1.
ลักษณะของความเชื่อทางศาสนา
โดยทั่วไป ความเชื่อทางศาสนาจะมีสถานะแตกต่างจากความเชื่ออื่น
คือเป็นความเชื่อที่ถือว่าจริงโดยไม่ต้องมีการอ้างหลักฐานสนับสนุน
หรือเป็นความเชื่อที่ไม่สามารถพิจารณาด้วยเหตุผล
ในทางศาสนา สิ่งที่ใช้รับประกันว่าความเชื่อชนิดเป็นความจริงก็คือศรัทธาในความเชื่อนั้น
ด้วยทัศนะเช่นนี้
จึงทำให้ความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้ามีสถานะพิเศษกว่าความเชื่ออื่น
ดังที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล
เช่น
“ศรัทธาเป็นเครื่องประกันแห่งความหวัง
เป็นการเชื่อมั่นในสิ่งที่ไม่ได้เห็น” (ฮิบรู
11:1) “หากปราศจากศรัทธาแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น
ต้องเชื่อว่าพระองค์มีอยู่
และเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ผู้ที่แสวงหาพระองค์”
(ฮิบรู 11: 6) ศรัทธาจึงเป็นสิ่งที่ใช้รับประกันความเชื่อทางศาสนา
และทำหน้าที่เป็นเสมือนกับเสาหลักในการสนับสนุนความเชื่อทางศาสนา
ความจริงของความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าเป็นความจริงในระดับที่เรียกว่า
“ความจริงระดับอุตรภาวะ”
(transcendent truth)
ที่หมายถึงความจริงในระดับเหนือธรรมชาติ
หรือเป็นความจริงที่มีลักษณะเหนือกว่า
หรือเกินไปกว่าการรับรู้โดยประสบการณ์ปรกติ
มีความเชื่อว่าการรับรู้ความจริงในเชิงอุตรภาวะเป็นการรับรู้ได้เฉพาะในรูปแบบพิเศษ
เช่น การรับรู้ผ่านการเผยแสดงของพระเจ้าที่เรียกว่า
“วิวรณ์” (revelation)
มนุษย์จะสามารถรับรู้ความจริงลักษณะนี้ได้ก็ต่อเมื่อพระเจ้าทรงมีพระประสงค์จะให้มนุษย์รับรู้เท่านั้น
การรับรู้การมีอยู่ของพระเจ้าในความหมายนี้
จึงมีลักษณะลึกลับ เหนือธรรมชาติ
หรือดังที่เรียกว่าเป็นการรับรู้ในเชิง “รหัสยะ”
(mystical) จอห์น คัลแวง (John
Calvin) นักเทววิทยาคนสำคัญกล่าวถึงลักษณะของความรู้ทางศาสนาว่า “เมื่อพวกเรากล่าวถึงความรู้
เราไม่ได้หมายถึงความเข้าใจโดยทั่วไปเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ภายในขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์
เพราะว่าศรัทธาเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าการรับรู้ที่จิตของมนุษย์จะสามารถบรรลุถึง
และพัฒนาถึงระดับนั้นได้
หรือถึงแม้ว่าจิตจะรับรู้ก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่รับรู้นั้น”
(Konyndyk,
1986: 93)
จากแนวคิดดังกล่าวจึงมีข้อโต้แย้งว่า
หากความเชื่อทางศาสนาเป็นเพียงความเชื่อที่จริงสำหรับผู้ที่มีศรัทธา
หรือเฉพาะกับผู้ที่มีความเชื่ออยู่แล้ว
ความเชื่อก็จะมีเพียงความจริงเชิงอัตวิสัย
(subjective
truth) เท่านั้น หากเป็นเช่นนี้
ความเชื่อทางศาสนาจะมีความแตกต่างอย่างไรกับความเชื่อของเด็กๆ
เกี่ยวกับซานตาคลอสหรือนางเงือก
หรือจะสามารถแยกแยะความแตกต่างได้อย่างไรระหว่างความเชื่อของคนทั่วไปกับคนที่มีจิตผิดปรกติ
แนวคิดเรื่องการสนับสนุนความเชื่อทางศาสนาในรูปแบบนี้จึงอาจจะมีความเหมาะสมกับผู้ที่มีศรัทธาทางศาสนา
แต่จะมีปัญหาในการตอบข้อสงสัยหรืออธิบายกับผู้ที่ไม่มีความเชื่ออยู่ก่อนให้สามารถเข้าใจและยอมรับได้
นอกจากการเข้าใจความหมายของศรัทธาในรูปแบบที่กล่าวถึง
ยังมีแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความหมายของศรัทธาในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้แยกความเชื่อทางศาสนาจากเรื่องการใช้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
เป็นความหมายของศรัทธาไม่ได้มีนัยถึงการเชื่อมั่นแน่ใจโดยปราศจากความลังเลสงสัยเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้า
ตัวอย่างเช่น แนวคิดเรื่องศรัทธาของนักบุญออกัสติน (St. Augustine)
ที่เห็นว่าการใช้เหตุผลเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง
หรือเชื่อมโยงกับ “แรงผลักดันทางศาสนา”
(religious impulse) ในขั้นต้น
ผู้เชื่อจะต้องมีศรัทธาในวิวรณ์ที่บันทึกในพระคัมภีร์
หรือปรากฎในประวัติศาสตร์ของชนชาติยิวว่าเป็น “ความจริง”
ก่อน (เช่น
ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างโลก บาปกำเนิด การฟื้นคืนชีพ
หรือการไถ่บาป
ซึ่งถือว่าเป็นความเชื่อที่จำเป็นสำหรับการช่วยให้รอด)
หลังจากนั้น
เหตุผลจะเป็นกระบวนการที่ช่วยให้มนุษย์สามารถทำให้เข้าใจความจริงทางศาสนาได้
ลำพังเพียงแต่การใช้เหตุผลอย่างเดียวจะไม่สามารถพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าได้
แนวคิดแบบเทววิทยาธรรมชาติ
(natural theology) ของนักบุญโธมัส
อไควนัส (St. Thomas Aquinas)
เป็นตัวอย่างที่สำคัญของแนวคิดในรูปแบบนี้
เขาอธิบายว่าความเชื่อทางศาสนาไม่ได้แยกออกอย่างเด็ดขาดจากการใช้เหตุผล
และได้นำการใช้เหตุผลแบบปรัชญามาพิสูจน์ความจริงของความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้า
รวมถึงทัศนะทางปรัชญาที่มีอยู่ เช่น ทัศนะทางปรัชญาของ
อริสโตเติล (Aristotle)
มาประยุกต์เพื่อใช้สนับสนุนความเชื่อทางศาสนา
ที่รู้จักกันคือข้อพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า 5
วิธี (ดูหัวข้อ “การอ้างเหตุผลยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้า”
ในสารานุกรมฉบับนี้)
อไควนัสอธิบายถึงศรัทธาว่า
ลำพังแต่เพียงการใช้เหตุผลของมนุษย์นั้นสามารถรับรู้ได้แต่ความจริงระดับธรรมชาติ
(natural truth)
ซึ่งเป็นความจริงที่เข้าใจได้โดยสภาวะการรับรู้อันจำกัดของมนุษย์
แต่หากมนุษย์ไม่ได้รับวิวรณ์จากพระเจ้า
ก็จะไม่สามารถรับรู้ความจริงในระดับที่สูงขึ้นไปได้ เช่น
ความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระเจ้า
หรือความจริงเกี่ยวกับลักษณะของพระเจ้า
ศรัทธาจึงทำหน้าที่เป็นเหมือนกับ “เครื่องมือนำทาง”
ให้กับการใช้เหตุผลของมนุษย์ซึ่งมีข้อที่จำกัด
อันจะช่วยให้สามารถรับรู้ความจริงในระดับที่เหนือธรรมชาติ
(supernatural truth) ดังนั้น
จึงกล่าวได้ว่าโดยทั่วไปกลุ่มของผู้ที่ยอมรับความเชื่อทางศาสนาว่าเป็นความจริง
จะนิยมอ้างถึงวิธีการที่ต้องอาศัยศรัทธาเพื่อสนับสนุนความเชื่อทางศาสนาเป็นสำคัญ
แม้แต่ในทัศนะของเทววิทยาธรรมชาติ
ก็ยังต้องถือว่าศรัทธาเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดสำหรับการยืนยันความจริงของความเชื่อทางศาสนา
2.
แนวคิดแบบหลักฐานนิยม
แนวคิดแบบหลักฐานนิยม
(evidentialism)
เป็นแนวคิดที่ท้าทายประเพณีความคิดเรื่องการมีศรัทธาในแบบของคัลแวงและอไควนัส
หรือต่อความหมายของศรัทธาที่คริสตศาสนิกชนส่วนมากเข้าใจ
แนวคิดแบบหลักฐานนิยมมีความเห็นว่าความเชื่อใดๆ
ก็ตามหากปราศจาก
“การอ้างหลักฐานสนับสนุนที่เพียงพอ”ก็จะถือว่าเป็นความเชื่อที่บกพร่อง
วิลเลี่ยม คลิฟฟอร์ด (William Clifford)
เป็นคนสำคัญที่นำเสนอทัศนะแบบนี้
เขาได้กล่าวประโยคที่เป็นเสมือนกับสัญลักษณ์ของแนวคิดแบบหลักฐานนิยมว่า
“เป็นสิ่งที่ผิดเสมอไม่ว่าในที่ใดหรือกับใครก็ตามที่จะเชื่อในสิ่งที่ตั้งอยู่บนหลักฐานที่ไม่เพียงพอ”
(Clifford, 1998:
403)
ความเชื่อที่น่าเชื่อถือตามทัศนะแบบหลักฐานนิยมจึงหมายถึงความเชื่อที่มีหลักฐานสนับสนุนเพียงพอ
ตามมาตรฐานนี้
ความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนเพียงพอจึงต้องถือว่าเป็นความเชื่อที่บกพร่อง
มีข้อโต้แย้งว่าหลักการเชื่ออย่างมีเหตุผลที่คลิฟฟอร์ดเสนอมีความคลุมเคลือและไม่สามารถเป็นไปได้จริงในทางปฏิบัติ
เนื่องจากไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่าหลักฐานอย่างไรจึงจะถือได้ว่าเป็น
“หลักฐานที่เพียงพอ”
หากขาดความชัดเจนเช่นนี้
ในกรณีของนักเทววิทยา
ก็อาจมีการอ้างหลักฐานเพื่อสนับสนุนว่าความเชื่อที่มีเป็นความเชื่อที่มีหลักฐานเพียงพอเช่นเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น อาจมีการยกหลักฐานจากประสบการณ์ทางศาสนา
ข้อความที่ปรากฏในพระคัมภีร์
หรือแม้แต่การมีอยู่ของตัวศาสนิกเองในฐานะสิ่งสร้างของพระเจ้า
สำหรับผู้มีศรัทธา
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นหลักฐานเช่นกัน
นอกจากแนวคิดแบบหลักฐานนิยมที่คลิฟฟอร์ดเสนอ
ยังมีแนวคิดแบบหลักฐานนิยมในรูปแบบอื่นที่มีความชัดเจนกว่า
ตัวอย่างเช่น
“หลักฐานนิยมแบบล็อค” (Lockean
evidentialism) จอห์น
ล็อค (John Locke)
อธิบายถึงลักษณะของหลักการในการตัดสินความเชื่อที่มีเหตุผลว่าหมายถึงการไม่ยอมรับประพจน์ใดๆ
ด้วยความเชื่อมั่นในระดับที่เกินกว่าที่หลักฐานจะสนับสนุนได้
(Konyndyk,
1986: 103)
นั่นคือ
ล็อคเห็นว่าการตัดสินความมีเหตุผลของความเชื่อใดๆ
ต้องพิจารณาจากน้ำหนักความน่าเชื่อถือของหลักฐานที่สนับสนุน
เนื่องจากศรัทธาเป็นหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือในระดับที่ต่ำหรือไม่เป็นที่ยอมรับทั่วไป
จึงต้องถือว่าความเชื่อที่สนับสนุนด้วยศรัทธาไม่มีความน่าเชื่อถือ
หรือมีความน่าเชื่อถือในระดับที่ต่ำตามไปด้วย
ในทัศนะแบบหลักฐานนิยม
ความเชื่อทางศาสนาจึงไม่ใช่ความเชื่อที่มีสิทธิพิเศษ
แต่เป็นความเชื่อที่ต้องมีหลักฐานสนับสนุนเหมือนกับความเชื่ออื่นๆ
เช่นกัน
อาจจะสรุปการอ้างเหตุผลของหลักฐานนิยมในการอธิบายถึงความบกพร่องของความเชื่อทางศาสนาได้ดังนี้
P.1
ความเชื่อทางศาสนาจะเป็นความเชื่อที่มีเหตุผลสนับสนุนได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานที่เพียงพอเท่านั้น
P.2
ไม่มีหลักฐานที่เพียงพอสำหรับสนับสนุนความเชื่อทางศาสนา
สรุป
ความเชื่อทางศาสนาเป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลสนับสนุน
ถึงแม้ความเชื่อที่มีหลักฐานเพียงพอจะยังมีความหมายที่คลุมเครือว่าหมายถึงความเชื่อในลักษณะอย่างไร
แต่ก็อาจกล่าวได้ว่าทัศนะแบบหลักฐานนิยมมุ่งหมายถึงสิ่งที่คนเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไป
ท่าทีของผู้ที่มีทัศนะในลักษณะนี้
จึงมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธความน่าเชื่อถือของความเชื่อทางศาสนา
เนื่องจากเห็นว่าความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าไม่สามารถมีหลักฐานที่เพียงพอมาสนับสนุนได้
ขณะที่ฝ่ายผู้ที่มีความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้ามีแนวโน้มที่จะปฏิเสธการพิจารณาความเชื่อทางศาสนาตามที่หลักฐานนิยมเสนอ
มากกว่าจะพยายามหาหลักฐานเพื่อสนับสนุนความเชื่อทางศาสนาของตน
3.
แนวคิดแบบศรัทธานิยมของ ลุดวิก วิตเกนสไตน์
ศรัทธานิยม (fideism) เป็นทัศนะที่ปฏิเสธหลักฐานนิยม
(anti-evidentialism)
โดยเห็นว่าไม่ควรประเมินความเชื่อทางศาสนาในเชิงเหตุผล
ความเชื่อทางศาสนานั้นควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของศรัทธา
เนื่องจากเห็นว่าความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าเป็นความเชื่อที่อยู่เหนือกว่า
ตรงกันข้าม หรือไม่เกี่ยวข้องกับการใช้เหตุผล
นักปรัชญาที่นำเสนอแนวคิดในรูปแบบนี้ ได้แก่ เบลส
ปาสกาล (Blaise Pascal)
โซเร็น เคียร์คีกอร์ด(Soren
Kierkegaard) ลุดวิก วิตเกนสไตน์ (Ludwig
Wittgenstein)
และดี. ซี. ฟิลิปส์
(D. Z. Philips) เป็นต้น
ในที่นี้จะอธิบายแนวคิดแบบศรัทธานิยมโดยอาศัยแนวคิดเรื่อง
“รูปแบบของชีวิต” (form of life)
ในทฤษฎีเกมภาษา (language game)
ของวิตเกนสไตน์
เพื่อเป็นตัวอย่างในการทำความเข้าใจแนวคิดแบบศรัทธานิยม
เกมภาษาเป็นแนวคิดที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ
Philosophical Investigations
ของวิตเกนสไตน์
ซึ่งเปรียบเทียบภาษาว่าเป็นเหมือนกับเกมกีฬา
เขาอธิบายว่าการใช้ภาษาเป็นไปได้เนื่องจากคนมีความเข้าใจร่วมกันในกฎเกณฑ์ซึ่งกำหนดความหมายของคำในบริบทต่างๆ
กฎเกณฑ์เหล่านี้มิได้มีเพียงชุดเดียว
แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของการใช้ภาษา
เหมือนกับที่กฎกติกาของเกมที่เราเล่น
ซึ่งต้องเปลี่ยนไปตามบริบทของกีฬาที่แตกต่างกัน
การใช้ภาษาจึงเหมือนการเล่นเกมที่ต้องรู้กฎกติกาว่ากำลังเล่นเกมอะไร
วิธีใช้ลูกบอลในเกมวอลเลย์บอลนั้น
ต่างไปจากวิธีใช้ลูกบอลในเกมแชร์บอล เช่นกันคำๆ
เดียวกันหากอยู่ในเกมภาษาที่แตกต่างกัน
ก็อาจจะมีความหมายที่ต่างกันได้
ความหมายของภาษาจึงแยกออกจากบริบทของการใช้คำไม่ได้
วิตเกนสไตน์เรียกบริบทดังกล่าวว่า “บริบทของชีวิต”
(context of life) หรือ “รูปแบบของชีวิต”
(form of life) เช่น ศาสนา วิทยาศาสตร์
การศึกษา อาชีพ การเมือง
ดังนั้น ตามแนวคิดของวิตเกนสไตน์
การกำหนดความหมายที่แน่นอนตายตัวให้กับภาษาจึงไม่สามารถทำได้
เพราะความหมายของคำแต่ละคำเป็นเพียงความหมายที่ขึ้นอยู่กับบริบทหนึ่งๆ
เท่านั้น
ความหมายของข้อความทางศาสนาก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน
ความหมายของข้อความทางศาสนาเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับรูปแบบของชีวิตแบบหนึ่ง
การนำกฎเกณฑ์ของเกมภาษาจากรูปแบบชีวิตอื่นมาใช้ในเกมภาษาทางศาสนาจึงกระทำไม่ได้
เช่น
วิทยาศาสตร์อาจจะมีกฎเกณฑ์ว่าต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือโดยพิจารณาจากหลักฐานสนับสนุน
แต่กฎเกณฑ์นี้สามารถใช้ได้ในวิทยาศาสตร์เท่านั้น
แต่ใช้ไม่ได้ในศาสนาซึ่งมีกฎเกณฑ์ของตนเอง นั่นคือ
อาศัยศรัทธา ไม่ใช่การตรวจสอบหลักฐาน ดังนั้น
หากนำมาใช้เมื่อใด
ภาษาศาสนาย่อมไม่สามารถเข้ากับกฎเกณฑ์จากเกมภาษาของวิทยาศาสตร์ได้
และการนำกฎเกณฑ์จากเกมภาษาอื่นมาใช้เช่นนี้
ยังทำให้ไม่สามารถเข้าใจภาษาศาสนาอีกด้วย นอกจากนี้
ยังไม่อาจเทียบได้ว่ารูปแบบชีวิตใดที่จริงกว่าหรือถูกต้องกว่า
จึงกล่าวไม่ได้ว่าเกมภาษาของวิทยาศาสตร์เหนือกว่าศาสนา
ด้วยเหตุผลเหล่านี้
จึงทำให้ผู้ที่นำทัศนะของวิตเกนสไตน์มาใช้ยืนยันว่าเราไม่ควรพยายามตรวจสอบความเชื่อทางศาสนา
แต่ควรยอมรับความเชื่อทางศาสนาอย่างที่เป็น
จัดทัศนะแบบนี้ว่าเป็นศรัทธานิยม
ดี ซี ฟิลิปส์ เป็นบุคคลสำคัญที่นำแนวคิดของวิตเกนสไตน์มาใช้อธิบายลักษณะของความเชื่อทางศาสนาในแบบของศรัทธานิยม
เขาใช้ทฤษฎีเกมภาษาของวิตเกนสไตน์ในการอธิบายการมีความหมายของข้อความทางศาสนา
นั่นคือ กฎเกณฑ์การมีความหมายของข้อความต่างๆ
ขึ้นอยู่กับรูปแบบของชีวิตที่มีความแตกต่างกัน
และไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบตัดสินกันได้ ดังนั้น
จึงไม่สามารถแสวงหาหลักเกณฑ์ที่เป็นสากล หรือเป็นภววิสัย
เพื่อตัดสินความมีความหมายของภาษาทุกประเภท
ฟิลิปส์ชี้ว่าความหมายของความเชื่อทางศาสนาเป็นสิ่งที่มีความหมายจากภายใน
(internal) รูปแบบของชีวิตทางศาสนา
เขาจึงปฏิเสธวิธีการตัดสินความมีความหมายของภาษาศาสนาโดยอาศัยหลักเกณฑ์จากภายนอก
(external)
ไค นีลสัน
(Kai Nielson) สรุปแนวคิด “ศรัทธานิยมแบบวิตเกนสไตน์”
(Wittgensteinian fideism)
ว่ามีลักษณะที่สำคัญ 3 ข้อ คือ
(ก) การอธิบายถึงพื้นฐานของเรื่องราวต่างๆ
ทางศาสนาว่าเป็นสิ่งที่จำแนกโดยรูปแบบของชีวิตที่มีระบบตรรกะเป็นของตัวเอง
(ข)
รูปแบบของชีวิตทั้งหมดไม่เปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ระหว่างกันได้
แต่ละรูปแบบของชีวิตมีสิ่งที่เป็นบรรทัดฐานหรือมีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเองที่จะสามารถใช้เข้าใจเรื่องความจริงเท็จ
ความมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล
(ค)
มีความเชื่อว่าไม่มีจุดยืนกลางที่สามารถใช้เป็นหลักการในการวิพากษ์วิจารณ์ตัดสินรูปแบบของชีวิตแบบต่างๆ
ได้ เพราะทุกครั้งที่เราใช้หลักเกณฑ์มาตัดสิน
หลักเกณฑ์นั้นก็จะมาจากรูปแบบของชีวิตแบบใดแบบหนึ่งเสมอ (Stiver, 1996: 69)
เห็นได้ว่าทฤษฎีเกมภาษานำสู่ “มุมมองนิยมแบบแข็ง”
(hard perspectivism)
มุมมองนิยมคือทัศนะที่ว่าความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ
ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับภูมิหลังของผู้เชื่อ เช่น
ข้อมูลจากประสบการณ์ ความเชื่อที่ยอมรับก่อนหน้า
ความประทับใจต่างๆ สิ่งเหล่านี้อาจจะเรียกรวมๆ กันว่าเป็น
“กรอบมโนทัศน์” (conceptual
framework) ซึ่งทำหน้าที่กำหนดมุมมอง
การตีความ และการให้ความหมายกับสิ่งต่างๆ ที่พานพบ
มุมมองนิยมแบบแข็งนั้นจะยืนยันว่ามุมมองที่แตกต่างกันนี้ไม่สามารถเปรียบเทียบตัดสินระหว่างกันได้อย่างเด็ดขาด
และไม่มีวันพบจุดยืนภายนอกที่จะช่วยการวิพากษ์วิจารณ์หรือเปรียบเทียบระหว่างมุมมองที่แตกต่างกันนี้ได้
ประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งในการโต้แย้งอาศัยการตั้งคำถามว่า
นอกจากศาสนิกจะยอมรับว่าความเชื่อทางศาสนาเป็นสิ่งที่มีความหมายแล้ว
ศาสนิกเหล่านี้ยอมรับหรือไม่ว่าความเชื่อเหล่านี้บรรยายข้อเท็จจริงในจักรวาล
เช่น
ความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้ากล่าวถึงพระเจ้าที่มีอยู่จริงในจักรวาล
ถ้ายอมรับเช่นนี้
ก็แปลว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบข้อความทางศาสนาในเชิงข้อเท็จจริงได้
ข้อโต้แย้งนี้มีผลกับกลุ่มที่เชื่อว่าข้อความทางศาสนามีองค์ประกอบเชิงปริชาน
(cognitive)
คือจริงเท็จได้ อย่างไรก็ตาม
ข้อโต้แย้งนี้ไม่มีผลต่อนักปรัชญา เช่น ฟิลิปส์
ที่ไม่เห็นด้วยว่าภาษาศาสนาอ้างถึงข้อเท็จจริง
คนเหล่านี้จัดเป็นกลุ่มที่เห็นว่าข้อความทางศาสนาไม่เกี่ยวข้องกับด้านปริชาน
(non-cognitive)
คือไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องจริงเท็จ
ภาษาศาสนามีความหมายภายในรูปแบบชีวิตทางศาสนา
การจะเข้าถึงความหมายได้ก็คือการยอมรับและดำเนินชีวิตตามแนวทางของรูปแบบชีวิตเท่านั้น
เมื่อเข้าถึงแล้ว
ก็ย่อมไม่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาต่างๆ
แต่จะใช้ภาษาศาสนาตามหน้าที่ที่กำหนดในรูปแบบชีวิต เช่น
สวดภาวนาเพื่อสร้างความหวังและกำลังใจในสถานการณ์ที่ทุกข์ยาก
4.
ข้อเสนอเรื่องญาณวิทยาเชิงปฏิรูปของ
อัลวิน แพลนติงกา
อัลวิน แพลนทิงกา
(Alvin
Plantinga)
เสนอทฤษฎีที่จัดอยู่ใน
“ญาณวิทยาเชิงปฏิรูป” (Reformed
epistemology) เพื่อโต้แย้งหลักฐานนิยม
นักปรัชญาที่นำเสนอแนวคิดในทำนองนี้คนอื่นๆ มีเช่น ริชาร์ด
สวินเบิร์น (Richard Swinburne)
วิลเลี่ยม พี อัลสตัน (William
P. Alston)
ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป) เหตุที่เรียกว่า
“ญาณวิทยาปฏิรูป”
เนื่องจากนักปรัชญาเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของนักคิดในจารีตสายปฏิรูป
(Reformed tradition)
ของคริสต์ศาสนาที่เริ่มโดย จอห์น คัลแวง (John
Calvin)
ข้อเสนอของแพลนติงกาตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีมูลฐานนิยม
(foundationalism)
ซึ่งเขาเห็นว่าสามารถใช้สนับสนุน
รวมทั้งแก้ปัญหาที่ตามมาจากหลักฐานนิยมได้
ดังที่เห็นแล้วตอนต้นว่าหลักฐานนิยมเห็นว่าความเชื่อที่ยอมรับได้ต้องมีหลักฐานสนับสนุน
ตามแนวคิดนี้ ถ้ามีใครถามถึงความเชื่อหนึ่งๆ
ว่ายอมรับได้หรือไม่
ผู้ที่เชื่อก็จะต้องอ้างอิงถึงความเชื่ออื่นในฐานะหลักฐานสนับสนุน
แต่การอ้างอิงหลักฐานที่เป็นความเชื่ออื่นต่อไปเรื่อยๆ
ทำให้เกิดปัญหานี้ว่า “ปัญหาการถอยกลับแบบอนันต์”
(infinite regression problem)
มูลฐานนิยมเป็นทฤษฎีการให้เหตุผลสนับสนุนกับความเชื่อที่แก้ปัญหานี้ได้
โดยอธิบายว่าการอ้างหลักฐานจะถอยกลับไปยุติที่จุดหนึ่ง
เรียกว่า “ความเชื่อพื้นฐาน”
(basic belief)
ที่มีลักษณะสำคัญคือไม่ต้องอ้างอิงหลักฐานอื่น ดังนั้น
จึงทำหน้าที่เป็นพื้นฐานให้กับความเชื่ออื่นๆ ได้
มูลฐานนิยมโดยทั่วไปถือว่าความเชื่อพื้นฐานอยู่ในรูปประพจน์
(proposition) หรือในรูปของประพจน์พื้นฐาน
(basic proposition)
ความเชื่อพื้นฐานที่เป็นความเชื่อที่สนับสนุนตัวเอง
มีทั้งที่เป็นความเชื่อที่เป็นหลักฐานในตัวเอง (self-evident)
และความเชื่อที่ไม่สามารถเป็นเท็จได้ (incorrigible)
ตัวอย่างของประพจน์ที่แสดงความเชื่ออันเป็นหลักฐานในตัวเอง
เช่น “2 + 1 = 3” หรือ เช่น
“ไม่มีคนโสดคนใดที่แต่งงานแล้ว”
ซึ่งเป็นความจริงเชิงตรรกะ
ตัวอย่างของประพจน์แสดงความเชื่อที่ไม่สามารถเป็นเท็จได้
เช่น “ฉันรู้สึกหิว”
ประพจน์เหล่านี้เข้าเงื่อนไขการเป็นความเชื่อพื้นฐานแนวคิดของมูลฐานนิยม
คือ มีลักษณะเป็นจริงโดยตัวเองและไม่ต้องการการสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม
ประพจน์หรือความเชื่อที่เป็นหลักฐานในตนเองหรือไม่สามารถเป็นเท็จได้นั้น
ถือว่ามีลักษณะเป็น “พื้นฐานที่เหมาะสม” (properly basic)
ด้วยในขณะเดียวกัน
ความเชื่อพื้นฐานที่เหมาะสมก็คือผู้เชื่อสามารถเชื่อได้อย่างมีเหตุมีผลว่าความเชื่อนั้นมีความเป็นพื้นฐานจริงๆ
เห็นได้ว่ามีการเพิ่มเงื่อนไขของความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อกับผู้เชื่อเข้าไปด้วย
ทฤษฏีมูลฐานสมัยใหม่ถือว่าความเชื่อพื้นฐานที่เหมาะสมมีเพียงความเชื่อที่เป็นเหตุผลในตัวเองและความเชื่อที่ไม่สามารถเป็นเท็จได้เท่านั้น
ถ้ายึดตามทฤษฎีมูลฐานนิยมสมัยใหม่
ความเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่ความเชื่อพื้นฐานที่เหมาะสม
ทฤษฎีมูลฐานนิยมดั้งเดิมจะมีความเชื่อพื้นฐานที่เหมาะสมกว้างไปกว่าของมูลฐานนิยมสมัยใหม่
คือ ครอบคลุมถึงความเชื่อที่กระจ่างชัดต่อผัสสะ (evident to the
senses)
หรือทฤษฎีมูลฐานนิยมของโธมัส เรด (Thomas
Reid) ก็ยอมรับกว้างไปกว่านั้น เช่น
เห็นว่าความทรงจำที่ระลึกขึ้นได้หรือคำบอกเล่าจากผู้อื่นก็เป็นความเชื่อพื้นฐานที่เหมาะสมได้
แพลนติงกาเห็นว่าความเปิดกว้างของมูลฐานนิยมแบบหลังสามารถใช้สนับสนุนความเชื่อทางศาสนาได้
แพลนติงกาเริ่มโดยชี้ว่าความเชื่อพื้นฐานที่เหมาะสมมีลักษณะสำคัญร่วมกัน
คือ มักเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นมาเอง (spontaneous)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการตอบสนองต่อบางสิ่งโดยความเชื่อเหล่านี้ไม่ต้องอาศัยการ
เช่น เชื่อว่ามีนกอยู่ที่หน้าต่างเมื่อนกปรากฏต่อผู้เชื่อ
เชื่อว่าเมื่อเช้ากินข้าวต้มเมื่อผู้เชื่อระลึกขึ้นมาว่าเมื่อเช้ากินอะไร
เป็นต้น
ความเชื่อในพระเจ้าก็เช่นกันอาจเกิดจากการมองเห็นความสวยงามของธรรมชาติและเชื่อขึ้นมาเองว่าพระเจ้าทรงสร้างธรรมชาติ
หรือเมื่อกระทำความผิดแล้วมีความเชื่อผุดขึ้นมาว่าพระเจ้าทรงไม่พอพระทัย
โดยนัยนี้
ความเชื่อในพระเจ้าจึงเป็นความเชื่อพื้นฐานที่เหมาะสมได้
หากเป็นเช่นนั้น
จึงกล่าวได้ว่าเราเชื่อในพระเจ้าได้อย่างมีเหตุผลสนับสนุนได้
โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานมาสนับสนุนความเชื่อนั้นอย่างที่หลักฐานนิยมคิด
ความเชื่อทางศาสนาสามารถยอมรับได้อย่างมีเหตุผลสนับสนุนเนื่องจากเป็นความเชื่อพื้นฐานที่เหมาะสมได้
และหลักฐานนิยมต้องยอมรับความเชื่อประเภทนี้
เนื่องจากความเชื่อประเภทนี้เป็นไปตามทฤษฎีมูลฐานนิยมซึ่งหลักฐานนิยมต้องใช้เพื่อมิให้ทฤษฎีของตนต้องประสบปัญหาการถอยกลับแบบอนันต์
แพลนติงกาชี้ว่าสำหรับชาวคริสต์เอง
มีฐานสำหรับสนับสนุนการเกิดขึ้นของความเชื่อในพระเจ้าเช่นนี้
โดยอ้างถึงแนวคิดที่พัฒนาโดย จอห์น คัลแวง
ซึ่งเห็นว่ามนุษย์มีผัสสะสำหรับรับรู้พระเจ้าได้ (sensus
divinitatis)
ซึ่งทำให้มนุษย์เกิดความเชื่อในพระเจ้าในสถานการณ์ต่างๆ
เช่น เมื่ออยู่ในอันตราย เมื่อกระทำผิด
เมื่อเห็นลักษณะอันยิ่งใหญ่น่าประทับใจของธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม อาจถือว่าแนวคิดดังกล่าวไม่มีบทบาทนัก
สำหรับการโต้แย้งกับผู้ที่ไม่ใช่คริสต์เพื่อให้ยอมรับว่าสามารถเชื่อในพระเจ้าได้อย่างมีเหตุผลสนับสนุน
ในหัวข้อต่อไป
จะเห็นว่าอัลสตันก็อาศัยความคิดเรื่องผัสสะพิเศษเช่นนี้เหมือนกัน
5.
แนวคิดเรื่องการรับรู้ประสบการณ์ทางศาสนาของ วิลเลี่ยม พี
อัลสตัน
วิลเลี่ยม พี อัลสตัน
อธิบายว่าความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้ามีเหตุผลสนับสนุนจากประสบการณ์ของผู้เชื่อ
ที่เรียกว่า
“ความตระหนักรู้ในเชิงประสบการณ์ถึงพระเจ้า”
(experiential awareness of God) หรือ
“การรับรู้พระเจ้า” (perceiving
God)
การรับรู้พระเจ้าที่อัลสตันกล่าวถึงคือการมีประสบการณ์ทางศาสนา
เช่น การรับรู้ถึงพลังอำนาจ ความรัก ความเมตตา ความสงบสุข
ที่มาจากพระเจ้า
หรือการมีประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการสวดภาวนาหรือการอธิษฐาน
ข้อเสนอของอัลสตันใน Perceiving God: The
Epistemology of Religious Experience
มีจุดประสงค์ที่สำคัญคือเพื่อเสนอว่าประสบการณ์ดังกล่าวสามารถเป็นเหตุผลสนับสนุนความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าได้
อัลสตันอธิบายการรับรู้พระเจ้าว่าเป็นการรับรู้ที่เหมือนกับการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสอื่นๆ
หรืออาจเรียกว่าเป็น
“การรับรู้ของชาวคริสต์”
(Christian perception)
คือเป็นการรับรู้เชิงผัสสะที่ชาวคริสต์มีประสบการณ์
และการรับรู้เช่นนี้เป็นเหตุผลสนับสนุนกับความเชื่อโดยทันทีเหมือนกับการรับรู้ทั่วๆ
ไป ตัวอย่างเช่น สำหรับผู้หนึ่งที่รับรู้ว่า “หนังสือเล่มนี้มีสีฟ้า”
การรับรู้นี้จะเป็นการให้เหตุผลสนับสนุนกับความเชื่อว่า
“หนังสือเล่มนี้มีสีฟ้า” ในทันที
การให้เหตุผลสนับสนุนในลักษณะเช่นนี้ อัลสตันเรียกว่า
“การให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่อในชั้นต้น”
(prima facie justification)
การให้เหตุผลสนับสนุนเกิดขึ้นพร้อมกับการรับรู้ทันที
โดยไม่ต้องอาศัยหลักฐานอื่นเป็นเหตุผลสนับสนุน
(Alston,
1992: 68)
ความเชื่อเช่นนี้จะต้องยอมรับไว้ก่อนจนกว่าจะมีสิ่งอื่นที่มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ต้องปฏิเสธไป
(เช่น หลักฐานว่าผู้ที่รับรู้กำลังเมายา)
ลักษณะสำคัญของอัลสตันคือทัศนะเกี่ยวกับบทบาทของสังคมหรือชุมชนในการก่อรูปความเชื่อของปัจเจกบุคคล
กล่าวคือ คนในกลุ่มเดียวกันจะมี “แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเชื่อ”
(doxastic practice) ร่วมกัน
(Alston,
1992: 73)
แนวปฏิบัตินี้ขึ้นอยู่กับบริบทต่างๆ เช่น ประเพณี วัฒนธรรม
ประวัติศาสตร์
หรือรูปแบบการดำเนินชีวิตของแต่ละชุมชนที่เป็นพื้นฐานให้กับความเชื่อ
แนวปฏิบัติดังกล่าวมีอิทธิพลต่อประสบการณ์ของบุคคล
คนในกลุ่มที่ยึดถือแนวปฏิบัติเดียวกันจึงมีความเชื่อในลักษณะเดียวกัน
ความเชื่อที่ได้จากประสบการณ์การรับรู้อันได้รับอิทธิพลจากแนวปฏิบัติดังกล่าว
ถือว่ามีเหตุผลสนับสนุนเบื้องต้น
วรเทพ ว่องสรรพการ (ผู้เรียบเรียง)
เอกสารอ้างอิง
· |
วรเทพ
ว่องสรรพการ. 2546.
การอ้างเหตุผลสนับสนุนการมีอยู่ของพระเจ้าตามทฤษฎีสหนัยนิยม.
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. |
· |
Alston, William P.
1991.
Perceiving God: The Epistemology of Religious Experience.
New York: Cornell University Press. |
· |
Alston, William P.
1992.
The Autonomy of Religious Experience.
Philosophy of Religion
31: 67-87. |
· |
Audi, Robert. 1986. Direct Justification, Evidential
Dependence, and Theistic Belief. In Robert Audi and
William J. Wainwright
(eds.).
Rational Religious Belief, & Moral Commitment: New
Essays in the Philosophy of Religion,
pp. 139-166. New York: Cornell University Press. |
· |
Clifford, William K. 1998. The Ethics of Belief. In
Louis P. Pojman (ed.).
Philosophy of Religion: Anthology.
Third edition, pp. 399-403. New York: Wadsworth. |
· |
Konyndyk, Kenneth.
1986.
Faith and Evidentialism. In Robert Audi and William J.
Wainwright (eds.).
Rational Religious Belief, & Moral Commitment: New
Essays in the Philosophy of Religion,
pp. 82-108. New York: Cornell University Press. |
· |
Martin, Michael. 1998. A Critique of Plantinga’s
Religious Epistemology. In Louis P. Pojman (ed.).
Philosophy of Religion: Anthology.
Third edition, pp. 475-483. New York: Wadsworth. |
· |
Plantinga, Alvin. 1998. Religious Belief without
Evidence. In Louis P. Pojman (ed.).
Philosophy of Religion: Anthology.
Third edition, pp. 461-475. New York: Wadsworth. |
· |
Stiver, Dan R. 1996. The Philosophy of
Religious Language: Sign, Symbol, and Story.
Cambridge: Blackwell Published. |
· |
Trigg, Roger.
1998.
Rationality and Religion: Does Faith Need Reason?
Oxford: Blackwell. |
เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม
· |
Alston, William P. 1991.
Perceiving God: The Epistemology of Religious
Experience.
New York: Cornell University Press.
(คำอธิบายของ วิลเลี่ยม พี. อัลสตัน
เรื่องทฤษฎีความรู้กับประสบการณ์ทางศาสนา) |
· |
Audi, Robert and Wainwright,
William J.
(eds.).
1986.
Rational Religious Belief, &
Moral Commitment: New Essays in
the Philosophy of Religion.
New York: Cornell University
Press.
(รวมบทความนำเสนอประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลกับความเชื่อทางศาสนาที่สำคัญ) |
· |
Plantinga,
Alvin.
2000.
Warranted Christian Belief.
New York & Oxford: Oxford University Press.
(การนำเสนอแนวคิดเรื่องการปฎิรูปทางญาณวิทยา
และการประยุกต์กับการให้หลักการกับความเชื่อทางเทววิทยาของศาสนาคริสต์) |
คำที่เกี่ยวข้อง
การให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่อ
/
ก่อนประสบการณ์-หลังประสบการณ์ /
ความรู้ /
เหตุผลนิยม-ประสบการณ์นิยม
/
การอ้างเหตุผลยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้า
Epistemic Justification /
A Priori-A Posteriori /
Knowledge /
Rationalism-Empiricism
/
Arguments for the Existence of God
|