1. บทนำ
คำว่า
“การให้เหตุผลสนับสนุน”
(justification) หรือ
“มีเหตุผลสนับสนุน” (justified)
มีการใช้กันทั่วไปในญาณวิทยา
คำดังกล่าวเป็นคำที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับคำเชิงบรรทัดฐานต่างๆ
เช่น ได้รับการยืนยัน (confirmed)
มีเหตุมีผล (rational)
แต่ก็มิได้มีข้อตกลงร่วมกันว่าคำเหล่านั้นมีความหมายเหมือนกัน
แม้นักญาณวิทยาบางคนก็ใช้คำนี้แทนที่กันได้
แต่บางคนก็เห็นว่าแต่ละคำมีความแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม
เป็นที่ยอมรับกันว่า “ความเชื่อ”
คือสิ่งที่คำเหล่านี้บ่งถึง
ซึ่งนักญาณวิทยาสนใจว่าอะไรทำให้ความเชื่อมีเหตุผลสนับสนุน
ประพจน์ ข้อความ ข้ออ้าง สมมติฐาน และทฤษฎี
สามารถกล่าวได้ว่ามีเหตุผลสนับสนุน
ในประวัติปรัชญา
มีการให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่อที่สำคัญอยู่ 2 แนวทางคือ
มูลฐานนิยม (foundationalism)
และสหนัยนิยม (coherentism)
มูลฐานนิยมอธิบายว่า
การให้เหตุผลสนับสนุนมีโครงสร้างเป็นช่วงชั้น กล่าวคือ
ความเชื่อบางความเชื่อเป็นความเชื่อพื้นฐาน (basic
belief) ที่มีเหตุผลสนับสนุนในตัวเอง
และความเชื่อพื้นฐานเหล่านี้ก็ให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่ออื่นๆ
อีกทอดหนึ่ง นักสหนัยนิยมปฏิเสธว่ามีความเชื่อใดๆ
ที่มีเหตุผลสนับสนุนตนเอง และเสนอว่าความเชื่อต่างๆ
ให้เหตุผลสนับสนุนซึ่งกันและกันในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบความเชื่อเดียวกัน
นักมูลฐานนิยมและนักสหนัยนิยมส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายใน
(internalism)
ที่เห็นว่าเงื่อนไขใดๆ
ที่ตัดสินว่าความเชื่อมีเหตุผลสนับสนุนนั้น
เป็นเงื่อนไขที่อยู่ภายในตัวผู้เชื่อ เช่น
ความเชื่อและประสบการณ์ที่คนมี
ส่วนทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอก (externalism)
โต้แย้งว่าเราไม่สามารถตัดสินว่าความเชื่อได้เหตุผลสนับสนุนหากไม่พิจารณาสภาพแวดล้อมภายนอกของผู้เชื่อ
ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20
ทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกเกิดขึ้นในฐานะทางเลือกที่ใช้โต้แย้งทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในรูปแบบที่มีอิทธิพลของทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกคือทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการ
(reliabilism)
แนวทางอื่นๆ
ที่ท้าทายมูลฐานนิยมแบบดั้งเดิมและสหนัยนิยมคือทฤษฎีที่เน้นความน่าจะเป็น
(probabilism)
ซึ่งอธิบายว่าความรู้มีเหตุผลสนับสนุนอย่างเป็นระดับ
กล่าวคือ
เราไม่สามารถยืนยันได้เพียงว่าน่าเชื่อหรือไม่น่าเชื่อ
แต่เราสามารถยืนยันในลักษณะเช่น “มีความเป็นไปได้ระดับหนึ่ง”
“มีความเป็นไปได้มากที่จะเชื่อ”
และอีกแนวทางหนึ่งก็คือกลุ่มนักญาณวิทยาเชิงธรรมชาติ (naturalized
epistemology)
กลุ่มนี้จะเห็นว่าทั้งมูลฐานนิยม สหนัยนิยม และ
ทฤษฎีที่เน้นความน่าจะเป็น
นั้นให้ความสำคัญกับการคิดเชิงทฤษฎีในระดับก่อนประสบการณ์
(a priori theorizing) มากจนเกินไป
นักญาณวิทยาเชิงธรรมชาติเห็นว่าเราสามารถหาเหตุผลสนับสนุนความเชื่อได้โดยอาศัยวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือช่วย
กลุ่มนักญาณวิทยาเชิงธรรมชาติแบบสุดโต่งนั้นเห็นว่าคำถามเดิมของญาณวิทยาทั้งหมดสามารถตอบได้ด้วยวิทยาศาสตร์
2.
การให้เหตุผลสนับสนุนเชิงญาณวิทยา-การให้เหตุผลสนับสนุนที่ไม่ใช่เชิงญาณวิทยา
การตัดสินใจ การกระทำ กระบวนการ การลงโทษ กฎหมาย
และนโยบายนั้นล้วนแล้วแต่สามารถมีเหตุผลสนับสนุนและไม่มีเหตุผลสนับสนุนได้
กล่าวคือ
สิ่งเหล่านี้จะมีเหตุผลสนับสนุนเมื่อมีเหตุผลที่เพียงพอ (adequate
reasons)
และไม่มีเหตุผลสนับสนุนเมื่อไม่มีการให้เหตุผลที่เพียงพอ
การเสนอเหตุผลเพื่อให้สนับสนุนว่าสิ่งหนึ่งเป็นความรู้
ก็อาจไม่ได้หมายความเพียงว่ามีเหตุผลเพียงพอสำหรับการเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นความรู้
เนื่องจากอาจมีการเสนอเหตุผลที่มิได้เกี่ยวข้องกับความรู้
ตัวอย่างเช่น
คนอาจเสนอเงินจำนวนหนึ่งล้านบาทเพื่อให้เชื่อว่า “โลกแบน”
จริง
แม้เป็นการเสนอที่ทำให้คนมีเหตุผลที่จะเชื่อข้อความนี้
แต่สิ่งที่เสนอไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
จึงไม่ใช่เหตุผลที่เพียงพอที่จะสนับสนุนว่าเนื้อหาของข้อความนี้เป็นความรู้
แนวทางที่จะเข้าใจความแตกต่างระหว่างการให้เหตุผลสนับสนุนเชิงญาณวิทยาและแบบที่ไม่ใช่เชิงญาณวิทยาคือการพิจารณาเป้าหมายของการเสนอเหตุผล
กล่าวคือ ถ้า
X เป็นเป้าหมายที่มีคุณค่าบางประเภท
และถ้าการทำ Y เป็นการทำให้บรรลุ
X เราทุกคนก็ล้วนมีเหตุผลที่จะทำ
Y
เหตุผลที่แตกต่างกันแบ่งแยกด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น ถ้า X
เป็นเป้าหมายที่มีคุณค่าในเชิงปฏิบัติ (สุขภาพดี)
และการกระทำ Y ทำให้เกิด X
(มีสุขภาพดี)
เราก็มีเหตุผลในเชิงปฏิบัติที่จะทำ Y
หรือ ถ้า X
เป็นเป้าหมายที่มีคุณค่าในเชิงญาณวิทยา และการกระทำ
Y ทำให้เกิด X
(มีความรู้) เราก็มีเหตุผลในเชิงญาณวิทยาที่จะทำ Y
ถ้าย้อนกลับไปตัวอย่างข้างต้น ถ้า
X เป็นเป้าหมายที่มีคุณค่าในเชิงปฏิบัติ
(ความร่ำรวย) และการกระทำ Y
(เชื่อว่า “โลกแบน”) ทำให้เกิด X
(มีความร่ำรวย) เราก็มีเหตุผลในเชิงปฏิบัติที่จะทำ
Y แต่เราไม่มีเหตุผลในเชิงญาณวิทยาจะทำ
Y
คำถามที่ว่าอะไรทำให้เหตุผลที่ยกมาสนับสนุนเป็นเหตุผลเชิงญาณวิทยา
จึงสามารถลดทอนไปสู่คำถามที่ว่าอะไรคือเป้าหมายที่มีคุณค่าเชิงญาณวิทยา
คำตอบที่ยอมรับร่วมกันเกี่ยวกับเป้าหมายนั้นก็คือการเชื่อในสิ่งที่จริงและไม่เชื่อในสิ่งที่เท็จ
ดังนั้น การให้เหตุผลสนับสนุนเชิงญาณวิทยา (epistemic
justification)
ก็คือการให้เหตุผลสนับสนุนที่มีเป้าหมายที่นำสู่การเชื่อในสิ่งที่จริงและไม่เชื่อในสิ่งที่เท็จ
ส่วนการให้เหตุผลสนับสนุนที่ไม่ใช่เชิงญาณวิทยา (non-epistemic
justification)
ก็คือการให้เหตุผลสนับสนุนที่มิได้มีเป้าหมายในลักษณะดังกล่าว
3. มูลฐานนิยมและสหนัยนิยม
แนวคิดเรื่องมูลฐานนิยม (foundationalism)
และสหนัยนิยม (coherentism)
เป็นทฤษฎีสำคัญที่เสนอเป็นคำตอบต่อปัญหาญาณวิทยาเรื่องการให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่อ
อาจเข้าใจแนวคิดอันเป็นที่มาของทั้งสองทฤษฎีนี้ได้โดยเริ่มต้นพิจารณาจากข้อโต้แย้งเรื่องการถอยกลับ
(The regress argument) ในญาณวิทยา
ข้อโต้แย้งเรื่องการถอยกลับเกิดจากความต้องการหาคำตอบว่าเมื่อใดจึงกล่าวได้ว่าข้อความหนึ่งๆ
มีเหตุผลสนับสนุน
รูปแบบของข้อโต้แย้งจะเป็นไปในลักษณะที่ว่า
-
สมมุติว่า
P คือความเชื่อที่จริงความเชื่อหนึ่ง
หากจะเรียกความเชื่อ P
ว่าเป็นความรู้ จะต้องมีเหตุผลสนับสนุนว่าจริง
-
สมมุติ
Q คือข้อความที่เป็นเหตุผลสนับสนุน
ดังนั้น กล่าวได้ว่า Q
ให้เหตุผลสนับสนุนว่า P จริง
-
แต่ถ้า
Q เป็นเหตุผลสนับสนุนแก่ P
เราจะต้องรู้ด้วยว่า Q
จริง
-
เพื่อที่เราจะรู้ว่า
Q จริง Q
ต้องมีเหตุผลสนับสนุนว่าจริง
-
สมมุติ
R คือข้อความที่เป็นเหตุผลสนับสนุน
ดังนั้น กล่าวได้ว่า R
ให้เหตุผลสนับสนุนว่า Q จริง
-
ณ จุดนี้สถานการณ์วนกลับมาที่ (3)
คือเราจะต้องรู้ด้วยว่า
R จริง
เราจึงต้องหาข้อความอื่นมาเป็นเหตุผลสนับสนุน R
และข้อความนั้นก็ต้องมีข้อความอื่นมาสนับสนุนอีกทอดหนึ่ง
โดยต้องหาเหตุผลสนับสนุนต่อกันไปเรื่อยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
วิธีการตอบสนองต่อประเด็นเรื่องการถอยกลับดังกล่าวอาจเป็นไปได้หลายทาง
ตัวอย่างเช่น
บ้างก็เห็นว่าการถอยกลับไปหาเหตุผลสนับสนุนของข้อความอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้นไม่ใช่ปัญหา
หรือบ้างก็เห็นว่าเป็นปัญหาและเสนอทางออกว่าสามารถหยุดการถอยกลับได้
คือ หยุดที่ความเชื่อที่ไม่ต้องหาเหตุผลสนับสนุน
เนื่องจากข้อความเหล่านี้เป็นเหตุผลสนับสนุนตัวเองได้ (self-justifying)
สหนัยนิยมคือข้อเสนอที่เห็นว่าการถอยกลับนั้น
สามารถถอยกลับไปได้เรื่อยๆ วนอยู่ในระบบความเชื่อนั้นๆ
และมูลฐานนิยมคือข้อเสนอที่เห็นว่าการถอยกลับของข้อความนั้นไปหยุดอยู่ที่ความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งซึ่งให้เหตุผลสนับสนุนตัวเองได้
ตามแนวคิดของมูลฐานนิยม
การให้เหตุผลสนับสนุนเกี่ยวกับความเชื่อนั้นมีโครงสร้างเป็นช่วงชั้น
(hierarchical
structure) กล่าวคือ
ความเชื่อบางความเชื่อนั้นให้เหตุผลสนับสนุนตัวเอง
และความเชื่อบางความเชื่อได้เหตุผลสนับสนุนจากความเชื่อพื้นฐานต่างๆ
ในกลุ่มนักมูลฐานนิยมนั้นมีความแตกต่างกันในประเด็นที่ว่าอะไรคือเงื่อนไขของการเป็นความเชื่อพื้นฐานและอะไรคือเงื่อนไขที่ทำให้ความเชื่อพื้นฐานสามารถเป็นเหตุผลสนับสนุนความเชื่ออื่นๆ
ได้
ยกตัวอย่างข้อถกเถียงเกี่ยวกับเงื่อนไขของการเป็นความเชื่อพื้นฐาน
เช่น
รูปแบบที่เข้มงวดที่สุดของมูลฐานนิยมเห็นว่าเงื่อนไขที่ทำให้เป็นความเชื่อพื้นฐานคือให้ความเชื่อนั้นจะผิดไม่ได้
(infallible) สงสัยไม่ได้ (indubitable)
และแก้ไขไม่ได้ (incorrigible)
ตัวอย่างของนักญาณวิทยาที่มีแนวคิดมูลฐานนิยมแบบเข้มงวดคือ
เดส์การ์ตส์ (Descartes) ฮูม
(Hume) เบิร์กเล่ย์ (Berkley)
ล๊อค (Locke) รัสเซลล์
(Russell) แอร์ (Ayer)
และคาร์แนป (Carnap)
มูลฐานนิยมแบบไม่เข้มงวดนั้นลดเงื่อนไขของการเป็นความเชื่อพื้นฐานลง
กล่าวคือ ความเชื่อพื้นฐานไม่ต้องเป็นสิ่งที่ผิดไม่ได้
สงสัยไม่ได้ หรือแก้ไขไม่ได้
สหนัยนิยมพิจารณาเหตุผลสนับสนุนจากความสหนัย (coherence)
หรือ ความสอดคล้องความเชื่อหนึ่งกับความเชื่ออื่นๆ
ในระบบความเชื่อ
ความเชื่อจะถือว่ามีเหตุผลสนับสนุนก็ต่อเมื่อความเชื่อนั้นสอดคล้องกับความเชื่ออื่นๆ
ในระบบความเชื่อ ตามทฤษฎีนี้
ไม่มีความเชื่อใดที่สามารถให้เหตุผลสนับสนุนตัวเอง
และการให้เหตุผลสนับสนุนว่าความเชื่อหนึ่งเป็นความรู้จะสามารถอ้างถอยกลับไปสู่ความเชื่ออื่นๆ
ได้อย่างไม่สิ้นสุด
หากพิจารณาประวัติแนวคิดทางปรัชญาที่ผ่านมา
เป็นไปได้ที่จะตีความว่าสปิโนซา (Spinoza)
และอิมมานูเอล คานต์ (Immanuel Kant)
มีแนวคิดแบบสหนัยนิยม อย่างไรก็ตาม
จุดยืนแบบสหนัยนิยมที่ชัดเจนคือกลุ่มนักปรัชญาจิตนิยมสัมบูรณ์
(absolute idealist)
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอฟ. เอช. แบรดเลย์ (F. H.
Bradley) และ เบอร์นาร์ด โบแซนเควท์ (Bernard
Bosanquet)
แต่คนเห็นว่านักปรัชญาเหล่านี้ล้มเหลวในการแยกแยะประเด็นญาณวิทยาและอภิปรัชญาออกจากกัน
หรืออีกนัยหนึ่ง
แนวคิดของพวกเขาทำให้ไม่สามารถแยกทฤษฎีการให้เหตุผลสนับสนุนออกจากทฤษฎีความจริงแบบสหนัย
นอกจากนี้ นักปฏิฐานนิยมเชิงตรรกวิทยา (logical
positivist) บางคน เช่น ออตโต นิวรัธ (Otto
Neurath) และคาร์ล เฮมเพล (Carl
Hempel)
ก็สนับสนุนแนวคิดแบบสหนัยนิยมเพื่อโต้ตอบกับแนวคิดมูลฐานนิยมของมอริทซ์
ชลิก (Moritz Schlick)
เราจะเห็นได้ว่าความแตกต่างในกลุ่มของผู้ที่ยอมรับแนวคิดแบบสหนัยนิยมคือความแตกต่างเกี่ยวกับเงื่อนไขของความสหนัย
นักสหนัยนิยมบางคน เช่น แบรดเล่ย์
อธิบายว่านอกจากความสมนัย (consistency)
ระหว่างความเชื่อแล้ว
เงื่อนไขของความสหนัยยังรวมถึงการที่ความเชื่อต่างๆ
สามารถที่จะอนุมานจากกันได้ (mutually entailment)
นั่นคือ
ความเชื่อทุกความเชื่อในระบบควรจะสามารถนิรนัยออกมาจากความเชื่ออื่นๆ
ได้ ตามเงื่อนไขดังกล่าว
การให้เหตุผลสนับสนุนด้วยการแสดงว่าความเชื่อหนึ่งๆ
มีความสหนัยกับความเชื่ออื่นในระบบนั้น
ต้องอาศัยการตรวจสอบความสัมพันธ์เชิงการนิรนัยดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม
นักสหนัยนิยมบางคนอธิบายสหนัยนิยมโดยมีเงื่อนไขที่ไม่เข้มงวดขนาดนี้
ตัวอย่างเช่น ลอเรนท์ บองชูร์ (Laurence BonJour)
ที่มิได้เชื่อว่าความสหนัยต้องมีองค์ประกอบของการนิรนัยจากกันและกันนี้
แต่เขาเห็นด้วยว่าความเชื่อต่างๆ ในระบบจะต้องสมนัยกัน
นอกจากนี้
ยังมีการแบ่งสหนัยนิยมตามความเข้าใจเรื่องวิธีการให้เหตุผลสนับสนุนในลักษณะอื่นๆ
เช่น มีการแบ่งสหนัยนิยมเชิงบวก (positive
coherentism) และสหนัยนิยมเชิงลบ (negative
coherentism)
ตามแนวคิดของสหนัยนิยมเชิงบวก
ความเชื่อหนึ่งจะมีเหตุผลสนับสนุนก็ต่อเมื่อเราสามารถแสดงได้ว่าความเชื่อนั้นสอดคล้องกับความเชื่ออื่นๆ
ในระบบ แต่ตามแนวคิดของสหนัยนิยมเชิงลบ ความเชื่อหนึ่งๆ
จะถือไว้ก่อนว่ามีเหตุผลสนับสนุนจนกว่าจะแสดงได้ว่าความเชื่อนั้นไม่สอดคล้องกับความเชื่ออื่นในระบบ
ในส่วนของข้อโต้แย้งที่มีต่อมูลฐานนิยมและสหนัยนิยมนั้น
มูลฐานนิยมมักถูกโต้แย้งในประเด็นเกี่ยวกับว่าอะไรคือความเชื่อพื้นฐานที่สามารถให้เหตุผลสนับสนุนตัวเองได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ข้อโต้แย้งที่ว่าข้อความเหล่านี้มิอาจหาได้ตามเงื่อนไข
และยังมีการโต้แย้งเกี่ยวกับการนำความเชื่อพื้นฐานไปสนับสนุนความเชื่อที่ซับซ้อนอื่นๆ
ส่วนข้อโต้แย้งที่มีต่อสหนัยนิยมก็คือเงื่อนไขของสหนัยนิยมที่เรียกร้องความสอดคล้องลงรอยกันของความเชื่อต่างๆ
อาจไม่ใช่เงื่อนไขจำเป็น (necessary
condition) ของการให้เหตุผลสนับสนุน
กล่าวคือ
อาจเป็นความน่าพึงปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงความไม่สอดคล้องลงรอยกันของความเชื่อ
แต่ในบางกรณีก็นับว่าไร้เหตุผลที่จะกระทำเช่นนั้น
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีลอตเตอรี่ 1,000,000 ใบ
เราจะเห็นว่าลอตเตอรี่ใบที่ 1
นั้นมีความเป็นไปได้ที่จะไม่ถูกรางวัลถึง .999999 และใบที่
2
ไปจนถึงใบสุดท้ายก็ย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะไม่ถูกรางวัลถึง
.999999 เช่นกัน ดังนั้น
ด้วยการพิจารณาความเป็นไปได้ดังกล่าว
เราจะมีเหตุผลสำหรับความเชื่อที่ว่าลอตเตอรี่ใบที่ 1
จะไม่ถูกรางวัล
และมีเหตุผลสนับสนุนสำหรับความเชื่อที่ว่าลอตเตอรี่ใบอื่นๆ
จะไม่ถูกรางวัล
ถ้าเราเชื่อว่าจะมีลอตเตอรี่ใบใดใบหนึ่งถูกรางวัลก็เท่ากับว่าความเชื่อของเราไม่สอดคล้องลงรอยกับความเชื่อเกี่ยวกับลอตเตอรี่ใบอื่นๆ
ทั้งที่ความเป็นจริงจะต้องมีใบใดใบหนึ่งที่ถูกรางวัล
ความสอดคล้องลงรอยกันในระบบความเชื่อจึงอาจมิใช่เงื่อนไขจำเป็นสำหรับการให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่อ
4.
ทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในและทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอก
ทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในเห็นว่าการมีเหตุผลสนับสนุนตัดสินโดยปัจจัยภายใน
(internal
factors)
ในขณะที่ทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกเห็นว่าการมีเหตุผลสนับสนุนต้องตัดสินโดยสิ่งอื่นนอกเหนือจากปัจจัยภายใน
เช่น สภาพแวดล้อม ภูมิหลังหรือบริบทของบุคคล
นักมูลฐานนิยมและนักสหนัยนิยมส่วนใหญ่ยอมรับแนวคิดแบบทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายใน
เนื่องจากเห็นว่าการให้เหตุผลสนับสนุนนั้นสัมพันธ์กับเนื้อหาที่อยู่ในจิตใจ
(เช่น ความเชื่อ ความทรงจำ) เป็นหลัก
นักทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในบางคนกำหนดให้ผู้เชื่อจะต้องตระหนักรู้องค์ประกอบที่ของการมีเหตุผลสนับสนุนทั้งหมด
โดยรูปแบบที่เข้มงวดที่สุดของทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในคือความคิดเห็นที่ว่าเราสามารถตัดสินได้ตลอดว่าความเชื่อของเรามีเหตุผลสนับสนุนหรือไม่
โดยอาศัยการคิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบ (careful introspection)
ตัวอย่างเช่น เดส์การ์ตส์ ล๊อค ชิซัล์ม (Chisolm)
และบองชู
ส่วนแนวคิดแบบทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลมากแนวคิดหนึ่งคือ
ทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการ (reliabilism)
ซึ่งเห็นว่าการให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่อนั้นตัดสินโดยพิจารณาจากความน่าเชื่อถือของกระบวนการเชิงปริชาน
(cognitive process)
ที่นำสู่ความเชื่อนั้น
โดยความน่าเชื่อถือขึ้นกับแนวโน้มของกระบวนการที่นำสู่ความเชื่อที่จริงได้
จึงกล่าวได้ว่าตามทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการนั้น
เรามีความรู้ว่า P
ก็ต่อเมื่อเรามีความเชื่อที่จริงว่า P
และความเชื่อดังกล่าวเป็นผลผลิตของกระบวนการเชิงปริชานที่น่าเชื่อถือ
เห็นได้ว่าความน่าเชื่อถือของกระบวนการมิได้เป็นองค์ประกอบภายใน
ดังนั้น
แนวคิดแบบนี้จึงจัดว่าเป็นการให้เหตุผลสนับสนุนแบบทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอก
ตัวอย่างของนักปรัชญาที่มีแนวคิดแบบ
ทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการ คือ โกลด์แมน (Goldman)
เดรสเก้ (Dreske) อาร์มสตรอง (Armstrong)
และโซซา (Sosa)
นักปรัชญาเหล่านี้มีข้อเสนอร่วมกันในเรื่องที่ว่าการให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่อเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมของผู้เชื่อกับกระบวนการที่นำสู่ความเชื่อ
โดยความมีเหตุผลสนับสนุนของความเชื่อนั้น
พิจารณาจากแนวโน้มของกระบวนการดังกล่าวที่จะสร้างความเชื่อที่จริงและไม่สร้างความเชื่อที่เท็จ
ตัวอย่างที่ดีที่ช่วยชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างแนวคิดแบบทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในกับ
ทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการ
คือกรณีของคนที่ถูกปีศาจหลอก
สมมุติว่ามีปีศาจหลอกให้คนมีประสบการณ์เหมือนคนปกติ
ดังนั้น
คนที่ถูกหลอกก็จะมีความเชื่อเกี่ยวกับโลกภายนอกขึ้นมาจากกระบวนการหลอกของปีศาจ
แต่ความเชื่อนั้นเหมือนกับของคนปกติทุกประการ
ตามทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการ
ความเชื่อเกี่ยวกับโลกภายนอกของบุคคลนี้ถือว่าไม่มีเหตุผลสนับสนุน
เนื่องจากกระบวนการสร้างความเชื่อของผู้ถูกหลอกนั้นไม่น่าเชื่อถือ
เพราะเป็นกระบวนการที่มิได้มีแนวโน้มจะนำสู่ความเชื่อที่จริง
กระบวนการนี้จะนำสู่ความเชื่อใด ไม่ว่าตรงกับคนปกติหรือไม่
ก็ขึ้นกับความประสงค์ของปีศาจล้วนๆ
ส่วนกระบวนการสร้างความเชื่อของคนปกตินั้นน่าเชื่อถือ
เนื่องจากกระบวนการที่นำสู่ความเชื่อมีแนวโน้มนำสู่ความเชื่อที่จริง
ความเชื่อของคนปกติจึงมีเหตุผลสนับสนุน
แต่หากพิจารณาตามทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายในแล้ว
ความเชื่อของทั้งคนปกติและคนที่ถูกหลอกนั้น
ต่างก็มีเหตุผลสนับสนุนอย่างเท่าเทียมกันถ้าแต่ละคนนั้นมีสภาวะภายใน
(internal
state) ที่เหมือนกัน
5.
ทฤษฎีที่เน้นความน่าจะเป็น
ในขณะที่ทฤษฎีที่เน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการเป็นทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายนอกแบบหนึ่งที่เป็นทางเลือกแทนทฤษฎีมูลฐานนิยมและสหนัยนิยม
ทฤษฎีที่เน้นความน่าจะเป็น
(probabilism)
ก็เป็นทางเลือกแทนทฤษฎีมูลฐานนิยมและสหนัยนิยมเช่นกัน
แต่เป็นทฤษฎีที่เน้นปัจจัยภายใน
นักทฤษฎีที่เน้นความน่าจะเป็นเห็นว่าทางเลือกของเรามิได้จำกัดอยู่เพียงแค่การเชื่อหรือการไม่เชื่อ
แต่เราสามารถที่จะมีระดับของความเชื่อหรือความมั่นใจที่แตกต่างกันต่อความจริงของข้อความหรือประพจน์
(proposition)
นักทฤษฎีที่เน้นความน่าจะเป็นให้ค่า 1
แทนความมั่นใจที่มากที่สุดในความจริงของประพจน์ และให้ค่า
0
แทนการไม่มีความมั่นใจในความจริงของประพจน์ ดังนั้น
ช่วงของค่าระหว่าง 0 และ 1
จึงแทนระดับความมั่นใจต่อความจริงของประพจน์ระหว่างระดับที่น้อยที่สุดและระดับที่มากที่สุด
นักทฤษฎีที่เน้นความน่าจะเป็นเห็นว่าระดับความเชื่อของเราจะต้องสอดคล้องกันหากความเชื่อเหล่านั้นมีเหตุผลสนับสนุน
และความเชื่อจะสอดคล้องกันถ้าความเชื่อดังกล่าวเป็นไปตามระบบคำนวณความน่าจะเป็น
(probability calculus)
ตัวอย่างเช่น
มีหลักข้อหนึ่งในระบบคำนวณดังกล่าวว่าประพจน์ใดๆ
จะไม่สามารถมีความน่าจะเป็นสูงกว่าอีกประพจน์หนึ่งที่มีฐานะเป็นนัยของตน
(implication) เช่นถ้า P
มีนัยถึง Q
และถ้าเราเชื่อ P มากกว่า Q
ในกรณีนี้
ถือว่าระดับความเชื่อของเราจะไม่สอดคล้องกันเนื่องจากไม่เป็นไปตามระบบคำนวณ
จึงไม่ถือว่ามีเหตุผลสนับสนุน
6. ญาณวิทยาเชิงธรรมชาติ
ญาณวิทยาเชิงธรรมชาติเห็นว่าญาณวิทยามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับวิทยาศาสตร์
นักญาณวิทยาเชิงธรรมวิพากษ์มูลฐานนิยม สหนัยนิยม และ
ทฤษฎีที่เน้นความน่าจะเป็น
ที่ต่างก็ให้ความสำคัญกับการคิดเชิงทฤษฎีในระดับก่อนประสบการณ์
(a
priori theorizing) มากจนเกินไป
นักญาณวิทยาเชิงธรรมชาติเห็นว่าหากเราต้องการรู้ว่ากระบวนการเชิงปริชานทำงานอย่างไร
เหตุใดกระบวนการดังกล่าวจึงน่าเชื่อถือ
และเมื่อใดที่กระบวนการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะผิด
เราก็ควรต้องอาศัยวิทยาศาสตร์
จิตวิทยาและชีววิทยาระบบประสาท (neurobiology)
เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับกระบวนการรับรู้
เราต้องอาศัยชีววิทยาและทฤษฎีวิวัฒนาการ (evolutionary
theory)
เพื่ออธิบายทำไมกระบวนการรับรู้จึงน่าเชื่อถือ
และเราต้องอาศัยจิตวิทยาเชิงปริชาน (cognitive
psychology)
เพื่อศึกษาความผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นกับกระบวนการเชิงปริชาณ
เพื่อที่เราจะได้ป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดดังกล่าว
ดับบลิว. วี. ไควน์ (W.
V. Quine)
เสนอความคิดเกี่ยวกับญาณวิทยาเชิงธรรมชาติไว้ในบทความ
“Naturalized epistemology”
โดยเสนอว่าญาณวิทยาควรจะเป็นเพียงบทหนึ่งของจิตวิทยา
กล่าวคือ
ไควน์เสนอให้เปลี่ยนสถานะของญาณวิทยาไปเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิทยาเชิงปริชานที่มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลกับความเชื่อ
แทนการพยายามประเมินลักษณะและวิธีการได้มาซึ่งความรู้อย่างที่ทำกันในญาณวิทยาเชิงบรรทัดฐาน
(normative epistemology)
เห็นได้ว่าข้อเสนอดังกล่าวเท่ากับเป็นการเปลี่ยนสถานะญาณวิทยาเชิงบรรทัดฐานที่มีคำถามเชิงคุณค่า
เช่น “เราควรให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่ออย่างไร”
ไปเป็นการอธิบายเชิงธรรมชาติว่า “ความเชื่อเกิดขึ้นมาได้อย่างไร”
ญาณวิทยาเชิงธรรมชาติแบบสุดโต่งไม่มีลักษณะเชิงบรรทัดฐาน (non-normative)
เนื่องจากให้คำอธิบายเพียงว่าความเชื่อเกิดขึ้นจากข้อมูลทางผัสสะที่รับเข้ามาได้อย่างไร
แต่ไม่มีการประเมินว่ากระบวนการหรือวิธีการใดทำให้เรามีเหตุผลสนับสนุนความเชื่อ
นักญาณวิทยาเชิงธรรมชาติบางคน เช่น ไควน์
เห็นว่าเราควรละทิ้งองค์ประกอบเชิงบรรทัดฐานภายในญาณวิทยาไปเสีย
แต่มีนักปรัชญาคนอื่นโต้แย้งประเด็นนี้ เช่น
โกลด์แมนโต้แย้งว่าญาณวิทยาเชิงธรรมชาตินั้นไปด้วยกันได้กับทฤษฎีแบบเน้นความน่าเชื่อถือของกระบวนการ
ดังนั้น
ญาณวิทยาจึงยังคงมีส่วนที่เป็นบรรทัดฐานอยู่เนื่องจากสามารถประเมินได้ว่าเราจะมีเหตุผลสนับสนุนความเชื่อเมื่อเราใช้กระบวนการสร้างความเชื่อที่น่าเชื่อถือ
และขณะเดียวกันก็ถือเป็นญาณวิทยาเชิงธรรมชาติเนื่องจากวิทยาศาสตร์เป็นตัวที่ช่วยอธิบายว่ากระบวนการที่นำสู่ความเชื่อแบบใดที่มีความน่าเชื่อถือ
นอกจากนี้ ในหมู่นักญาณวิทยาเชิงธรรมชาติเอง
ก็มีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับการละทิ้งองค์ประกอบเชิงบรรทัดฐานของญาณวิทยานี้
กล่าวคือ
แม้ว่าไควน์จะไม่เหลือพื้นที่สำหรับการหาสิ่งที่ควร
(“เราควรให้เหตุผลสนับสนุนความเชื่ออย่างไร”)
นักญาณวิทยาเชิงธรรมชาติบางคนกลับเห็นว่าเราควรมีพื้นที่ให้กับญาณวิทยาเชิงบรรทัดฐาน
เช่น ญาณวิทยาธรรมชาติแบบดาร์วิน (Darwinist)
ที่เสนอว่าสิ่งที่ควรเชื่อ คือสิ่งที่ทำให้เราอยู่รอด
ตามแนวคิดนี้การที่มนุษย์อยู่รอดมาจนถึงวันนี้ย่อมแสดงว่าความรู้ที่มนุษย์มีอยู่เป็นสิ่งที่ควรเชื่อ
อย่างไรก็ตาม
จะเห็นได้ว่าการอธิบายข้างต้นยอมรับไว้ก่อนว่า “ความรู้ที่เรามีอยู่เป็นความรู้ที่เราควรรู้”
มิได้เริ่มต้นด้วยการแทนที่คำถามเชิงบรรทัดฐานด้วยคำถามเชิงบรรยาย
สรุปได้ว่าญาณวิทยาเชิงธรรมชาติต้องการอธิบายว่าเราได้ความรู้มาอย่างไรโดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการแทนที่คำถามเชิงบรรทัดฐานที่ว่า
“เราควรทำอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้”
ด้วยคำถามเชิงบรรยายที่ว่า “เราได้ความรู้มาอย่างไร”
นั้นยังมีความเห็นไม่ลงรอยกันในหมู่นักญาณวิทยาเชิงธรรมชาติ
บางคนเห็นว่าสามารถแทนที่กันได้โดยสมบูรณ์
แต่บางคนเห็นว่าไม่อาจแทนที่กันได้โดยสมบูรณ์
ทั้งนี้เพราะยังจำเป็นต้องมีการประเมินอยู่อีก เช่น
การประเมินว่า “ความเชื่อที่มีอยู่เป็นความรู้หรือไม่”
เป็นต้น
ศิรประภา ชวะนะญาณ (ผู้เรียบเรียง)
เรียบเรียงจาก
· |
Alston, William P. 2001. Foundationalism. In
Jonathan Dancy and Ernest Sosa (eds.). A
Companion to Epistemology. Oxford:
Blackwell, pp. 144-147. |
· |
Bonjour, Laurence. 1998.
Knowledge and Justification,
Coherence Theory of. In Edward
Craig (ed.). Routledge
Encyclopedia of Philosophy.
[CD-Rom Version 1.0]. |
· |
Conee, Earl and Richard Feldman. 2006.
Epistemology. In Donald M. Borchet (ed.).
The Encyclopedia of Philosophy. Second
Edition. New York: Macmillan, Vol. 3: 270-277. |
· |
Feldman, Richard. 2001. Evidence. In Jonathan
Dancy and Ernest Sosa (eds.). A Companion
to Epistemology. Oxford: Blackwell, pp.
119-122. |
· |
Foley, Richard. 1998. Justification, Epistemic.
In Edward Craig (ed.). Routledge
Encyclopedia of Philosophy
[CD-Rom Version 1.0]. |
· |
Ginet, Carl. 2001. Causal Theories in
Epistemology. In Jonathan Dancy and Ernest Sosa
(eds.). A Companion to Epistemology.
Oxford: Blackwell, pp. 57-61. |
· |
Goldman, Alvin I. 2001. Reliabilism. In Jonathan
Dancy and Ernest Sosa (eds.). A Companion
to Epistemology. Oxford: Blackwell, pp.
433-436. |
· |
Haack, Susan. 2001. Pragmatism. In Jonathan
Dancy and Ernest Sosa (eds.). A Companion
to Epistemology. Oxford: Blackwell, pp.
351-357. |
· |
Iannone, A. Pablo. 2001. Justification.
Dictionary of World Philosophy. London:
Routledge, pp. 285-289. |
· |
Lehrer, Keith. 2001. Coherentism. In Jonathan
Dancy and Ernest Sosa (eds.). A Companion
to Epistemology. Oxford: Blackwell, pp.
67-70. |
· |
Alston, W.
1989. Epistemic Justification.
Ithaca, NY: Cornell University Press. (รวบรวมบทความสำคัญต่างๆ
เกี่ยวกับมูลฐานนิยม ภายนอกนิยม ภายในนิยม
reliabilism
และประเด็นทางญาณวิทยาอื่นๆ) |
· |
Armstrong, D.
M. 1973. Belief, Truth,
and Knowledge.
Cambridge: Cambridge University
Press.
(ข้อปกป้องแนวคิดแบบ
reliabilism
ในช่วงแรก) |
· |
BonJour, L.
1985. The Structure of Empirical Knowledge.
Cambridge, MA: Harvard University Press. (บทวิพากษ์ที่ชัดเจนและรวบรัดต่อมูลฐานนิยม
และข้อปกป้องแนวคิดแบบสหนัยนิยม) |
· |
Chisholm, R.
1966. The Theory of Knowledge.
Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall. (ข้อปกป้องแนวคิดแบบมูลฐานนิยมและภายในนิยมที่มีอิทธิพล) |
· |
Clifford, W.
K. 1879. The Ethics of Belief. In Lectures
and Essays vol. 2. London: Macmillan. (ข้อปกป้องความคิดเห็นที่ว่าเป็นเรื่องผิดที่จะเชื่อสิ่งที่ไม่มีหลักฐานเพียงพอ) |
· |
Davidson, D.
1986. A Coherence Theory of
Truth and Knowledge. In E.
LePore (ed.). The
Philosophy of Donald Davidson.
London: Blackwell. (บทความของเดวิดสันที่โต้แย้งธรรมชาติของความเชื่อและการอ้างถึงนั้นทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเชื่อผิดทั้งหมด) |
· |
Dretske, F.
1981. Knowledge and the Flow of Information.
Cambridge, MA: MIT Press. (ข้อปกป้องแนวคิดแบบ
reliabilism.)
|
· |
Foley, R.
1993. Working without a
Net. New York: Oxford
University Press. (ข้อถกเถียงเกี่ยวกับมูลฐานนิยม
เหตุผลเกี่ยวกับความเชื่อ-เหตุผลที่ไม่เกี่ยวกับความเชื่อ
สหนัยนิยม probabilism
และวิมตินิยม) |
· |
Goldman, A.
1986. Epistemology and
Cognition. Cambridge,
MA: Harvard University Press. (ข้อปกป้องต่อแนวคิดแบบ
reliabilism
ที่มีอิทธิพล) |
· |
Kornblith, H.
(ed.). 1994. Naturalizing
Epistemology. Cambridge,
MA: MIT Press. (รวบรวมบทความที่มีอิทธิพลโดยผู้ที่รับแนวคิดแบบญาณวิทยาเชิงธรรมชาติ
และยังมีบทความเริ่มต้นที่เขียนโดยคอร์นบลิธ) |
· |
Lehrer, K.
1974. Knowledge.
Oxford: Oxford University Press.
(ข้อปกป้องสำคัญของแนวคิดแบบสหนัยนิยมและข้อโจมตีแนวคิดมูลฐานนิยม) |
· |
Plantinga, A.
1992. Warrant: The Current
Debate. New York: Oxford
University Press. (ข้อถกเถียงเกี่ยวกับมูลฐานนิยม
สหนัยนิยม probabilism
reliabilism
และมีข้อปกป้องของ
Plantinga
เกี่ยวกับเรื่อง proper
functioning) |
· |
Putnam, H.
1987. The Many Faces of
Realism. LaSalle, IL:
Open Court. (ข้อปกป้องของ
Putnam
เกี่ยวกับ internal
realism
และนัยที่ปฏิเสธวิมตินิยม) |
· |
Quine, W.V.
1969. Epistemology Naturalized.
In Ontological Relativity
and Other Essays. New
York: Columbia University Press.
(บทความซึ่งทำให้เห็นความเคลื่อนไหวแรกเริ่มของแนวคิดญาณวิทยาเชิงธรรมชาติ) |
· |
Quine, W.V.
1990. The Pursuit of Truth.
Cambridge, MA: Harvard
University Press. (บทแรกนั้นอธิบายแนวคิดทางญาณวิทยาของไควน์) |
· |
Schmitt, F.
(ed.). 1994. Socializing
Epistemology. London:
Rowan & Littlefield. (รวบรวมบทความเกี่ยวกับเรื่องการบอกเล่าและญาณวิทยาเชิงสังคม) |
· |
Sellars, W.
1963. Science, Perception,
and Reality. London:
Routledge & Kegan Paul. (แนวคิดทางญาณวิทยาและอภิปรัชญาของเซลล่าร์) |
· |
Sosa, E.
1991. Knowledge in
Perspective. Cambridge:
Cambridge University Press. (รวบรวมบทความเกี่ยวกับการให้เหตุผลสนับสนุน
ความรู้ reliabilism
มูลฐานนิยมและสหนัยนิยม) |
คำที่เกี่ยวข้อง
ก่อนประสบการณ์-หลังประสบการณ์ /
ความรู้ /
เหตุผลนิยม-ประสบการณ์นิยม /
ญาณวิทยาศาสนา
A Priori-A Posteriori /
Knowledge /
Rationalism-Empiricism
/
Epistemology of Religion
|