ความชั่วร้ายเป็นปัญหาสำคัญที่สุดปัญหาหนึ่งสำหรับศาสนาแบบเอกเทวนิยม
โดยเฉพาะในแบบที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงเปี่ยมด้วยความสมบูรณ์แบบ
เหตุผลเนื่องจากถ้าพิจารณาถึงคุณลักษณะของพระเจ้าแล้ว
ความชั่วร้ายเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ กล่าวคือ
พระเจ้าเป็นผู้ทรงสรรพฤทธิ์
(omnipotent) ทรงไว้ด้วยความดีสมบูรณ์
(perfectly good)
อีกทั้งยังทรงเป็นสัพพัญญู (omniscience)
ถ้าพระเจ้าทรงสรรพฤทธิ์
พระองค์ก็น่าจะทรงสร้างจักรวาลให้ปราศจากความชั่วร้ายได้
ด้วยความที่พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความรัก
พระองค์ก็ไม่น่าที่จะทรงปรารถนาให้มนุษย์เผชิญความทุกข์ใดๆ
และในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นสัพพัญญู
พระองค์ย่อมทรงรู้ล่วงหน้าว่ามนุษย์จะกระทำบาปต่อพระองค์
อันเป็นเหตุให้มนุษย์ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากในภายหลัง
พระองค์จึงน่าจะทรงสามารถหาทางป้องกันมิให้มนุษย์ทำบาปได้
ดังนั้น
ในฐานะที่จักรวาลและมนุษย์สร้างขึ้นโดยพระเจ้าผู้ทรงสรรพฤทธิ์
ผู้ทรงความดีสูงสุด และผู้ทรงเป็นสัพพัญญู
จักรวาลนี้จึงน่าที่จะปราศจากความชั่วร้าย
และมนุษย์ก็มิควรจะต้องเผชิญกับความชั่วร้ายใดๆ
แต่ในความเป็นจริงที่พบ
มนุษย์ยังต้องเผชิญกับความชั่วร้ายอยู่
เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหานี้
ก่อนอื่นควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับความชั่วร้ายก่อน
1. ประเภทของความชั่วร้าย
ความชั่วร้ายแบ่งออกเป็น
3 ประเภท ดังนี้
1.1 ความชั่วร้ายทางจริยธรรมหรือบาป
(moral evil or sin)
ความชั่วร้ายทางจริยธรรมหรือบาป หมายถึง
ความชั่วร้ายที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
ซึ่งศาสนาคริสต์เรียกว่า
“บาป”
อันเป็นความชั่วร้ายทางความประพฤติที่ไม่น่าถึงปรารถนา
หรือเป็นความประพฤติที่ไม่ดี ไม่ควรปฏิบัติ
นอกจากนี้ยังหมายรวมถึงการไม่เชื่อฟังพระเจ้าด้วย
1.2 ความชั่วร้ายทางธรรมชาติ
(natural evil)
ความชั่วร้ายทางธรรมชาติคือ
ปรากฏการณ์ที่มีสาเหตุมาจากธรรมชาติ
และก่อให้เกิดความเจ็บปวดทรมาน ความสูญเสียชีวิต
รวมทั้งชีวิตผู้มีจริยธรรมผู้เชื่อฟังพระเจ้า เช่น
แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม เป็นต้น
1.3 ความชั่วร้ายทางอภิปรัชญา
(metaphysical evil)
ความชั่วร้ายอันเนื่องมาจากธรรมชาติของมนุษย์ในฐานะที่เป็นสิ่งที่ถูกสร้าง
กล่าวคือ ในฐานะที่มนุษย์เป็นสิ่งที่ถูกสร้าง
มนุษย์จึงไม่มีความสมบูรณ์และเต็มไปด้วยข้อจำกัด
เมื่อมนุษย์มีข้อจำกัด
จึงทำให้บางครั้งมนุษย์ใช้เจตจำนงอิสระไปในทางที่ผิด
ก็เป็นเหตุให้มนุษย์ทำบาป และสิ่งนี้นำมาซึ่งความชั่วร้าย
2. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับปัญหาความชั่วร้าย
ข้อถกเถียงเกี่ยวกับปัญหาความชั่วร้ายแบ่งออกเป็น
2 แนวทาง คือ
1
ปัญหาความชั่วร้ายเชิงตรรกวิทยา (logical problem
of evil)
2 ปัญหาความชั่วร้ายเชิงหลักฐาน
(evidential problem of evil)
ปัญหาความชั่วร้ายเชิงตรรกวิทยาเห็นว่าในทางตรรกวิทยาแล้ว
ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะของพระเจ้าที่ทรงสรรพฤทธิ์
ทรงไว้ด้วยความดีสมบูรณ์ และทรงเป็นสัพพัญญูนั้น
ไม่อาจจริงได้ในเวลาเดียวกับความเชื่อที่ว่ามีความชั่วร้ายดำรงอยู่
หรืออีกนัยหนึ่ง ถ้าความเชื่อหนึ่งจริง
อีกความเชื่อต้องเท็จ
ข้อถกเถียงดังกล่าวสามารถเขียนเป็นรูปแบบการอ้างเหตุผลทางตรรกวิทยาได้ดังนี้
ความเชื่อที่
1
พระเจ้าดำรงอยู่และทรงอำนาจสูงสุด
ทรงเป็นสัพพัญญูและทรงความดีสูงสุด
ความเชื่อที่
2
ความชั่วร้ายดำรงอยู่
เมื่อผนวกกับเหตุผลต่อไปนี้
จะพบว่าหนึ่งในสองความเชื่อนี้ต้องเป็นเท็จ
(ก)
สิ่งที่ทรงความดีสูงสุดควรที่จะกำจัดความชั่วร้ายออกไปเท่าที่จะเป็นไปได้
(ข)
สัตที่เป็นสัพพัญญูควรรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับความชั่วร้าย
(ค) ไม่มีสิ่งใดที่สัตที่ทรงอำนาจสูงสุดทำไม่ได้
จาก
(ก) – (ค)
แสดงให้เห็นว่า ความเชื่อที่ 1
หรือ
ความเชื่อที่ 2 เท็จ อย่างไรก็ตาม
ความเชื่อที่ 2 นั้นมีความชัดเจนจากประสบการณ์ของเรา
ดังนั้น บางคนจึงสรุปว่า
(ง)
ถ้าความเชื่อที่ 2 จริง ความเชื่อที่ 1 น่าจะเป็นเท็จ
กล่าวคือ ถ้าความชั่วร้ายมีอยู่จริง พระเจ้าไม่น่ามีอยู่
นักปรัชญาศาสนาอย่างเช่น วิลเลียม โรว์
(William Rowe) วิลเลียม พี. อัลสตัน
(William P. Alston) ปีเตอร์ แวน อินวาเกน
(Peter Van Inwagen) และสตีเฟน
ไวสตร้า (Stephen Wykstra)]
มองว่าการโต้แย้งเกี่ยวกับปัญหาความชั่วร้ายไม่ควรเป็นเรื่องของข้อถกเถียงเชิงตรรกวิทยาข้างต้น
แต่ควรเป็นเรื่องของข้อถกเถียงเกี่ยวกับปัญหาความชั่วร้ายเชิงหลักฐานมากกว่า
ข้อถกเถียงเชิงหลักฐานก็อาศัยการอ้างเหตุผลที่ใช้กันในการถกเถียงเชิงตรรกวิทยาชุดข้างต้นเช่นกัน
ความแตกต่างอยู่ตรงที่ข้อถกเถียงเชิงหลักฐานเห็นว่าการยกหลักฐานที่เกิดขึ้นจริงเพื่อสนับสนุนความเชื่อที่
2 จะเป็นสิ่งที่ให้น้ำหนักในการปฏิเสธความเชื่อที่ 1
อย่างแท้จริง
การถกเถียงเชิงตรรกวิทยาพิจารณาเฉพาะความเป็นไปได้
(หรือความเป็นไปไม่ได้) ที่ความเชื่อที่ 1 และ 2
จะจริงในเวลาเดียวกัน การพิจารณาเช่นนี้เป็นนามธรรม
แต่การยกความชั่วร้ายที่รุนแรงที่เกิดขึ้นจริงจะเป็นรูปธรรม
และทำให้เห็นว่าควรที่จะปฏิเสธความเชื่อที่ 1
ได้อย่างชัดเจน
3. การแก้ปัญหาความชั่วร้าย
จากความขัดแย้งระหว่างความเชื่อที่ 1 และ 2 ข้างต้น
มีนักปรัชญาเสนอวิธีแก้ไขปัญหามากมาย
ถึงแม้ว่าแต่ละแนวทางจะมีข้อเสนอที่แตกต่างกัน
แต่สิ่งที่มีร่วมกันคือทุกแนวความคิดยอมรับว่าเราสามารถยอมรับได้ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่พร้อมๆ
กับที่จะยอมรับว่าโลกนี้มีความชั่วร้าย ดังนั้น
เหตุผลที่เสนอมาจึงเป็นพยายามอธิบายว่าพระเจ้าผู้ทรงสมบูรณ์แบบกับความชั่วร้ายสามารถดำรงอยู่ด้วยกันได้อย่างไร
ความพยายามปกป้องความยุติธรรมหรือความดีงามของพระเจ้าต่อข้อวิจารณ์ที่อ้างถึงความชั่วร้ายนี้
เรียกว่า “theodicy”
ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า “theos”
ซึ่งหมายถึง “พระเจ้า”
และคำว่า “dike”
ซึ่งหมายถึง ความยุติธรรม (justice)
ในการแก้ปัญหาดังกล่าว
วิธีการหนึ่งที่พบได้เรียกว่าวิธีการยก
“เหตุผลที่เพียงพอทางจริยธรรม”
(morally sufficient reason)
อันเป็นข้อเสนอว่าพระเจ้าอาจมีเหตุผลที่ดีในการยอมให้มีความชั่วร้ายและความเจ็บปวดเกิดแก่มนุษย์
ขอให้ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้
(1) อาจเป็นได้ว่า
พระเจ้ามีเหตุผลที่เพียงพอทางจริยธรรมสำหรับการยอมให้มีสิ่งชั่วร้าย
ถ้าพระเจ้ามีเหตุผลที่เพียงพอทางจริยธรรม
อาจเป็นได้ว่าพระเจ้าทรงอำนาจสูงสุด
แต่ยังคงมีความชั่วร้ายและเจ็บปวดได้
(2)
ถ้าพระเจ้ารู้เกี่ยวกับความชั่วร้ายและความเจ็บปวดในโลก
และรู้วิธีกำจัดหรือปกป้อง และมีอำนาจมากพอในการปกป้อง
แต่การที่พระองค์ไม่ทรงกระทำก็ไม่ได้หมายความว่า
พระองค์ไม่ได้ทรงความดีสูงสุด
แต่เป็นเพราะพระองค์มีเหตุผลที่เพียงพอทางจริยธรรมในการยอมให้มีความชั่วร้าย
(3)
ถ้าพระเจ้ารู้เกี่ยวกับความชั่วร้ายและความเจ็บปวด
รู้วิธีการกำจัดหรือปกป้องและต้องการที่จะปกป้อง
แต่การที่พระองค์ไม่ทรงกระทำก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ทรงเป็นสัพพัญญู
แต่เป็นเพราะพระองค์มีเหตุผลที่เพียงพอทางจริยธรรมในการยอมให้มีความชั่วร้าย
(4)
ถ้าพระเจ้าทรงมีอำนาจมากพอที่จะปกป้องโลกจากความชั่วร้ายและความเจ็บปวดและต้องการจะทำเช่นนั้น
แต่การที่พระองค์ไม่ทรงกระทำก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ได้ทรงอำนาจสูงสุด
แต่เป็นเพราะพระองค์มีเหตุผลที่เพียงพอทางจริยธรรมในการยอมให้มีสิ่งชั่วร้าย
(5) ดังนั้น
ถ้าความชั่วร้ายดำรงอยู่ ก็หมายความได้ว่า
(ก)
พระเจ้าไม่ทรงอำนาจสูงสุด ไม่ทรงเป็นสัพพัญญู
หรือไม่ทรงความดีสูงสุด หรือ (ข)
พระเจ้ามีเหตุผลที่เพียงพอทางจริยธรรมในการยอมให้มีความชั่วร้าย
จะเห็นได้ว่า
(1) – (4) แสดงว่าแม้มีความชั่วร้าย
เราก็มิอาจสรุปได้ทันทีว่าพระเจ้าไม่ดำรงอยู่ ทั้งนี้
เพราะว่าการมีความชั่วร้ายนั้น
อาจเป็นเพราะพระเจ้าทรงมีเหตุผลที่เพียงพอทางจริยธรรมในการยอมให้ความชั่วร้ายเหล่านั้นเกิดขึ้นก็ได้
เห็นได้ว่าวิธีการนี้ยกมาเพื่อโต้แย้งปัญหาความชั่วร้ายเชิงตรรกวิทยา
เนื่องจากเป็นการแสดงถึงความเป็นไปได้ที่ความเชื่อที่
1
(พระเจ้าดำรงอยู่และทรงอำนาจสูงสุด
ทรงเป็นสัพพัญญูและทรงความดีสูงสุด) และความเชื่อที่
2 (ความชั่วร้ายดำรงอยู่)
จะจริงพร้อมกัน
ณ จุดนี้
อาจมีคนตั้งคำถามว่าการบอกว่าพระเจ้าทรงมีเหตุผลที่เพียงพอทางจริยธรรมนั้นมีความหมายอย่างไร
เราอาจพิจารณาจากตัวอย่างเหตุการณ์ที่เราพบเห็นโดยทั่วไป
เช่น
วันหนึ่งเพื่อนบ้านช่างนินทาของคุณมาเล่าว่าคุณปราณียอมให้คนอื่นมาทำให้ลูกของตนเจ็บปวด
ทีแรกคุณอาจตกใจ แต่เมื่อคุณได้รู้ความจริงว่า
ความเจ็บปวดที่คนอื่นกระทำต่อต่อลูกของคุณปราณีคือการฉีดภูมิคุ้มกันโรคโปลิโอ
ถึงตอนนี้คุณก็จะไม่คิดว่าคุณปราณีเป็นคนอันตรายต่อลูกของตนเอง
หรืออาจเป็นอันตรายต่อสังคมด้วย หรืออีกนัยหนึ่ง
สำหรับกรณีการฉีดภูมิคุ้มกันโรคโปลิโอ
คุณปราณีมีเหตุผลที่เพียงพอทางจริยธรรมในการยอมให้เกิดความเจ็บปวดกับลูกของตน
ในทำนองเดียวกัน เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีแก่มนุษย์
พระเจ้าอาจมีเหตุผลเพียงพอทางจริยธรรมในการยอมให้มีความชั่วร้ายเกิดขึ้น
ไลบ์นิซ (Leibniz)
คือผู้ที่ริเริ่มใช้วิธีการอ้างถึงเหตุผลที่เพียงพอทางจริยธรรมของพระเจ้า
เขาให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าพระเจ้าทรงมีเหตุผลที่เพียงพอในการสร้างโลกนี้ขึ้นมา
เนื่องจากโลกนี้เป็นโลกที่ดีที่สุดในบรรดาโลกที่เป็นไปได้ทั้งหลาย
(the best possible world)
แม้ในโลกนี้จะพบความชั่วร้าย
แต่ความชั่วร้ายเหล่านี้ก็เป็นองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับก่อให้เกิดความดีที่ยิ่งใหญ่กว่า
โลกนี้จะไม่สมบูรณ์ถ้าขาดความชั่วร้ายเหล่านี้
ข้อวิจารณ์สำคัญต่อเหตุผลเช่นนี้ก็คือทำไมจึงเห็นว่าวิถีทางใดๆ
ไม่ว่าจะเป็นความชั่วร้ายหรือไม่ ก็นับว่าชอบธรรม
ถ้าหากวิถีทางนั้นช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่ดีกว่า
อีกข้อถกเถียงในการแก้ไขปัญหาความชั่วร้ายคือการอ้างถึงเจตจำนงอิสระ
(free
will) ของมนุษย์ ทัศนะนี้มีประเด็นหลัก
2 ประการคือ
(1) เจตจำนงอิสระของมนุษย์เป็นสิ่งที่ประเสริฐ
ทั้งเป็นสิ่งที่ดีในตัวเองและเป็นสิ่งที่ช่วยให้บรรลุผลตามพระประสงค์ของพระเจ้า
(2)
ในอันที่พระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ผู้มีอิสระจะบรรลุผลได้
พระองค์ต้องอนุญาตให้มนุษย์ใช้อิสรภาพของตนในทางที่ผิดได้
ซึ่งการใช้อิสรภาพในลักษณะดังกล่าวก็คือสิ่งที่นำสู่ความชั่วร้ายนั่นเอง
ข้อถกเถียงนี้เน้นคุณลักษณะด้านความดีสูงสุดของพระเจ้า
ซึ่งทำให้พระองค์ทรงให้สิ่งที่ประเสริฐสุดแก่มนุษย์
นั่นคือ เจตจำนงอิสระ และในขณะเดียวกัน
ก็ช่วยอธิบายว่าพระองค์มิได้เป็นผู้ก่อให้เกิดความชั่วร้าย
นอกจากนี้
ความชั่วร้ายยังไม่ใช่ข้อบกพร่องของสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
แต่เป็นผลข้างเคียงที่พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว
ประเด็นของข้อถกเถียงนี้ก็คือเรื่องของการ “ตกสวรรค์” (the
Fall) นั่นเอง
พระองค์ทรงให้อดัมและอีฟมีอิสระในการเลือก
เพื่อให้พวกเขาเลือกสิ่งที่ดีและถูกต้องด้วยตนเอง
มิใช่ด้วยถูกบังคับ แต่ในที่สุด
ทั้งสองก็ใช้อิสรภาพที่มีไปในทางที่ผิด
ทำให้ความชั่วร้ายได้เกิดขึ้นมา
วิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวก็มุ่งแก้ปัญหาความชั่วร้ายเชิงตรรกวิทยาเช่นกัน
เนื่องจากมุ่งอธิบายการดำรงอยู่ร่วมกันได้ระหว่างความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะของพระเจ้าและความเชื่อที่ว่ามีความชั่วร้ายดำรงอยู่
ปัญหาของวิธีแก้ปัญหานี้ก็คืออธิบายได้เฉพาะความชั่วร้ายที่เกิดจากเจตจำนงอิสระเท่านั้น
แต่ไม่อาจอธิบายความชั่วร้ายประเภทอื่นๆ ได้
สำหรับผู้เสนอปัญหาความชั่วร้ายเชิงหลักฐานนั้น
จะมุ่งท้าทายเหตุผลหรือเป้าหมายที่ดีเบื้องหลังความชั่วร้ายอย่างที่ปรากฎในการแก้ปัญหาความชั่วร้ายเชิงตรรกวิทยาข้างต้น
ผู้เสนอปัญหาความชั่วร้ายเชิงหลักฐานจะพยายามยกกรณีเฉพาะต่างๆ
ที่ทำให้เชื่อได้ว่าไม่น่าจะมีเหตุผลหรือเป้าหมายที่ดีใดๆ
เบื้องหลังความทุกข์ หรืออีกนัยหนึ่ง
เป็นความพยายามที่จะยกให้เห็นกรณีของ
“ความชั่วร้ายที่ไร้ความหมาย” (pointless
evil) ตัวอย่างของกรณี เช่น
ลูกกวางที่ถูกไฟป่าเผาและเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสอยู่
5 วันก่อนจะตาย ในกรณีเช่นนี้
คำถามก็คือความทุกทรมานดังกล่าวสามารถนำไปสู่ “ความดี”
อะไรได้
หรือกรณีของเด็กทารกที่เกิดมาพร้อมโรคร้ายและต้องเสียชีวิตลงหลังจากทรมานอยู่นานหลายวัน
อะไรคือเป้าหมายที่ดีเบื้องหลังความชั่วร้ายนี้
ข้อโต้แย้งของผู้เสนอปัญหาความชั่วร้ายเชิงหลักฐานมีลักษณะทั่วไปเช่นนี้
(1) มีความชั่วร้ายที่ไม่มีเป้าหมายนำไปสู่ความดีใดๆ
(2) ถ้าพระเจ้าทรงดำรงอยู่
ความชั่วร้ายที่ไม่มีเป้าหมายนำไปสู่ความดีย่อมไม่อาจมีอยู่ได้
(3) ดังนั้น พระเจ้าไม่ทรงดำรงอยู่
วิลเลียม โรว์
ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสนอปัญหาความชั่วร้ายเชิงหลักฐาน
เสนอข้อโต้แย้งคล้ายกันดังนี้
(1) มีความเจ็บปวดดำรงอยู่ โดยสัต (Being)
อันมีอำนาจสูงสุดและเป็นสัพพัญญูสามารถปกป้องไม่ให้เกิดขึ้นได้
โดยไม่ต้องสูญเสียสิ่งที่ดีไป
(2)
สัตที่เป็นสัพพัญญูและมีความดีสูงสุดจะป้องกันไม่ให้เกิดมีความเจ็บปวด
เว้นแต่ว่าจะไม่สามารถกระทำได้โดยปราศจากการสูญเสียสิ่งที่ดีไป
(3) ฉะนั้น ไม่มีสัตที่เป็นสัพพัญญูและมีความดีสูงสุด
การโต้แย้งผู้เสนอปัญหาความชั่วร้ายเชิงหลักฐานวิธีหนึ่ง
ก็คือการอธิบายว่าในแต่ละกรณีเฉพาะที่ยกมานั้น
มีเป้าหมายที่ดีอะไรแอบแฝงอยู่ได้บ้าง อย่างไรก็ตาม
ทางแก้ปัญหานี้อาจประสบความล้มเหลวได้
เนื่องจากมีหลายกรณีที่คำอธิบายดูจะไม่มีน้ำหนัก
สมมุติคนอธิบายว่ากวางต้องทรมานเพื่อให้มนุษย์เรียนรู้ที่จะเมตตาและห่วงใยสัตว์โลก
ก็อาจแย้งได้ว่าการเรียนรู้ดังกล่าวมีได้โดยกวางไม่ต้องทรมานขนาดนั้น
ทางแก้ปัญหาความชั่วร้ายเชิงหลักฐานอีกวิธีหนึ่งที่มีน้ำหนักกว่าก็คือการชี้ถึงข้อจำกัดด้านสติปัญญาของมนุษย์
นั่นคือ
การที่เรามิอาจคิดถึงเหตุผลที่ดีเบื้องหลังความทุกข์ทรมานนั้น
ไม่จำเป็นต้องแสดงว่าไม่มีเหตุผลนั้นอยู่
แต่อาจจะแสดงเพียงว่าสติปัญญาของเรามิอาจเข้าถึงเหตุผลนั้น
นอกจากแนวทางแก้ปัญหาเหล่านี้แล้ว ยังมีแนวทางอื่นๆ อีก
โดยแนวทางเหล่านี้มุ่งแก้ไขที่ความเชื่อ 1 หรือ 2
ตัวอย่างเช่น
แนวทางที่ปฏิเสธว่าความชั่วร้ายเป็นเพียงมายาภาพ (illusion)
เท่านั้น ไม่ได้มีอยู่จริงๆ
แนวทางนี้เป็นการปฏิเสธความเชื่อ 2
หรือแนวทางของเทววิทยาเชิงกระบวนการ (process
theology)
ที่ปฏิเสธบางคุณลักษณะของพระเจ้า เช่น
คุณลักษณะเรื่องสรรพฤทธิ์
ซึ่งแนวทางนี้เป็นการปรับเปลี่ยนความเชื่อ 1
มัสยา นิรัติศยภูติ (ผู้เรียบเรียง)
เรียบเรียงจาก
· |
Adams,
Marilyn McCord. 1998. Evil, problem of.
Routledge Encyclopedia of Philosophy. [CD-ROM
Version 1.0]. |
· |
Hick, John. 1967. Evil, the
problem of. In Donald M. Bochert
(ed.). The Encyclopedia of
Philosophy. Second
Edition. New York: Macmillan,
Vol. 1: 471-477. |
· |
Holt, Tim. The Problem of
Evil. [Online]. Available:
http://www.philosophyofreligion.info/problemofevil.html
(Accessed Date: 23/5/2007) |
· |
Tooley,
Michael.
The Problem of Evil. [Online]. Available:
http://plato.standford.edu/entries/evil/
(Accessed Date: 25/5/2007) |
เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม
· |
Adams, Marilyn McCord & Robert M. Adams.
1991.
The Problem of Evil. Oxford University
Press.
(ข้อถกเถียงเกี่ยวปัญหาความชั่วร้าย) |
· |
Adams, R. M. 1985. Plantinga on
the Problem of Evil. In J. E.
Tomberlin and P. van Inwagen (eds.).
Profiles: Alvin Plantinga.
Dordrecht: Reidel, pp. 225-255.
(ข้อเสนอของแพลนทิงก้าต่อปัญหาความชั่วร้าย) |
· |
Mackie, J. L.
1955. Evil and Omnipotence. Mind 64:
200-212. (ข้อถกเถียงเกี่ยวกับปัญหาความชั่วร้ายกับการดำรงอยู่ของพระเจ้า) |
· |
Rowe, William L. 2002.
God and the Problem of Evil. Blackwell
Publishers
(ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระเจ้ากับปัญหาความชั่วร้าย) |
ญาณวิทยาศาสนา /
อเทวนิยม
/
การอ้างเหตุผลยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้า
Epistemology of Religion
/
Atheism /
Arguments for the Existence
of God
|