันกัน
พลังผลักดันประเภทแรกคือมาจากสภาพแวดล้อม ภายนอก
ตัวมนุษย์ ส่วนประเภทที่สองคือพลังกระทำที่อยู่ในจิตใจ (spirit)
ของมนุษย์แต่ละคน
ซึ่งมีอยู่หลากหลายแบบแตกต่างกัน
เนื่องจากมนุษย์แต่ละคนไม่ได้มีจิตใจแบบเดียวกัน ดังนั้น
หากจะเข้าใจประวัติศาสตร์ของชาติหรือสังคมหนึ่งๆ
สิ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาก็จะต้องมีทั้งสภาพแวดล้อมทางกายภาพของสังคม
และสภาพแวดล้อมอันเกิดจากพลังทางจิตใจของคนในสังคมนั้นด้วย
โดยแฮร์เดอร์เชื่อว่าสภาพแวดล้อมประการหลังจะสะท้อนอยู่ในบรรดาความประพฤติและการกระทำของคนในสังคมนั้น
ทั้งนี้
การพิจารณาดังกล่าวนี้ต้องคำนึงถึงความพึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่างสภาพแวดล้อมทั้งสองประการเสมอ
แนวคิดทำนองดังกล่าวของแฮร์เดอร์นี้เองที่ถือเป็นรากฐานสำคัญอันหนึ่งของทัศนะทางปรัชญาประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า
“ประวัติศาสตร์นิยม”
(historicism)
ซึ่งสามารถเข้าใจอย่างกว้างๆ
ได้ว่าหมายถึงแนวคิดที่เชื่อว่าการแสวงหาความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ
โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับตัวมนุษย์และสังคมของมนุษย์นั้น
จะต้องกระทำผ่านการพิจารณาศึกษาความเป็นมาและเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
มนุษย์และการกระทำของมนุษย์ไม่ได้เป็นอิสระจากบริบททางประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคแต่ละสมัย
อีกทั้งสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคแต่ละสมัยเอง
ก็ต้องเข้าใจว่าเป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์จากยุคก่อนหน้าเช่นกัน
นั่นหมายความว่าเราไม่สามารถจะเข้าใจประวัติศาสตร์ได้โดยใช้สิ่งที่ไม่ขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์มาอธิบาย
เหมือนที่นักคิดยุคแห่งความรุ่งโรจน์ เช่น วิโก้
พยายามอธิบายประวัติศาสตร์ด้วย “ธรรมชาติของมนุษย์”
ซึ่งไม่ได้ขึ้นประวัติศาสตร์แต่อย่างใด
เราอาจเรียกทัศนะยุคแห่งความรุ่งโรจน์ได้ว่าเป็นทัศนะแบบ
“ไม่อิงประวัติศาสตร์”
(ahistorical)
ถ้าเข้าใจแบบนี้
“ประวัติศาสตร์นิยม”
ก็คือทัศนะที่มองว่าสรรพสิ่งล้วนอิงกับประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์เป็นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในการทำความเข้าใจสิ่งอื่นๆ
และที่สำคัญ ในกระบวนการเพื่อความเข้าใจดังกล่าว
จะต้องระลึกไว้เสมอว่าประวัติศาสตร์นั้นเป็นเรื่องที่เฉพาะเจาะจงและไม่ได้ตายตัวเป็นสากล
การศึกษาการคลี่คลายตัวหรือพัฒนาการใดๆ ของอารยธรรมมนุษย์
ไม่อาจกระทำแบบเป็นสูตรสำเร็จ
หรือวางอยู่บนกฎเกณฑ์ที่เป็นนามธรรมชุดเดียวได้
แต่หากจะถามว่าแฮร์เดอร์ปฏิเสธกฎเกณฑ์ใดๆ
ในการศึกษาประวัติศาสตร์หรือไม่ แม้ดูเหมือนคำตอบน่าจะใช่
แต่ในทางตรงกัน
ข้ามแฮร์เดอร์พยายามเสนอกฎเกณฑ์หรือระเบียบวิธีในการศึกษาประวัติศาสตร์ขึ้นมาชุดหนึ่ง
ซึ่งอิงอยู่กับความตระหนักในอิทธิพลและบทบาทที่เกี่ยวข้องอิงอาศัยกันของพลังผลักดันภายนอกและภายในตัวมนุษย์ดังที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้
เราจึงยังกล่าวได้อยู่ว่าแฮร์เดอร์ก็เป็นนักปรัชญาประวัติศาสตร์เชิงทฤษฎีคนหนึ่ง
สำหรับเขาแล้ว
ประวัติศาสตร์คลี่คลายตัวไปตามอิทธิพลของปัจจัยที่ประกอบด้วยสภาพแวดล้อมภายนอกและภายใน
เราจะไม่สามารถรู้ถึงปัจจัยชุดดังกล่าวโดยอาศัยวิธีการแบบ
“ก่อนประสบการณ์”
(a priori)
เราจะต้องให้ความสำคัญกับการสืบสวนหาข้อเท็จจริงเชิงประสบการณ์ของสภาพแวดล้อมทางกายภาพและทางจิตใจที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละสังคมหรืออารยธรรม
นอกจากนี้
อิทธิพลอีกประการหนึ่งของแฮร์เดอร์ต่อวงวิชาการในยุคต่อมาก็คือ
เรายังอาจมองได้ด้วยว่าแฮร์เดอร์เป็นนักคิดคนแรกๆ
ที่พูดถึงเรื่อง “การเป็นสิ่งสร้างทางสังคม”
(social construction)
ของมนุษย์
ซึ่งแนวคิดที่แพร่หลายเป็นอย่างมากในหมู่นักสังคมศาสตร์ในปลายศตวรรษที่
20 นี้เอง
อย่างไรก็ตาม มีข้อควรตระหนักว่า
“ประวัติศาสตร์นิยม”
สามารถมีรายละเอียดความหมายต่างออกไป
เนื่องจากมีการนำไปใช้ในหลายๆ ทาง และในหลายๆ ขอบเขต
บางครั้งคำนี้อาจหมายถึงความคิดที่มองพัฒนาการทางประวัติศาสตร์แบบมีทิศทางตายตัว
เช่น นักปรัชญาประวัติศาสตร์แนวมาร์กซิสต์ ดังนั้น
เราควรตระหนักว่าแฮร์เดอร์เป็นผู้วางรากฐานให้กับแนวคิดแบบ
“ประวัติศาสตร์นิยม”
ในความหมายกว้าง นั่นคือ
เสนอให้เข้าใจสิ่งต่างๆ โดยอิงกับประวัติศาสตร์
ส่วนตัวประวัติศาสตร์นั้นจะเปลี่ยนแปลงไปในแบบที่ตายตัวเพียงใด
รวมทั้งขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมเพียงใดนั้น
นักคิดแนว “ประวัติศาสตร์นิยม”
แต่ละท่านอาจมีความเห็นแตกต่างกันไปได้หลายทาง ถ้าเข้าใจ
“ประวัติศาสตร์นิยม”
ในความหมายที่กว้างแบบนี้
ทฤษฎีปรัชญาประวัติศาสตร์ที่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ในแบบประวัติศาสตร์นิยม
สามารถจะพบได้อีกในงานของนักคิดยุคต่อมาอย่าง เกอร์ก
วิลเฮล์ม ฟรีดริช เฮเกล (Georg Wilhelm Friedrich
Hegel)
ซึ่งเชื่อว่าโลกทัศน์ของมนุษย์ในยุคหนึ่งๆ
เป็นผลผลิตจาการประนีประนอมระหว่างโลกทัศน์สองแนวที่ขัดแย้งกันในยุคก่อนหน้า
และเนื่องจากในบรรดาปรัชญาประวัติศาสตร์เชิงทฤษฎีทั้งหมดนั้น
ทฤษฎีประวัติศาสตร์ของเฮเกลดูจะเป็นทฤษฎีที่นำเสนอไว้อย่างเป็นระบบมากที่สุด
จึงสมควรนำมากล่าวแยกไว้เป็นต่างหากในหัวข้อถัดไป
2.2 ปรัชญาประวัติศาสตร์ของเฮเกล
โดยรวมแล้วเฮเกลมองว่าประวัติศาสตร์คือกระบวนการเคลื่อนตัวของจิตสำนึกของมวลมนุษย์สู่สภาวะบางอย่าง
เขาเข้าใจว่าสภาวะนั้นคือการบรรลุซึ่งอิสรภาพของมวลมนุษย์
รวมถึงการรู้จักและเป็นหนึ่งเดียวกับตัวตนของตนเอง
กระบวนการดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล
คำอธิบายของเฮเกลเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับทฤษฎีทางปรัชญาของเขา
และมีลักษณะเป็นแบบประวัติศาสตร์นิยมในความหมายแบบที่กล่าวไปในหัวข้อที่แล้วชัดเจน
เฮเกลถือว่าการเข้าใจตัวเองของมนุษยชาติซึ่งเป็นเรื่องอัตวิสัย
(subjective)
นั้นมีเงื่อนไขจากปัจจัยที่มีความเป็นภววิสัย
(objective)
ซึ่งก็คือประวัติศาสตร์ของโลกที่เกิดอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับเฮเกลแล้ว โลกภายนอกการรับรู้ของมนุษย์
และโลกภายในการรับรู้ของมนุษย์นั้น
เกี่ยวข้องกันอย่างแนบแน่นจนแยกออกจากกันไม่ได้
แนวคิดแบบนี้นี่เองที่เป็นข้อเสนอหลักในงานเขียนทางปรัชญาอันเลื่องชื่อของเขาคือ
Phenomenology of Spirit
ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1807 อย่างไรก็ดี
งานนิพนธ์ของเขาที่ว่าด้วยปรัชญาประวัติศาสตร์โดยตรงมีชื่อว่า
The Philosophy
of History ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1824
ถ้าอธิบายด้วยคำของเฮเกล
ประวัติศาสตร์ก็คือกระบวนการที่จิตสำนึกในระดับองค์รวมของมนุษยชาติ
(Spirit)
กำลังค้นพบและเข้าใจความหมายของตัวเอง
เฮเกลตีความกระบวนการทางประวัติศาสตร์ของมนุษย์ว่าเป็นขั้นตอนต่างๆ
ของการแสวงหาอิสรภาพ (freedom)
เริ่มตั้งแต่สภาวะที่ไร้เสรีภาพของสังคมโบราณในโลกตะวันออก
สู่เสรีภาพของสาธารณชนในนครรัฐกรีก
และจากเสรีภาพของพลเมืองในอาณาจักรโรมัน
สู่เสรีภาพของปัจเจกชนสมัยปฏิรูปศาสนา
และสู่เสรีภาพของอารยชนในรัฐสมัยใหม่
เราควรตระหนักด้วยว่าเฮเกลไม่ได้เข้าใจว่า “ประวัติศาสตร์”
นั้นเกี่ยวข้องกับทุกเรื่อง
แต่เกี่ยวเฉพาะกับเรื่องการเดินทางสู่อิสรภาพอันเป็นหัวใจของประวัติศาสตร์เท่านั้น
หากสังคมยังไม่สามารถพัฒนาตัวขึ้นมาจนมีสิ่งที่เรียกว่า
“รัฐ”
หรือระบบการเมือง
ดังเช่นสังคมในอารยธรรมของชนเผ่าโบราณในทวีปอเมริกาและแอฟริกา
สังคมนั้นยอมถือเป็นสังคมก่อนประวัติศาสตร์
หรืออีกนัยหนึ่ง
เป็นสังคมที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์
ตามความเข้าใจแบบนี้
การเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ทั้งหลาย
จึงล้วนมีส่วนในการขับคลื่อนสู่พัฒนาการขั้นสุดท้ายแห่งเสรีภาพมนุษย์ทั้งสิ้น
เหตุการณ์ที่โดยผิวเผินแล้วเสมือนไร้เหตุผลหรือเกิดขึ้นจากบุคลิกภาพของปัจเจกบุคคลนั้น
แท้ที่จริงแล้วเป็นเหตุการณ์ที่มีส่วนกำหนดทิศทางของประวัติศาสตร์
เช่น ความพยายามยึดครองยุโรปของนโปเลียนนั้น
ก็มีส่วนสำคัญในการสถาปนาระเบียบการปกครองที่เป็นเหตุเป็นผลแบบรัฐสมัยใหม่ขึ้น
เฮเกลเชื่อว่าประวัติศาสตร์เป็นกระบวนการที่มีเหตุมีผลเสมอ
แต่เราจะต้องพยายามมองหาโครงสร้างเบื้องลึกให้พบ
อย่างไรก็ดี โครงสร้างดังกล่าวจะปรากฏตัวอย่างสมบูรณ์จริงๆ
ก็ต่อเมื่อประวัติศาสตร์ได้เดินทางไปถึงจุดสุดท้ายแห่งพัฒนาการแล้ว
และเฮเกลก็ดูเหมือนจะเชื่อว่าพัฒนาการของประวัติศาสตร์นั้นได้เดินทางมาถึงจุดสุดท้ายแล้วในสมัยของเขานั้นเอง
ถ้าเราสังเกตให้ดี
ปรัชญาประวัติศาสตร์ของเฮเกลไม่ใช่การนำเสนอความคิดด้วยการคาดคะเนเชิงเหตุผลล้วนๆ
โดยไม่อิงกับข้อเท็จจริงทางประสบการณ์ใดๆ
แต่เป็นความพยายามเชื่อมโยงเหตุผลแบบปรัชญาเข้ากับเงื่อนไขของประวัติศาสตร์
สิ่งที่เฮเกลเสนอให้นักปรัชญาทำคือการแสวงหาความเป็นเหตุเป็นผลจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ไม่ใช่นำกรอบความเป็นเหตุเป็นผลที่มีอยู่แล้วมาอธิบายความเป็นจริง
หรืออีกนัยหนึ่ง
นักปรัชญาควรพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นจริงก่อน
แล้วคิดให้ออกว่าสิ่งนั้นกำลังบอกอะไร
นักปรัชญาไม่ควรพยายามอธิบายความเป็นจริงให้เข้ากับสมมติฐานบางอย่างของตนที่มีอยู่ก่อน
กระนั้นความพยายามของเฮเกลมีข้อจำกัดจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์เท่าที่มีอยู่ในสมัยของเขา
คำตอบที่เขาเสนอจึงอาจไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสมเมื่อสามารถแสวงหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
อาจเป็นไปได้ที่ผู้ที่เดินตามแนวทางของเฮเกล
จะอ่านประวัติศาสตร์ได้ในอีกแบบหนึ่ง เช่นเดียวกับที่คาร์ล
มาร์กซ์ (Karl
Marx)
ได้ปรับวิธีการแสวงหาความรู้แบบเฮเกลซึ่งให้ความสำคัญกับปัจจัยเชิงนามธรรมหรือจิต
มาเป็นวิธีการของมาร์กซ์เองซึ่งเน้นปัจจัยเชิงรูปธรรมหรือวัตถุ
แม้ปรัชญาประวัติศาสตร์ของมาร์กซ์จะมีท่วงทำนองเดียวกับเฮเกล
แต่ก็ให้คำตอบเรื่องความหมายและโครงสร้างเบื้องลึกของประวัติศาสตร์ที่แตกต่างออกไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือได้
สำหรับมาร์กซ์แล้ว
ประวัติศาสตร์ของมนุษย์คือประวัติของการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างชนชั้นของผู้ที่มี
กับชนชั้นของผู้ไม่มีอำนาจหรือทรัพยากร
แรงขับให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไม่ใช่สิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างจิตสำนึกหรือเหตุผล
แต่คือแรงผลักดันทางเศรษฐกิจเพื่อการครอบครองทรัพยากร
อย่างไรก็ตาม
การตีความประวัติศาสตร์ของมาร์กซ์ก็ยังเป็นการมองเห็นโครงเรื่องใหญ่โครงเรื่องเดียวที่ครอบคลุมและให้ความหมายกับแต่ละเหตุการณ์ย่อยๆ
ในกระบวนการเคลื่อนตัวไปของประวัติศาสตร์โลกอยู่นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างแนวคิดของวิโก้ เฮเกล
หรือมาร์กซ์นั้น
เป็นเพียงตัวอย่างจำนวนหนึ่งของความพยายามที่จะแสวงหาความหมายโดยรวมหรือโครงสร้างเบื้องลึกของกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่ดูโดยผิวเผินแล้วเหมือนเกิดขึ้นโดยไร้ระเบียบ
ต่อไปในหัวข้อที่ 4
ท่านจะได้เห็นว่าความคิดทำนองดังกล่าวนี้อาจเข้าข่ายที่จะจัดเป็นกระแสความคิดแบบเฮอร์เมนูติกส์ได้
คือเป็นศาสตร์แห่งการตีความแบบหนึ่ง
แต่สิ่งที่ตีความนั้นเป็นสิ่งที่มีลักษณะครอบคลุมกว้างขวางมาก
ไม่ใช่ตัวบทแต่ละเรื่องหรือการกระทำของบุคคลในแต่ละครั้ง
แต่ครอบคุลมทั้งกระบวนการทางประวัติศาสตร์
โดยถือเป็นตัวบทชนิดหนึ่งที่มีความซับซ้อน
มีโครงเรื่องใหญ่ที่กำหนดความสัมพันธ์ของโครงเรื่องย่อยๆ
ไว้
2.3
ปรัชญาประวัติศาสตร์กับการพยายามหาทิศทางโดยรวมของกระบวนการทางประวัติศาสตร์แบบอื่นๆ
ในศตวรรษที่ 20
นั้น
แนวคิดเรื่องพัฒนาการที่เป็นขั้นเป็นตอนของประวัติศาสตร์มนุษย์นั้นมีการนำเสนออย่างเป็นจริงเป็นจังโดยนักประวัติศาสตร์ที่เน้นพิจารณาประวัติศาสตร์ในภาพกว้างที่สุด
เราอาจเรียกพวกเขาได้ว่า
“นักอภิประวัติศาสตร์”
(meta-historian)
ซึ่งคนสำคัญก็ได้แก่ ชเป็งเลอร์ (Spengler)
ทอยน์บี (Toynbe) และวิทท์โฟเกิล
(Wittfogel)
นักประวัติศาสตร์เหล่านี้ตีความประวัติศาสตร์โลกว่าเป็นกระแสแห่งความรุ่งเรืองและล่มสลายของอารยธรรม
ชนชาติ และวัฒนธรรมต่างๆ
ชเป็งเลอร์กับทอยน์บีเสนอภาพของแต่ละอารยธรรมมนุษย์ในฐานะกระบวนการของการเปลี่ยนผ่านจากขั้นตอนที่เรียกว่าวัยเด็ก
ไปสู่ขั้นตอนของความเป็นผู้ใหญ่
และไปสู่ภาวะแห่งความชราภาพในที่สุด
กระบวนการลักษณะนี้จะเกิดขึ้นอย่างเป็นวัฎจักรกับนานาอารยธรรมของมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย
ส่วนวิทท์โฟเกิลนั้นเห็นว่าอารยธรรมของชาวเอเชียว่ามีปัจจัยกำหนดความเป็นไปอยู่เบื้องหลัง
เขาชี้ให้เห็นว่าอารยธรรมของชาวจีนนั้นแตกต่างจากของชาวยุโรป
โดยที่อารยธรรมของชาวจีนผูกพันอยู่กับสภาวะการต้องพึ่งพิงพลังและทรัพยากรธรรมชาติอย่างน้ำ
ระบบการปกครองที่เกิดขึ้นของจีนจึงวนเวียนอยู่กับการจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติดังกล่าวในฐานะเป็นพลังทางการเมืองด้วย
วิทท์โฟเกิลเรียกการปกครองลักษณะนี้ว่า “เผด็จการโดยการจัดการน้ำ”
(hydraulic despotism)
และเขาเสนอว่าความเฉพาะเจาะจงของสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ของจีนดังกล่าวในที่สุดแล้วทำให้พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของจีนนั้นมีลักษณะเป็นวงรอบ
(cyclical)
มากกว่าจะเป็นแบบเส้นตรงเหมือนอารยธรรมในยุโรป
การอธิบายความหมายของประวัติศาสตร์ในแบบเหมารวมที่ว่านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่พอสมควร
บางคนวิจารณ์ว่าแนวคิดแบบนี้พยายามจะมองหาความหมายจากสิ่งที่ไม่สามารถจะมีความหมายใดๆ
ได้ การตีความจะทำได้จริงๆ
ก็ต้องเป็นในระดับการกระทำของปัจเจกบุคคลหรือระดับประวัติชีวิตของบุคคล
เนื่องจากความหมายต้องเป็นสิ่งที่บุคคลเป็นผู้มอบให้กับสิ่งต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของเขา
ทั้งนี้ต้องไม่ลืมเงื่อนไขที่ว่าเราต้องมีฐานในเชิงทฤษฎีของการตีความหรือหาความหมายในชีวิตของปัจเจกบุคคลเสียก่อน
จึงจะสามารถตีความได้
“ความหมาย”
จึงไม่ใช่สิ่งที่มีหรือหาได้ในระดับเหตุการณ์ (event)
ดังนั้น
การบอกว่าปฏิวัติฝรั่งเศสมีความหมายจึงถือเป็นความผิดพลาดทางการคิดอย่างที่เรียกได้ว่า
“การบรรยายผิดประเภท”
(category mistake)
ทางออกที่อาจจะทำได้ก็คือมองว่ามีคนเขียนประวัติศาสตร์และมอบความหมายให้กับประวัตศาสตร์นั่น
ซึ่งผู้นั้นก็คือพระเป็นเจ้า
แต่นั่นก็เท่ากับดึงประวัติศาสตร์ออกจากกำมือของมนุษย์ไปเสียเฉยๆ
ข้อวิจารณ์อีกแนวหนึ่งโจมตีว่าการพยายามหาความหมายจากประวัติศาสตร์โดยรวมนั้น
เป็นการยัดเยียดคำอธิบายเชิงสาเหตุเพียงแบบเดียวให้กับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่จริงๆ
แล้วเต็มไปด้วยความซับซ้อน
เป็นการยากที่จะหาหลักฐานเชิงประจักษ์ใดๆ
มาสนับสนุนสมมติฐานของบรรดานักอภิประวัติศาสตร์
ยิ่งเราพิจารณาประวัติศาสตร์ของมนุษย์ในรายละเอียดเชิงประจักษ์มากเท่าไหร่
เราก็ยิ่งพบว่าการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมที่มีความเฉพาะเจาะจงอย่างมาก
ทั้งนั้น ถ้าหากจะมีคำอธิบายในระดับภาพใหญ่จริงๆ แล้ว
คำอธิบายดังกล่าว
ก็ควรวางอยู่บนฐานของประสบการณ์เชิงประจักษ์
มีนักประวัติศาสตร์หลายคนพยายามอาศัยแนวทางนี้
โดยมุ่งแสวงหาปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในประวัติอารยธรรม
คำอธิบายเหล่านี้ไม่กว้างขวางและเหมารวมแบบของนักอภิประวัติศาสตร์
และเปิดโอกาสให้พิสูจน์ตรวจสอบได้ในเชิงประจักษ์ เช่น
มีข้อเสนอว่ามีปัจจัยร่วมบางอย่างที่พบได้ในความเปลี่ยนแปลงของบรรดาสังคมยุคที่เริ่มทำการเกษตร
หรือมีข้อเสนอว่าปัจจัยร่วมครอบคลุมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม
รวมถึงโรคระบาดและสงครามขนาดใหญ่
3.
ปรัชญาประวัติศาสตร์แบบวิเคราะห์
บางคนเรียกปรัชญาประวัติศาสตร์แนวนี้ว่าปรัชญาประวัติศาสตร์แบบแองโกล-อเมริกัน
(anglo-american)
ด้วยเหตุที่นักปรัชญาประวัติศาสตร์ในแนวทางนี้ส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยของประเทศมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่
สิ่งที่ปรัชญาแนวนี้สนใจเป็นหลักก็คือการสอบทานทางตรรกวิทยาและพื้นฐานที่มาของความรู้
รวมถึงคำอธิบายทางประวัติศาสตร์ที่เหล่านักประวัติศาสตร์บอกเรา
อาจถือได้ว่านักปรัชญาในอดีตอย่างเดวิด ฮูม (David
Hume)
เป็นผู้ให้แรงบันดาลใจกับนักปรัชญาประวัติศาสตร์แบบวิเคราะห์
ผนวกกับกระแสความคิดทางปรัชญาแนววิเคราะห์ (analytic
philosophy)
ทำให้งานปรัชญาประวัติศาสตร์แนวนี้มีปรากฏออกมามากตั้งแต่กลางศตวรรษที่
20 เป็นต้นมา
ลักษณะของงานดังกล่าวจะพบว่ามีการนำเครื่องมือของปรัชญาแนววิเคราะห์มาใช้พิจารณาเกี่ยวกับการหาความรู้และการอธิบายทางประวัติศาสตร์ในหลายเรื่องหลายประเด็นด้วยกัน
เช่น เรารู้ข้อเท็จจริงในอดีตได้หรือไม่ อย่างไร
คำอธิบายทางประวัติศาสตร์ที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
คำอธิบายดังกล่าวจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับกฎทั่วไป (general
law) หรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ที่จริงๆ
แล้วเราไม่อาจจะใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เรามีอยู่เพื่อสรุปสู่ความรู้ทางประวัติศาสตร์ได้
ปรัชญาประวัติศาสตร์แบบวิเคราะห์ยังให้ความสำคัญกับการพิจารณาว่าวิชาประวัติศาสตร์นั้นมีสถานภาพเหมือนหรือต่างจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอย่างไร
นักปรัชญาประวัติศาสตร์แนววิเคราะห์นั้นไม่ใคร่จะเชื่อนักว่าความรู้เกี่ยวกับโลกรวมถึงประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้น
จะเข้าถึงได้โดยใช้เหตุผลล้วนๆ ปราศจากมิติเชิงประจักษ์ใดๆ
พวกเขาเห็นว่าความรู้เกี่ยวกับโลกจะต้องได้มาจากการค้นคว้าเชิงประจักษ์ร่วมกับการวิเคราะห์ผลของการศึกษาค้นคว้าดังกล่าวในเชิงตรรกะ
จากที่กล่าวไปในครึ่งแรกของหัวข้อสารานุกรมนี้
ท่านจะเห็นได้ว่านักปรัชญาประวัติศาสตร์ทฤษฎีส่วนใหญ่มีท่าทีที่ตรงกันข้ามคือเชื่อมั่นในพลังของเหตุผลที่สามารถจะตรวจสอบความเข้าใจประวัติศาสตร์ในระดับรากฐาน
กระทั่งทำให้เราสามารถได้คำตอบว่าอะไรคือความหมายและโครงสร้างโดยรวมของประวัติศาสตร์มนุษย์
ต่อไปจะขอนำเสนอประเด็นถกเถียงสำคัญๆ
ในวงการปรัชญาประวัติศาสตร์แบบวิเคราะห์ 4 ประเด็นด้วยกัน
คือ 1. ประเด็นเรื่องกฎทั่วไปในทางประวัติศาสตร์ 2.
ความเป็นวัตถุวิสัยของความรู้ทางประวัติศาสตร์ 3.
การเป็นสาเหตุในทางประวัติสาสตร์ และ 4.
ประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆ ในปัจจุบัน
3.1 กฎทั่วไปในทางประวัติศาสตร์
คาร์ล เฮมเพล
(Carl Hempel)
เสนอว่าคำอธิบายทางประวัติศาสตร์ที่ยอมรับได้จะต้องอาศัยกฎทั่วไปหรือกฎสากลจำนวนหนึ่งเป็นฐานของการอธิบายเสมอ
เช่นเดียวกับรูปแบบคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าคำอธิบายตามกฎ
(covering-law model)
เช่นเวลาที่นักวิทยาศาสตร์จะอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
เช่น ฝนตก
เขาจะต้องอธิบายโดยอาศัยกฎทางฟิสิกส์เกี่ยวกับการระเหยเป็นไอของของเหลว
การควบแน่นของไอน้ำเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง
และกฎว่าด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก
สำหรับกฎทั่วไปในทางประวัติศาสตร์ที่เฮมเพลและผู้ที่สนับสนุนความคิดของเฮมเพลเสนอให้นำมาใช้อธิบายเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นั้นก็คือกฎเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้มักแย้งว่าแท้จริงแล้วการพิจารณาพฤติกรรมของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาโดยการตีความเป็นกรณีๆ
ไป โดยนักวิชาการบางคนเช่น อลัน โดนาแกน (Alan Donagan)
เชื่อว่าการอธิบายสังคมในหลายกรณีจะกระทำได้โดยอ้างถึงความสม่ำเสมอเชิงความน่าจะเป็นหรือสถิติ
(probabilistic regularity)
ไม่ใช่กฎสากล อีกหลายคน เช่น ไมเคิล สกริเฟน (Michael
Scriven)
ชี้ให้เห็นว่าบางครั้งเกณฑ์วัดความเหมาะสมของคำอธิบายทางประวัติศาสตร์อาจไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขเข้มงวดแบบต้องสมเหตุสมผลในทางตรรกะ
โดยเราอาจใช้เกณฑ์พิจารณาแบบ “ปฏิบัตินิยม”
ที่คำนึงถึงความเหมาะสมแบบอิงตามบริบทก็ได้ อย่างไรก็ตาม
โดยรวมๆ
แล้วข้อโต้แย้งที่มีต่อความพยายามอธิบายตามกฎแบบเฮมเพลนั้น
อาจสรุปได้เป็นสองประเด็นใหญ่ๆ ดังนี้ (1)
ดูเหมือนจะไม่มีตัวอย่างชัดๆ เลยของกฎสากลทางประวัติศาสตร์
ไม่ว่าจะเป็นที่เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์
และความสัมพันธ์ต่อเนื่องของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ (2)
เราสามารถที่จะใช้กรอบความเข้าใจแบบอื่นมาอธิบายให้เข้าใจการกระทำและผลของการกระทำทั้งหลายในประวัติศาสตร์ได้
โดยไม่ต้องพึ่งวิธีเข้าใจแบบอธิบายตามกฎเลย เช่น
การอธิบายผ่านการเข้าใจการกระทำแบบเฉพาะเจาะจงของปัจเจกบุคคล
หรือเข้าใจการกระทำที่มีเหตุผลผ่านการตีความในแบบต่างๆ
หรือวิธีสืบสาวเหตุปัจจัยที่ไม่ต้องพึ่งกฎสากล
ถ้าเราพิจารณาประเด็นถกเถียงนี้ให้ดี
จะเห็นว่าเกิดขึ้นจากความพยายามทำให้วิทยาศาสตร์ทุกสาขานั้นมีความเป็นเอกภาพในวิธีการหาความรู้และอธิบายธรรมชาติ
และพยายามที่จะทำให้ศาสตร์อื่นๆ
ต้องมีลักษณะเช่นนั้นไปด้วย
หลายคนมองว่านี่เป็นการเริ่มต้นคิดถึงวิชาประวัติศาสตร์แบบผิดทาง
การอธิบายการกระทำของมนุษย์อาจทำไม่ได้ในแบบเดียวกับอธิบายปรากฏการณ์ฝนตกหรือการเดือดของน้ำ
3.2 ความเป็นภววิสัยของประวัติศาสตร์
คำถามที่สำคัญที่สุดของประเด็นถกเถียงนี้ก็คือ
“เป็นไปได้หรือไม่ที่ความรู้ทางประวัติศาสตร์นั้นจะตรงกับข้อเท็จจริงในอดีตจริงๆ”
หรือว่าความรู้ทางประวัติศาสตร์นั้นล้วนตั้งอยู่บนอคติ
การเลือกสรรคัดออกในบางลักษณะ
หรือเป็นความรู้ที่ล้วนต้องผ่านการตีความแล้วไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
กล่าวโดยย่อก็คือความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่ขึ้นกับมุมมองของนักประวัติศาสตร์แต่ละคน
และเราอาจเรียกคำอธิบายในทางประวัติศาสตร์ทั้งหลายได้ว่า
เป็นคำอธิบายที่แฝงความคิดเห็นหรือการประเมินค่าเอาไว้ (value-laden)
ไม่ใช่คำอธิบายที่เป็นกลางจริงๆ
ประเด็นเกี่ยวเนื่องที่นักปรัชญาประวัติศาสตร์วิเคราะห์สนใจกันมากก็คือประเด็นที่ว่าการกระทำทางสังคมทั้งหลายนั้น
ไม่ใช่การกระทำเชิงกายภาพล้วนๆ
แต่เป็นการกระทำภายใต้ระบบคุณค่าหนึ่งๆ เสมอ
ในทำนองเดียวกัน
กิจกรรมของการตีความการกระทำทางสังคมเหล่านั้นของนักประวัติศาสตร์เองก็ดูเหมือนจะกระทำภายใต้ระบบคุณค่าบางอย่างด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางจริยธรรม อุดมการณ์ทางการเมือง
หรือระบบชนชั้น ฯลฯ
นี่จึงทำให้ความมุ่งหวังที่จะมีคำอธิบายทางประวัติศาสตร์ที่เป็นกลางปราศจากอคตินั้นเป็นได้แค่ความฝัน
อีกประเด็นที่สำคัญก็คือคำถามที่ว่าจริงๆ
แล้วสิ่งที่เรียกว่า
“ความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์”
(historical reality) รวมทั้ง “ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์”
(historical fact) หรือแม้กระทั่ง
“เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์”
(historical event)
นั้นมีอยู่อย่างตายตัวและเป็นอิสระจากการนำเสนอของคนในยุคสมัยต่อๆ
หรือไม่ หรือจริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ “ถูกสร้างขึ้น”
(constructed) ไม่ในทางใดก็ทางหนึ่ง
ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่ “การปฏิวัติฝรั่งเศส”
หรือ “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. 2475”
จะไม่ได้บ่งถึงความเป็นจริงหนึ่งใดอย่างตายตัว
มีความพยายามอภิปรายเพื่อแก้ปัญหาข้างต้นอยู่พอสมควรในหมู่นักปรัชญาประวัติศาสตร์แบบวิเคราะห์
เช่นในเรื่องการต้องถือคุณค่าบางอย่างในการวิจัยนั้น
ได้มีความพยายามพิจารณากันอีกครั้งว่าจริงๆ
แล้วมีอุปสรรคในทางญาณวิทยาใดๆ
หรือไม่ที่จะทำให้นักประวัติศาสตร์ไม่สามารถจะเข้าใจระบบคุณค่าของวัฒนธรรมอื่นๆ
ในอดีต หลายคนตอบว่าไม่มี
โดยตั้งคำถามว่าทำไมการจะเข้าใจหรือประเมินระบบคุณค่าอื่นนั้น
จะกระทำจากคนที่ถือระบบคุณค่าแตกต่างออกไปไม่ได้
ความเชื่อมั่นดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนจากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์เองด้วย
โดยข้อสรุปจากงานวิจัยของพวกเขานั้น
ในหลายกรณีได้จากการสังเกต สัมภาษณ์ และจากหลักฐาน
มากกว่าจากการชี้นำของอุดมการณ์ที่เขาถืออยู่
จริงอยู่ที่นักวิจัยหลายคนทำงานเพื่ออุดมการณ์
แต่ถ้าอุดมการณ์ดังกล่าวนั้นคือความมุ่งหวังที่จะได้ความรู้แบบภววิสัยแล้ว
ทำไมยังจะเห็นว่าอุดมการณ์นี้เป็นอุปสรรคอีก
ในประเด็นที่เกี่ยวกับความเป็นภววิสัย
(หรือความแน่นอนตายตัว)
ของเหตุการณ์ในอดีตเองก็เช่นเดียวกัน
นักปรัชญาหลายคนพยายามตอบคำถามของผู้ที่สงสัยว่าเราไม่สามารถจะพูดถึงสิ่งหรือเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างเที่ยงตรงโดยอาศัยถ้อยคำเช่น
“อาณาจักรโรมัน” “กำแพงเมืองจีน”
“ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย”
ฯลฯ
ด้วยเหตุที่ว่าถ้อยคำดังกล่าวแสดงถึงการ เลือกนำเสนอ
เหตุการณ์บางอย่างออกมาในบางแง่
มากกว่าพูดถึงบางสิ่งบางออย่างที่ดำรงอยู่ด้วยตัวของมันเอง
หลายคนเชื่อว่าถึงแม้เราจะไม่สามารถบ่งถึงเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างชัดเจนตายตัว
แต่อย่างน้อย
เราน่าจะพูดถึงผลพวงหรือร่องรอยที่เหตุการณ์ในอดีตจำนวนหนึ่งทิ้งให้ปรากฏในปัจจุบันได้อย่างเป็นภววิสัย
เช่น
เราสามารถเห็นร่องรอยของการที่บุคคลบางคนทำอะไรบางอย่างในอดีต
เกิดภัยธรรมชาติขึ้นในตอนไหน ฝ่ายใดเป็นผู้ชนะสงคราม
สิ่งประดิษฐ์หนึ่งสร้างขึ้นเมื่อใด ฯลฯ
เราสามารถจะใช้ร่องรอยเหล่านั้น
อนุมานไปสู่เหตุการณในอดีตได้ในระดับหนี่ง
อย่างไรก็ตาม
เราอาจจะไม่สามารถอนุมานไปถึงระดับของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับมโนทัศน์ที่เป็นนามธรรมมากๆ
อย่างเช่น กำเนิดของนครรัฐกรีก
กำเนิดของความเป็นเหตุผลในยุคแห่งความรุ่งโรจน์ (Enlightenment
rationality) หรือการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน
ฯลฯ เพราะเหตุการณ์เหล่านี้จริงๆ
แล้วไม่ใช่เหตุการณ์เดียวโดดๆ
แต่เป็นเครือข่ายของเหตุการณ์ที่นักประวัติศาสตร์เลือก
เน้น และเชื่อมโยงให้เกิดขึ้น เมื่อกาลเปลี่ยนไป
การปรับวิธีเชื่อมโยงว่าอะไรเป็นอะไร
ก็อาจเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ นั่นหมายความว่าจริงๆ
แล้วเราสามารถเข้าถึงซึ่งความเป็นภววิสัยทางประวัติศาสตร์ได้
แต่ก็เป็นบางเรื่องหรือบางระดับเท่านั้น
3.3 ประเด็นเรื่อง
‘สาเหตุทางประวัติศาสตร์’
อีกประเด็นหนึ่งที่กล่าวถึงกันมากก็คือเรื่องของการอธิบายว่าอะไรเป็นสาเหตุของอะไรในทางประวัติศาสตร์
เช่น เวลาที่บอกว่าสงครามกลางเมืองของอเมริกา (American Civil
War)
เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่ารัฐทางเหนือกับรัฐทางใต้นั้น
นักประวัติศาสตร์กำลังพยายามยืนยันอะไรกันแน่
การยืนยันดังกล่าวจะต้องอ้างถึงกฎเชิงสาเหตุใดๆ หรือไม่
หรือจะต้องเกี่ยวกับเงื่อนไขจำเป็นหรือพอเพียงบางอย่าง
หรือว่าจะต้องยืนยันลำดับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกันในระดับที่ย่อยกว่าให้ได้เสียก่อน
นอกจากนี้
ประเด็นเรื่องความเป็นสาเหตุนี้ดูจะเกี่ยวกับความคิดเรื่องนิยัตินิยมในทางประวัติศาสตร์
(determinism) อีกด้วย
อาจตั้งคำถามกับแนวคิดนี้ได้ว่าเหตุการณ์หนึ่งจำเป็นต้องเกิดขึ้นในลักษณะหนึ่งด้วยหรือไม่
ถ้ามีเหตุการณ์ในลักษณะหนึ่งได้เกิดขึ้นก่อนหน้า
นักปรัชญาประวัติศาสตร์แบบวิเคราะห์มักจะอาศัยข้ออภิปรายทางทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องความเป็นสาเหตุ
(causation)
จากวงการปรัชญาวิทยาศาสตร์มาเป็นฐานของการวิเคราะห์เรื่องความเป็นสาเหตุในทางประวัติศาสตร์ด้วย
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วข้ออภิปรายดังกล่าวเป็นทัศนะต่างๆ
ต่อแนวคิดความเป็นสาเหตุที่เสนอไว้โดยเดวิด ฮูม
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ซึ่งเข้าใจว่าความเป็นสาเหตุนั้น
เป็นเพียงแค่การเกิดขึ้นร่วมกันอย่างสม่ำเสมอของเหตุการณ์
โดยที่จริงๆ
แล้วไม่มีกฎเกณฑ์หรือความสัมพันธ์พิเศษที่ผูกพันเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ด้วยกัน
ปฏิกิริยาที่มีต่อข้อเสนอของฮูมนั้น มีอยู่หลายทางด้วยกัน
ทั้งที่พยายามจะอธิบายสาเหตุทางประวัติศาสตร์โดยอ้างถึงกฎทั่วไปแบบเดียวกับที่ทำกันในทางวิทยาศาสตร์
แต่อย่างที่กล่าวไว้ในหัวข้อ 3.1
ดูเหมือนเราจะไม่สามารถหากฎดังกล่าวได้ในกรณีของศาสตร์ทางสังคม
ทางออกอื่นที่เป็นไปได้ก็คือการพยายามจะเข้าใจ “การเป็นสาเหตุ”
ในลักษณะที่ไม่ต้องอิงกับกฎใดๆ เช่น
เปลี่ยนไปอธิบายโดยอาศัยความเข้าใจเรื่องเงื่อนไขที่พอเพียง
(sufficient condition)
หรือไม่ก็เงื่อนไขจำเป็น (necessary condition)
ในฐานะของปัจจัยที่จะเพิ่มหรือลดความน่าจะเกิดขึ้นของเหตุการณ์หนึ่งๆ
บางคนก็หันไปเข้าใจการเป็นสาเหตุโดยใช้เงื่อนไขอีกประเภทที่เรียกว่าเงื่อนไขที่สวนทางกับข้อเท็จจริง
(counterfactual condition)
กล่าวคือ เหตุการณ์หนึ่งจะถือเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ใดได้
ก็ต่อเมื่อเรากล่าวได้ว่าถ้าเหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้น
อีกเหตุการณ์ย่อมไม่เกิดขึ้น
แต่ในเมื่อเราทราบตามข้อเท็จจริงว่าเหตุการณ์หลังที่เราต้องการอธิบายนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
เราจึงเรียกเงื่อนไขในลักษณะนี้ว่าแบบ “สวนทางกับข้อเท็จจริง”
อย่างไรก็ดี
ความพยายามเข้าใจความเป็นสาเหตุในลักษณะนี้ดูจะเป็นที่ถกเถียงกันอยู่พอสมควรว่าไม่ใช้คำอธิบายที่น่าพึงพอใจ
ข้ออภิปรายเกี่ยวกับการเป็นสาเหตุอันเกี่ยวเนื่องกับการกระทำการของบุคคล
(agent
causation)
และที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์เรื่อง
“เหตุผล” (reason)
กับ “การกระทำ”
(action)
ของมนุษย์นั้น
ดูจะได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อยจากนักปรัชญาประวัติศาสตร์แบบวิเคราะห์
เนื่องจากเข้าใจกันอยู่ว่าผลพวงในทางประวัติศาสตร์หลายอย่างนั้น
เกิดขึ้นจากการตัดสินใจกระทำของบุคคล
ถ้าเราสามารถระบุว่าอะไรคือ “เหตุผล”
เบื้องหลังการกระทำของบุคคลในประวัติศาสตร์ได้แล้ว
ก็เท่ากับเราระบุได้ส่วนหนึ่งว่าอะไรคือสาเหตุของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่บุคคลคนนั้นเกี่ยวข้องอยู่
บางครั้งเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นจากการกระทำของบุคคลบางคนอย่างชัดเจน
ดังนั้น
จึงอาจเป็นไปได้ที่คำอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เหตุการณ์นั้น
ก็คือตัวเหตุผลที่ผลักดันให้บุคคลกระทำนั่นเอง กระนั้นก็ดี
ปัญหาใหญ่ที่สุดที่นักปรัชญาประวัติศาสตร์ที่สนใจประเด็นเรื่องความเป็นสาเหตุต้องขบคิดก็คือ
การอธิบายหรือแกะรอยกลไกทางสาเหตุของเหตุการณ์ที่มีความสลับซับซ้อนนั้น
สามารถกระทำได้จริงมากน้อยเพียงไร
เพราะเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่นั้นไม่ใช้เหตุการณ์เดี่ยวๆ
ที่เข้าใจได้ง่ายๆ
แต่มักเป็นชุดของเหตุการณ์ที่มีรายละเอียดอันสลับซับซ้อน
4.
ศาสตร์แห่งการตีความประวัติศาสตร์และประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆ
4.1 ศาสตร์แห่งการตีความประวัติศาสตร์
ปรัชญาประวัติศาสตร์กระแสหลักของวงการปรัชญาในยุโรปภาคพื้นทวีปอีกแนวหนึ่งก็คือแนวที่อาศัยสิ่งที่เรียกว่า
“เฮอร์เมนูติกส์” (hermeneutics)
หรือ “ศาสตร์แห่งการตีความ” เป็นพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม
แนวทางนี้ทำงานทางปรัชญาประวัติศาสตร์โดยเน้นไปที่การตีความการกระทำในประวัติศาสตร์ของปัจเจกบุคคล
แทนที่จะเป็นการตีความเพื่อหาความหมายโดยรวมของกระบวนการทางประวัติศาสตร์ทั้งหมด
ต้นเค้าของวิธีการแบบนี้มาจากธรรมเนียมทางวิชาการในการตีความพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์
กล่าวคือ
นักคิดแนวดังกล่าวนี้เชื่อว่าเราสามารถที่จะนำเทคนิควิธีของการตีความตัวบท
(text)
มาใช้ตีความการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของมนุษย์ที่กระทำผ่านการใช้ภาษาและสัญลักษณ์เช่นกัน
หรืออีกนัยหนึ่ง สิ่งอื่นๆ
ที่มนุษย์กระทำหรือผลิตสร้างก็มีฐานะเป็นตัวบทได้ด้วย
นักคิดเฮอร์เมนูติกยุคบุกเบิกในแนวนี้คือวิลเฮล์ม ดิลไทย์
(Wilhelm Dilthey)
ซึ่งเสนอว่างานของนักค้นคว้าด้านศาสตร์เกี่ยวกับมนุษย์ (human
science)
นั้นต่างจากงานของนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติตรงที่ศาสตร์เกี่ยวกับมนุษย์เป็นงานซึ่งพยายามจะทำความเข้าใจกับการกระทำที่มีความหมายของมนุษย์
(meaningful human actions)
ส่วนงานของนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาตินั้นคือการอธิบายความสัมพันธ์ทางสาเหตุระหว่างเหตุการณ์ที่ไร้ความหมาย
เราต้องแยกให้ออกว่าส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์นั้นดำเนินไปด้วยการกระทำที่มีความหมายและการแสดงออกทางสัญลักษณ์
และประวัติศาสตร์ก็คือกระบวนการของการกระทำและการแสดงออกดังกล่าว
ดังนั้น
จึงเหมาะสมที่สุดที่จะนำศาสตร์แห่งการตีความมาใช้ศึกษาประวัติศาสตร์
ที่งานปรัชญาประวัติศาสตร์ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนศาสตร์แห่งการตีความมีอิทธิพลมากขึ้นตั้งแต่กลางศตวรรษที่
20 มานั้น
ก็เพราะแนวคิดที่ตีความความประวัติศาสตร์โลกผ่านเรื่องเล่าว่าด้วยความก้าวหน้าชนิดต่างๆ
นั้น ถูกท้าทายจากการเกิดขึ้นของสงคราม
ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างชาติและเผ่าพันธุ์
รวมถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวโดยพวกนาซีในสมัยครามโลกครั้งที่สอง
เหตุการณ์ที่น่ากลัวเหล่านี้ดูจะเป็นหลักฐานที่ปฏิเสธการเข้าใจความหมายของประวัติศาสตร์ว่าเป็นพัฒนาการไปสู่ความก้าวหน้า
สำนักศาสตร์แห่งการตีความจึงหันหลังให้กับการเล่าเรื่องแบบเหมารวมและเชื่อว่าประวัติศาสตร์มีเป้าหมายบางอย่างในอนาคต
มาสู่การมองความหมายของประวัติศาสตร์เสียใหม่ผ่านเรื่องเล่าในรูปความทรงจำ
(history as remembrance)
นักปรัชญาและนักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยหลายคนได้รับแรงบันดาลใจมาจากความพยายามทำความเข้าใจเหตุการณ์อย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว
เช่น นักประวัติศาสตร์บางคนสนใจศึกษาบาดแผลในใจ (trauma)
จากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวเป็นพิเศษโดยอาศัยเครื่องมือจากศาสตร์แห่งการตีความ
นอกจากนี้
หลายคนหันมาให้ความสำคัญกับการศึกษาประวัติศาสตร์ของชาวบ้านที่ไม่ใช่นักวิชาการ
(folk history)
โดยเชื่อว่าเป็นสิ่งที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตสร้างความเข้าใจหรือการตีความร่วมเกี่ยวกับ
“อดีต”
ของผู้คนในสังคม
มีความเห็นรวมกันในหมู่นักปรัชญาและนักประวัติศาสตร์แนวนี้ว่า
ความทรงจำและการถ่ายทอดภาพของอดีตออกมาในลักษณะใดลักษณะหนึ่งนั้น
มีบทบาทอย่างสำคัญในการก่อรูปความเข้าใจว่าอะไรคือ
“อัตลักษณ์” (identity)
ทางเชื้อชาติและอัตลักษณ์ของความเป็นชาติขึ้นมา
โดยมักจะเน้นให้เห็นถึงมิติของความเป็นอัตวิสัย
คือไม่ได้เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงแบบตายตัวซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้
และไม่ขึ้นกับการรับรู้เข้าใจของมนุษย์
โดยมิติแง่มุมนี้ซึ่งแฝงอยู่ในความทรงจำของคนในชาติผ่านการยอมรับเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตนเอง
มีข้อน่าสังเกตอยู่ประการหนึ่งว่า
แม้แต่นักปรัชญาประวัติศาสตร์แบบวิเคราะห์
(จะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป)
ซึ่งไม่ได้อยู่ในจารีตทางปรัชญาแบบยุโรปภาคพื้นทวีปบางคน
ก็ยังคิดเห็นไปในทำนองเดียวกันกับนักปรัชญาแนวศาสตร์แห่งการตีความ
อาร์ จี คอลลิงวูด (R. G. Collingwood)
นักปรัชญาชาวอังกฤษในช่วงกลางศตวรรษที่ 20
ก็ยังชี้ให้เห็นว่าประวัติศาสตร์มีองค์ประกอบพื้นฐานคือการกระทำของมนุษย์
และการกระทำของมนุษย์นั้นเป็นผลจากการไตร่ตรอง เจตนารมณ์
และการตัดสินใจเลือก
ดังนั้นงานที่นักประวัติศาสตร์ทำได้และต้องทำก็คือการอธิบายกระบวนการทางประวัติศาสตร์จาก
“มุมมองภายใน” (from
within) กล่าวคือ
ต้องพยายามวาดภาพกระบวนการคิดภายในใจของบุคคลผู้กระทำการในประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ให้ได้
4.2
ประเด็นทางปรัชญาประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอื่นๆ
ในขณะที่แต่เดิมนักปรัชญาประวัติศาสตร์แบบวิเคราะห์เน้นพิจารณาเปรียบเทียบความรู้ของนักประวัติศาสตร์กับความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
และมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์นั้นสามารถตรวจสอบยืนยันและให้ข้อสรุปทั่วไปในแบบเดียวกับวิทยาศาสตร์
แต่หลังจากที่เฮย์เดน ไวท์ (Hayden White)
เขียนหนังสือชื่อ Metahistory
ออกมาเมื่อปี 1973
ความสนใจของนักปรัชญาประวัติศาสตร์แบบวิเคราะห์ก็เริ่มเปลี่ยนไป
กล่าวคือ
หันมาให้ความสนใจมากขึ้นกับแนวทางปรัชญาที่เรียกว่า
“เฮอร์เมนูติกส์”
และทัศนะแบบ “หลังสมัยใหม่”
(post-modernism)
รวมทั้งทฤษฎีวรรณกรรมสำนักฝรั่งเศส
ซึ่งเป็นกระแสความคิดสำคัญของวงการปรัชญาในยุโรปภาคพื้นทวีป
อิทธิพลเหล่านี้ทำให้มองประวัติศาสตร์ในฐานะเป็นงานเขียนประเภทหนึ่ง
ข้อเขียนทางประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นแค่การรวบรวมข้อเท็จจริง
หากแต่เป็นการเล่าเรื่องชนิดหนึ่ง
จึงไม่สามารถจะนำวิทยาศาสตร์ธรรมชาติเป็นต้นแบบของการศึกษาได้
แทนที่จะสนใจคำอธิบายในเชิงสาเหตุ
เราควรหันไปให้ความสำคัญกับลักษณะการนำเสนอเรื่องเล่า (narrative)
ของนักประวัติศาสตร์มากกว่า
นอกจากนั้น ปรัชญาประวัติศาสตร์วิเคราะห์แนวใหม่นี้
ยังพยายามเน้นให้เห็นว่า
งานทางประวัติศาสตร์นั้นมีลักษณะเป็นอัตวิสัย คือ
สามารถตีความได้หลายทาง
มากกว่าที่จะเป็นภววิสัยที่แน่นอนตายตัว
ถ้าจะกล่าวโดยเชื่อมโยงกับปรัชญาประวัติศาสตร์เชิงทฤษฎี
ก็ดูเหมือนว่าปรัชญาประวัติศาสตร์วิเคราะห์แนวใหม่จะมีท่าทีเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ไปในแบบประวัติศาสตร์นิยม
(historicist)
หรือแบบแฮร์เดอร์ มากกว่าสากลนิยม (univrsalist)
แบบของวิโก้
กล่าวคือมองเห็นร่วมกันว่าสำนึกทั้งหลายของมนุษย์นั้นเป็นผลผลิตของเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์
งานสำคัญของนักประวัติศาสตร์จึงคือการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดของบุคคลผู้กระทำการทั้งหลายในอดีต
และด้วยเหตุนี้
นักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยบางคนถึงได้หันไปให้ความสำคัญกับเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของสาขาวิชาทางมานุษยวิทยาที่เรียกว่า”ชาติพันธุ์วรรณนา”
(ethonography)
ซึ่งมุ่งหาความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมของกลุ่มชนในระดับความคิดความเชื่อและจิตสำนึก
งานทางวิชาการของนักประวัติศาสตร์เองหรือนักสังคมศาสตร์บางกลุ่มก็มีส่วนช่วยกำหนดขอบเขตความสนใจทางปรัชญาประวัติศาสตร์ในปัจจุบันอยู่พอสมควร
เนื่องจากนักประวัติศาสตร์มักไม่ค่อยสนใจกับปัญหากว้างๆ
อย่างเรื่องความหมายของประวัติศาสตร์หรือสถานภาพของความรู้ทางประวัติศาสตร์
แต่จะมีนักประวัติศาสตร์หรือนักสังคมศาสตร์บางกลุ่มที่พยายามเชื่อมโยงงานทางประวัติศาสตร์เข้ากับปรัชญาผ่านประเด็นบางประเด็นในระดับที่เฉพาะเจาะจงกว่า
เช่น
การวิพากษ์มโนทัศน์หรือสมมติฐานที่ใช้ในการอ้างเหตุผลสนับสนุนจุดยืนของบรรดานักประวัติศาสตร์ที่ต่างก็เสนอข้ออธิบายที่แตกต่างกันต่อเหตุการณ์ในอดีตหนึ่งๆ
เราอาจจัดงานในลักษณะนี้ได้ว่าเป็นงานปรัชญาประวัติศาสตร์ระดับกลาง
ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ได้รับความสนใจในหมู่นักประวัติศาสตร์เหล่านี้มีเช่น
มโนทัศน์เรื่อง
“เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์”
(historical event) และ “สิ่งทางประวัติศาสตร์”
(historical things)
ซึ่งถือได้ว่าเป็นประเด็นในทางภววิทยาของสิ่งที่นักประวัติศาสตร์ใช้พูดจาสนทนากัน
บางคนพยายามเสนอการวิเคราะห์มโนทัศน์ “สำนึกทางชนชั้น”
(class consciousness)
นอกจากนี้
ยังมีที่เสนอให้นักประวัติศาสตร์หันมาสนใจกับการตีความวัฒนธรรม
หรือนำเอาความคิดในสาขาวรรณคดีวิจารณ์เข้ามาใช้ในการอ่านเอกสารทางประวัติศาสตร์ด้วย
4.3
ภาพรวมของปรัชญาประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน
เราอาจสรุปภาพรวมของปรัชญาประวัติศาสตร์ในปัจจุบันได้ในรูปของชุดคำถามสำคัญๆ
ซึ่งยังถกเถียงกันอยู่อย่างไม่มีข้อยุติดังนี้ (1)
ธรรมชาติของความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์นั้นคือความเป็นจริงเกี่ยวกับอะไรกันแน่
เวลาที่เราพูดถึงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับรัฐ อาณาจักร
หรือขบวนการเคลื่อนไหว ฯลฯ
เรากำลังสร้างสิ่งที่ไม่มีตัวตนจริงๆ
ให้มีตัวตนขึ้นมาหรือไม่ (2)
ธรรมชาติของความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์นั้นเป็นแบบใดกันแน่
ถ้าไม่ใช่ความสัมพันธ์เชิงกฎแบบเดียวกับที่ใช้อธิบายเหตุการณ์เกี่ยวกับวัตถุทางกายภายแล้ว
จะเป็นความสัมพันธ์แบบใด
รวมถึงเราจะอธิบายพลังทางสาเหตุระหว่างเหตุการณ์ได้อย่างไร
(3) บทบาทของการตีความ
“ประสบการณ์ที่บุคคลรับรู้จริง”
(lived experience)
ของผู้กระทำการในอดีตนั้น
ควรจะมีอยู่มากน้อยเพียงใดในการเข้าใจประวัติศาสตร์
และนักประวัติศาสตร์จะสามารถยืนยันความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชนิดดังกล่าวได้อย่างไร
เป็นไปได้อย่างไรที่เราจะสามารถตีความหัวจิตหัวใจหรือการกระทำของคนในอดีตได้อย่างน่าเชื่อถือ
รวมถึงความรู้เชิงประสบการณ์ดังกล่าว (ถ้ามีได้จริง)
จะมีความสำคัญเพียงใดกับอธิบายเรื่องการเป็นสาเหตุทางประวัติศาสตร์
(4)
มีหนทางที่เราจะมั่นใจร่วมกันได้หรือไม่กับคำตอบเกี่ยวกับอดีต
เกี่ยวกับสถาบันในอดีต เกี่ยวกับโครงสร้างทางสังคม
เศรษฐกิจ การเมือง ในอดีต เกี่ยวกับบุคคลผู้กระทำการ
รวมทั้งคำอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ
เหล่านี้ที่นักประวัติศาสตร์เสนอไปในทางต่างๆ กัน
หรือไม่ว่าอย่างไรก็ตามการอ้างความรู้ในทางประวัติศาสตร์นั้นก็สามารถตั้งคำถามได้เสมอ
ปรัชญาประวัติศาสตร์กระแสใหม่ที่ได้เห็นไปในตอนท้ายหัวข้อที่
2 และ 3
นั้นสามารถให้คำตอบบางอย่างกับคำถามพื้นฐานเหล่านี้ได้
ทั้งปรัชญาประวัติศาสตร์ที่มีพื้นฐานจากธรรมเนียมแบบยุโรปภาคพื้นทวีปและปรัชญาวิเคระห์แบบแองโกล-อเมริกัน
ต่างหันมาเน้นการมองประวัติศาสตร์ในฐานะของเรื่องเล่าและเกี่ยวข้องกับการตีความในบางลักษณะด้วยกันทั้งคู่
ในวงการปรัชญาวิเคราะห์นั้นระเบียบที่เข้มงวดของการแสวงหาความรู้ยังคงถือเป็นหลักอยู่
แต่อิทธิพลของแนวคิดแบบปฏิฐานนิยม (positivism)
ซึ่งให้ความสำคัญกับหลักฐานเชิงประจักษ์เท่านั้น
เริ่มเสื่อมคลายลงไปเรื่อยๆ
นักปรัชญาประวัติศาสตร์จากธรรมเนียมทั้งสองหันมาร่วมมือและอาศัยประโยชน์จากการค้นคว้าของนักประวัติศาสตร์เองและนักสังคมศาสตร์หลายๆ
สาขามากขึ้น
และถ้าหากเราจะลองมองภาพโดยรวมเกี่ยวกับทัศนคติที่นักปรัชญาประวัติศาสตร์รุ่นใหม่หลายๆ
คนมีอยู่ร่วมกันในตอนนี้ ก็อาจจะสรุปออกมาได้ดังนี้
นักปรัชญาประวัติศาสตร์มีความเห็นร่วมๆ กันว่า
ประวัติศาสตร์นั้นมีองค์ประกอบพื้นฐานคือการกระทำทั้งหลายของมนุษย์
และการกระทำดังกล่าวนั้นเข้าใจได้ภายในกรอบของสถาบันและโครงสร้างบางอย่างที่ตัวมนุษย์เองเป็นผู้สร้างขึ้น
ไม่มีโครงสร้างแห่งความหมายที่อยู่เหนือระดับของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ขึ้นไป
เหตุผลของการกระทำของบุคคลสามารถมีฐานะเป็นสาเหตุในการอธิบายประวัติศาสตร์ในเชิงสาเหตุและผลได้
รวมถึงเราสามารถตีความการกระทำหรือความตั้งใจของบุคคลได้
คำอธิบายทางประวัติศาสตร์จึงเป็นทั้งเรื่องของสาเหตุและผลลัพธ์และเรื่องของการตีความ
นักปรัชญาประวัติศาสตร์ในปัจจุบันยังมีแนวโน้มร่วมกันที่จะไม่เชื่อว่ามีกฎที่เป็นสากลที่จะใช้อธิบายการกระทำของมนุษย์ได้
อย่างไรก็ตาม
เราสามารถแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับการเป็นสาเหตุในสังคมได้ผ่านการพิจารณาการกระทำของมนุษย์ภายใต้ความสัมพันธ์ตามกรอบสถาบันและโครงสร้างต่างๆ
ที่ดำรงอยู่ในขณะหนึ่งๆ
ในด้านของการอ้างความรู้ในทางประวัติศาสตร์นั้น
นักปรัชญาประวัติศาสตร์ในปัจจุบันมีแนวโน้มให้น้ำหนักกับหลักฐานและการศึกษาค้นคว้าในเชิงประจักษ์
ความเป็นภววิสัยของความรู้ทางประวัติศาสตร์อาจจะเกิดขึ้นได้ในความหมายที่ว่านักประวัติศาสตร์สามารถอาศัยการสืบค้นที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับหลักฐานในบางลักษณะเพื่อจะสร้างทฤษฎีที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับอดีตขึ้นมาได้
ทั้งนี้อาจจะไม่ได้หมายความว่าเราสามารถที่จะหาการตีความทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องเพียงการตีความเดียวได้
แต่นักประวัติศาสตร์จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษกับรูปแบบอันหลากหลายในการนำเสนอความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์เดียวกันในอดีต
ซึ่งอาจจะน่าเชื่อถือได้พอๆ กัน
บางการนำเสนอภาพของอดีตอาจจะเน้นด้านสาเหตุปัจจัย
บางการนำเสนออาจเน้นไปที่การบรรยายสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
และบางการนำเสนออาจเป็นเกี่ยวกับการตีความการกระทำของมนุษย์ออกมาเป็นเรื่องเล่า
พุฒวิทย์ บุนนาค (ผู้เรียบเรียง)
เรียบเรียงจาก
· |
Dray, W. H. 1967. Philosophy of History. In Paul Edward
(ed.). The Encyclopedia of Philosophy. New
York: MacMillan, Vol. 6: 247-254. |
· |
Graham, Gordon. Philosophy of History. In Edward Craig (ed.).
Routledge Encyclopedia of Philosophy
[CD-Rom Version 1.0]. |
· |
Little, Daniel. 2007. Philosophy of History. In Edward
N. Zalta (ed.).
The Stanford Encyclopedia of Philosophy. URL=<http://plato.stanford.edu/entries/history/>. |
เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม
· |
Collingwood,
R. G. 1946. The Idea of History. Oxford:
Clarendon Press. (งานปรัชญาประวัติศาสตร์ที่พยายามเข้าใจประวัติศาสตร์ผ่านประสบการที่บุคคลรับรู้เล่มสำคัญที่สุดจากนักปรัชญาแบบวิเคราะห์)
|
· |
Danto, A. C.
1965. Analytical Philosophy of History.
Cambridge: Cambridge University Press. (งานที่ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของปรัชญาประวัติศาสตร์แบบวิเคราะห์) |
· |
Dray, W. H.
1957. Laws and Explanation in History.
Oxford: Clarendon Press. (งานที่เสนอข้อโต้แย้งต่อรูปแบบการอธิบายตามกฎ(‘covering
law’ theory of historical explanation)
ที่มีชื่อเสียงที่สุด) |
· |
Hegel, G. W.
F. 1837. Lectures on the Philosophy of World
History. Trans. H. B. Nisbet. Cambridge:
Cambridge University Press, 1975. (บทแปลที่ดีที่สุดของงานปรัชญาประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของเฮเกล) |
· |
Hempel, C. G.
1942 The Function of General Laws in History.
Journal of Philosophy 38 (1): 35-48. (งานที่เสนอว่าคำอธิบายทางประวัติศาสตร์ควรมีลักษณะเดียวกับคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์
คือเป็นคำอธิบายตามกฎ (‘covering law’ theory of
historical explanation)) |
· |
Herder, J. G.
1800. Outlines of a Philosophy of the History of
Man.
Trans. T. O. Churchill, abridged F. C. Manuel. London:
University of Chicago Press, 1968. (งานปรัชญาประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของแฮร์เดอร์) |
· |
Popper, K. R.
1957. The Poverty of Historicism.
London: Routledge & Kegan Paul. (ยอมรับกันว่าเป็นเงินที่เสนอข้อตโต้แย้งต่อแนวคิดแบบประวัติศาสตร์นิยมที่มีชื่อเสียงที่สุด) |
· |
Spengler, O.
1918. The Decline of the West. Trans. C.
F. Atkinson. London: Allen and Unwin, 2 vols., 1926. (อาจจะเป็นงานของนักประวัติศาสตร์ที่คิดเป็นปรัชญาซึ่งมีข้อเสนอที่ทะเยอทะยานที่สุด) |
· |
Vico, G.
1744. The New Science. Trans. T. G. Bergin
and M. H. Fisch. Ithaca, NY: Cornell University Press,
1948. (งานปรัชญาประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของวิโก้) |
· |
Walsh, W. H.
1967. Introduction to Philosophy of History.
London: Hutchinson, 3rd revised edition. (หนังสือแนะนำปรัชญาประวัติศาสตร์ที่ถือเป็นมาตรฐานเล่มหนึ่ง) |
คำที่เกี่ยวข้อง
เฮอร์เมนูติกส์ /
ความเป็นสาเหตุ
Hermeneutics /
Causation
|